องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 801
“ไม่อาจปล่อยให้ทหารหลั่งโลหิตผู้ภักดีกับเราต้องเจ็บปวดใจ หวังทง ที่เจ้าทำนั้นไม่ผิด”
ในพระที่นั่งเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ ตรัสช้าๆ ทัพใหญ่นำชัยชนะใหญ่กลับมา ข่าวลือเมืองหลวงก็แพร่สะพัด จนกระทั่งหวังทงลงมือจับกุมตักเตือนให้หยุด ตลอดทั้งเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกมาตลอดว่าเป็นเรื่องของหวังทง
เริ่มแรกระแวงหวังทงคิดไม่ซื่อ ต่อมากลับเป็นหวังทงลงมือจัดการคนสร้างข่าวลือบัดซบ แต่คำอธิบายเมื่อครู่กลับทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเข้าใจ ขุนนางบุ๋นไม่อยากเห็นนั้นไม่เพียงแต่เป็นความชอบของหวังทง ไม่เพียงแต่เป็นเพราะขุนนางบู๊สร้างความชอบมา
คนพวกนี้อ้างหลักคำสอน อ้างความจงรักภักดีเคลื่อนไหว ก็มีจุดหมายที่พระองค์เป็นหลัก ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยได้ถูกต้องยิ่งมาก ความสำเร็จยิ่งมาก วาจาก็ยิ่งมีน้ำหนักมาก ก็ยิ่งทำให้ทรงมีความคิดเห็นของพระองค์เองมาก
หากเป็นเช่นนี้ไป หน่วยงานต่างๆ ในราชสำนัก ขุนนางใหญ่น้อยก็ย่อมอ่อนแรงในการกุมอำนาจการเมือง ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นพวกเขา ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาช่วยเหลือก็สามารถสร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ เช่นนี้การมีอยู่ของขุนนางจะมีค่าอันใด ก็ย่อมยิ่งไร้ความหมาย นี่เป็นสิ่งที่ขุนนางใต้หล้าไม่อยากได้เห็น
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการปฏิเสธและป้ายสีดำให้กับชัยชนะยิ่งใหญ่ชายแดนเหนือของหวังทง ก็เท่ากับปฏิเสธไม่ยอมรับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ของฮ่องเต้ว่านลี่
ทำให้ฮ่องเต้ได้รู้ว่าที่ทรงตัดสินพระทัยไปนั้นเป็นความผิดพลาด ไม่เป็นผลดีอันใดกับแผ่นดิน การที่ทรงทำตามขันทีในวังกับขุนนางบู๊นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ชัยชนะนี้นั้นยิ่งใหญ่เหลือคณา ใหญ่จนพวกเขาไม่อาจหาช่องทางปฏิเสธอย่างออกหน้าออกตาเปิดเผยได้ จึงได้แต่เดินตามช่องทางสกปรกชั่วร้ายเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เซินสือหังมากล่าวแสดงข้อดีข้อเสียให้เห็นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ที่ชักจูงพระทัยฮ่องเต้ได้ ก็เพราะฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะสะเทือนต่อตำแหน่งที่ทรงอยู่ แผ่นดินนี้อาจไม่มั่นคง
เพื่อนสนิทเท่าไร คนสนิทเท่าไร หรือแม้แต่แม่ลูกพี่น้อง หากเกี่ยวพันถึงตำแหน่งฮ่องเต้กับใต้หล้าแล้ว ก็ไม่อาจยอมถอยได้แม้แต่ก้าวเดียว
แต่ตอนนี้หวังทงทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกเหมือนกันว่า ที่ขุนนางบุ๋นทำก็เป็นการร่วมหัวกันบีบอำนาจฮ่องเต้ พวกเขาไม่อยากให้ฮ่องเต้มีบารมีมากเกินไป ไม่อยากให้ฮ่องเต้มีผลสำเร็จยิ่งใหญ่เกินไป พวกเขาถึงกับไม่อยากให้ฮ่องเต้มีคนสนิทไว้ใจและมีความสามารถมากเกินไป
ที่ขุนนางบุ๋นคิด ฮ่องเต้ต้องปกครองใต้หล้านี้ก็ต้องพึ่งพาขุนนางบุ๋นเท่านั้น ต้องฟังความคิดเห็นขุนนางบุ๋น ต้องอาศัยขุนนางบุ๋นมาปกครองประเทศ
สภาพนี้ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ว่านลี่อยู่เหนือสุด ขุนนางบุ๋นแต่ละชั้นล้วนเรียงตามลำดับในส่วนกลางอำนาจบริหารแผ่นดินหมิง แต่สถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เป็นเพียงตำแหน่งไร้อำนาจ เจ้าของแผ่นดินหมิงตัวจริงไม่ใช่พระองค์ หากเป็นขุนนางบุ๋นและเหล่าราชบัณฑิต
“สมัยเสด็จปู่ แรกเริ่มก็มีเซี่ยเหยียน ต่อมาก็มีเหยียนซง ต่อมายังมีสวีเจี้ย แต่ไม่มีผู้ใดคุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว สมัยเสด็จพ่อ สวีเจี้ย กาวก่งกับจางจวีเจิ้งก็ไม่มีผู้ใดครองอำนาจบริหารแผ่นดินเบ็ดเสร็จ แต่กลับเป็นหลังเราครองราชย์ จึงปล่อยให้จางจวีเจิ้งได้ครองอำนาจบริหารถึงสิบปี”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสพึมพำ จางเฉิงมองแต่หวังทง วาจาหวังทงฟังพอรู้เรื่อง แต่ก็ยังงงอยู่บ้าง หวังทงจ้องมองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ ที่หวังทงพูดเมื่อครู่ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสนใจครุ่นคิด
“ต่อมาเราจึงได้เริ่มรู้สึกตัว เพราะไม่รู้หลักการทานอำนาจ จึงทำให้จางจวีเจิ้งครองอำนาจเพียงผู้เดียว จางซื่อเหวยเดิมก็เหมือนจะครองอำนาจเพียงผู้เดียว ดีที่เขาต้องกลับไปไว้ทุกข์ จากนั้นก็เป็นเซินสือหังมาเป็นมหาอำมาตย์ แตขุนนางหกกรมกองเป็นพวกจางซื่อเหวย ทำให้พวกเขาต้องระวังกันเอง เราจึงได้กุมอำนาจอยู่ตรงกลางได้”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป หันไปมองจางเฉิง ส่ายพระพักตร์แย้มสรวลตรัสว่า
“ให้ขุนนางบุ๋นจัดการขุนนางบุ๋นเอง สุดท้ายก็ยังเป็นพวกขุนนางบุ๋นอยู่ดี ครั้งนี้หวังทงนำชัยชนะใหญ่กลับมา เหยียนชิงจัดคนมายื่นฎีกา ส่งคนไปสร้างข่าวลือ เซินสือหังก็มาเข้าเฝ้าเรา สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเดียวกัน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ผุดลุกจากที่ประทับ ตรัสอย่างล่องลอยบอกไม่ถูกว่า
“เราเป็นผู้ใด แต่เล็กก็ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นพระนัดดา เป็นรัชทายาท จากนั้นก็ได้ครองราชย์ แต่ละก้าวขึ้นมาอย่างราบรื่น ไหนเลยจะยากลำบากเหมือนเสด็จปู่ที่พอขึ้นครองราชย์ก็ต้องทรงต่อสู้กับพวกหยางถิง แต่เสด็จปู่ทรงพระปรีชา ยังคงให้พวกขุนนางบุ๋นจัดการขุนนางบุ๋นด้วยกัน วันนี้เราต่างกัน เราจะสร้างผลงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจะเปลี่ยนแปลงระบบที่มีมานานหลายปีนี้ จงรักภักดีต่อเรา หวังดีต่อแผ่นดินด้วยใจจริง เราก็จะให้อยู่ต่อ จะมอบอำนาจวาสนาให้ หากคิดกอบโกยเพื่อตนเอง ไม่สนใจแผ่นดินใต้หล้า วันๆ เอาแต่ถือตำราหลักการมาจัดการผู้อื่น เราก็จะไล่เขาไป ไม่เลี้ยงให้เสียข้าวสุก”
สุรเสียงค่อยๆ ใส่อารมณ์ ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มองหวังทงตรัสว่า
“ตอนนั้นเสด็จปู่เหตุใดจึงทรงให้ขุนนางบุ๋นทานอำนาจกันเอง นั่นก็เพราะมีลู่ปิ่ง วันนี้เรากล้าเปลี่ยนแปลงระบบที่มีมานานได้ก็เพราะเรามีเจ้า หวังทง!”
หวังทงรีบยืนขึ้นไม่ทันได้ทูลอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เข้ามาตบบ่าหวังทงตรัสว่า
“ใส่ร้ายขุนนางมีความชอบนี้ ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ หวังทงเจ้าจัดการไปได้เต็มที่ มีเรื่องอันใด เราจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะต้อง……”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท กระหม่อม…….”
วาจาหวังทงยังไม่ทันจบ จางเฉิงก็รีบแทรกขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง จางเฉิงรีบรับก้มหน้าขอพระราชทานอภัย แต่ก็ยังกล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ฝ่าบาท เรื่องอาจนำมาซึ่งความยุ่งยากมากมาย ถึงตอนนั้น พวกในและนอกราชสำนักจะต้องเอะอะโวยวาย เกรงว่ายากจะจัดการให้สงบได้พะยะค่ะ!”
“เรื่องเช่นนี้พวกเขาย่อมต้องไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่หากขุนพลของเรามีข่าวลือใส่ร้าย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจจบง่ายๆ มากกว่า ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไร!”
ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปตรัสสุรเสียงเข้ม จางเฉิงรีบคุกเข่าลง ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่าทรงตรัสแรงไปสักหน่อย จึงได้ตรัสใหม่ว่า
“จางปั้นปั้นลุกขึ้นเถอะ เจ้าไม่ได้ผิดอันใด พวกด้านนอกนั้นรุนแรงกันเช่นนั้นก็ต้องโดนกำราบเสียบ้างถึงจะดี”
บรรยากาศในห้องยามนี้เริ่มอึดอัด ในเมื่อพูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หวังทงบรรลุเป้าหมายตนเองแล้ว ความคิดฮ่องเต้ว่านลี่ถูกเปิดออกให้ทรงได้คิดแล้ว
จากนั้นก็เป็นเรื่องคุยสัพเพเหระกันไป คุยกันถึงทัพใหญ่เข้าเมือง ยังมีเรื่องการจัดสรรสิ่งที่ได้มาจากชัยชนะครั้งนี้อย่างไรดี พูดถึงเรื่องนี้ พระตำหนักเมื่อครู่ที่ยังคงมีบรรยากาศอึดอัดก็มลายหายไปไม่น้อย
ท้องพระคลังได้เงินเข้ามาหลายล้านตำลึง ยังมีผลผลิตปีนี้ของเมืองกุยฮว่าเฉิงที่จะตามมาอีกก้อนโต ล้วนทำให้การใช้จ่ายในวังคล่องตัวมากยิ่งขึ้น หวังทงยังคุยถึงเรื่องที่ในเมื่อให้บรรดาพ่อค้ามีอาวุธปืนในครอบครองได้ สามารถปกป้องตนเองบนทุ่งหญ้านอกด่านได้ พวกเขามีอาวุธร้ายพวกนี้แล้ว ก็ย่อมอันตรายต่อชายแดน
ดังนั้นเพื่อรับมือกับอันตรายชายแดนเช่นนี้ก็ต้องรับมือให้ว่องไวได้ทันเวลา ต้องสามารถเข้าปราบปรามในเมืองได้ทันที จึงควรมีทหารม้าสามพันถึงห้าพันนาย กองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไวชุดนี้นอกจากต้องมีความพร้อมแบบทหารม้าควรมี ยังควรมีปืนไว้ให้เพียงพออีกด้วย
ทหารม้าเช่นนี้ต้องใช้ม้าเกือบหมื่น ยังต้องมีเครื่องแต่งม้าและอาวุธ และการป้องกันยามปกติก็ยังต้องใช้จ่ายแรงคนและเงินจำนวนมาก หากเป็นปีก่อน กรมทหารกับกรมอากรย่อมด่าทอมารดา แต่ปีนี้ได้รับชัยชนะใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา เงินทองก็คล่องมือ ม้าก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา
แต่หากมีกองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไวเช่นนี้แล้ว ทหารในสองเมืองอย่างเมืองต้าถงกับอวี้หลิน ยังต้องมีอีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันต่อไป เพราะหากทิ้งกองกำลังไว้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จากที่เคยเป็นผู้ถูกกระทำบนทุ่งหญ้ามากลายเป็นผู้จู่โจม แผ่นดินหมิงได้ครองแผ่นดินผืนนี้
ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องคุยทั่วไป คุยกันสักพัก หวังทงก็เตรียมทูลลา ยังไม่ทันรอให้หวังทงทูลลา ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ถูกจุดประกายจากเรื่องกองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไว แย้มสรวลตบหน้าผากตรัสว่า
“คุยกันตั้งนาน ลืมเรื่องที่เรียกเจ้าเข้าเฝ้าเสียได้ เมื่อวานนี้ ลั่วซือกงถวายฎีกาว่าล้มป่วยขอลาออกจากตำแหน่ง เราก็อนุญาตไปแล้ว เขาเองเป็นคนรู้งานดี หวังทง เราตอนนั้นอยากให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร กลับถูกจางซื่อเหวยทัดทาน วันนี้นับว่าเราได้ทำได้แล้ว พรุ่งนี้ส่งคนไปประกาศราชโอกการที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร เจ้าตอนนี้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว!”
หวังทงอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นคุกเข่าขอบพระทัย ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลโบกพระหัตถ์ ตรัสว่า
“ลุกขึ้นๆ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เพราะเจ้ารบมีชัยมาจึงได้ เดิมเรารับปากให้เจ้าแล้ว ความชอบครั้งนี้ ต้องได้บรรดาศักดิ์ไม่กงก็โหว ทว่าวันหน้ายังอีกยาวไกล ครั้งนี้แต่งตั้งให้เจ้าเป็นโหวก่อน คิดชื่อไว้แล้ว ติ้งเป่ยโหว (ท่านโหวปราบแดนเหนือ) เป็นชื่อจากความชอบของเจ้า”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า
“ที่ดินพระราชทาน เจ้าก็ดูหาเอาเอง ถึงเวลาก็มารายงานจำนวนกับเรา เราอนุญาตไปก็พอ”
**************
การคุยกันเป็นส่วนตัวย่อมไม่ให้เจ้าจินเลี่ยงร่วมฟัง สถานการณ์เช่นนี้ ส่วนใหญ่เจ้าจินเลี่ยงก็จะไปรออยู่ด้านนอกประตู หวังทงทูลลาออกมาก็เจอพอดี
พระอาทิตย์ตกไปทางตะวันตกลับไปหลังกำแพงรอบๆ แล้ว เจ้าจินเลี่ยงกำลังจะทัก หวังทงยิ้มกระซิบว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าให้คนไปบอกโจวอี้ส่วนตัว ให้เขารีบมาพบจ้า ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย!”
ป้องกันข่าวลือในวังตามหน่วยงาน หวังทงจึงได้แต่ให้เจ้าจินเลี่ยงช่วย เจ้าจินเลี่ยงอึ้งไป ขันทีนำทางหวังทงออกจากวัง
ห่างจากประตูวังอีกระยะหนึ่ง โจวอี้ก็นั่งเกี้ยวเก้าอี้แบกมาถึง นี่เป็นสิทธิพิเศษของขันทีใหญ่ในวัง โจวอี้ลงจากเกี้ยว ขันทีนำทางหวังทงรู้งานหลีกห่างออกไประยะหนึ่ง หวังทงเล่าเรื่องที่คุยกันในวังคร่าวๆ ยังไม่ทันรอให้โจวอี้ตั้งสติได้ หวังทงก็กล่าวว่า
“อย่าเพิ่งถามข้า ข้าถามท่านก่อน ที่ข้าทูลฝ่าบาท จางกงกงคงคิดว่าข้าเป็นขุนนางชั่วเช่นเจียงปินและเฉียนหนิงแล้วกระมัง!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้ เงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า
“หากเป็นดังที่น้องหวังว่ามา เกรงว่าท่านพ่อบุญธรรมคงคิดว่าเจ้ายิ่งกว่าสองคนนี้ไปเสียแล้ว….”
หวังทงส่ายหน้าเดินไปสองสามก้าว ก็กล่าวจริงจังว่า
“ฝากไปบอกจางกงกงว่า ตั้งแต่ฮ่องเต้อู่จงมา เพราะหลิวจิ่นกับขุนนางทั้งเจ็ด ทำให้จากนั้นสามรัชสมัยล้วนเข้มงวดกวดขันกับในวังมาก สถานการณ์ที่ให้ความสำคัญกับขุนนางนอกวังมากกว่าในวังก็ร้อยปีมาได้แล้ว ตอนนี้เป็นห้วงเวลาปรับเปลี่ยน เป็นโอกาสอันดี หรือว่าจางกงกงไม่อยากไขว่คว้าไว้กัน?”