องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 802
อำนาจการเมืองบนแผ่นดินหมิง มีการสมดุลอำนาจกันระหว่างขุนนางบุ๋นและบู๊ มีสมดุลกันระหว่างในวังฝ่ายในและนอกวังในราชสำนัก ตั้งแต่เหตุการณ์ป้อมถู่มู่ในสมัยฮ่องเต้อิงจง ขุนนางบู๊ทั้งหลายและขุนพลคนสนิทถูกกำราบสิ้นไปหมด ขุนนางบุ๋นกับขุนนางบู๊ก็ไร้การสมดุลอีก เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ในวังฝ่ายในกับขุนนางบุ๋นเท่านั้น
ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ในบรรดาฮ่องเต้ มีเพียงปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางกับฮ่องเต้จูตี้หมิงไท่จู่เท่านั้นที่ครองอำนาจเต็มที่ ก็เพราะสร้างรากฐานมาจากการสังหาร ที่เหลือ โดยเฉพาะหลังสมัยฮ่องเต้อู่จงมา ก็ล้วนตกใต้อำนาจของขันทีในวังกับขุนนางในราชสำนัก ฮ่องเต้อยู่ในสถานะเป็นกลาง สมดุลอำนาจ
มีหลายครั้งที่ฮ่องเต้จัดการฝ่ายหนึ่งลง อีกฝ่ายก็จะครองอำนาจนานเกินไป พอมาฮ่องเต้องค์ถัดมาก็จะเปลี่ยนแปลง แต่ผลก็มักจะทำให้อีกข้างได้ครองอำนาจไปฝ่ายเดียวอยู่ดี
ตอนฮ่องเต้อิงจงครองราชย์ มีขุนนางแซ่หยางสามคนครองอำนาจบริหาร ได้รับการสรรเสริญว่ามีความสามารถ แต่ต่อมาก็เป็นขันทีใหญ่หวังเจิ้นครองอำนาจในรัชศกหงจื้อแห่งฮ่องเต้หมิงเสี้ยวจง เรียกได้ว่าเป็นสมัยการค้ารุ่งเรือง จากนั้นก็หลิวจิ่นกับคณะรวมแปดคนรวมเรียกว่าแปดพยัคฆ์ ครองอำนาจในรัชศกเจิ้งเต๋อแห่งฮ่องเต้อู่จง ที่ถูกเรียกว่าคณะขันทีก่อการให้วุ่นวาย ต่อมาก็สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ราชสำนักรู้จักกันแต่มหาอำมาตย์ ไม่รู้จักหัวหน้าสำนักขันทีในสำนักส่วนพระองค์
ตั้งแต่หยางถิงเหอมาถึงจางชง ตั้งแต่เซี่ยเหยียนมาถึงเหยียนซง จากนั้นก็สวีเจี้ย สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งสถานการณ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พอสวีเจี้ยไป กาวก่งก็มา ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์มาถึงวันนี้ ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ มหาขันทีเฝิงเป่าครองอำนาจใหญ่ แต่ใต้หล้าล้วนรู้จักแค่จางจวีเจิ้ง จากนั้นก็จางซื่อเหวยกับเซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ แต่ไม่นาน แต่ขุนนางราชสำนักมักเป็นใหญ่ สถานการณ์ขุนนางฝ่ายในยังคงเป็นเช่นเดิม
ถามบัณฑิตใต้หล้า ผู้ใดเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ที่ตอบได้ย่อมน้อยยิ่งกว่าน้อย อำนาจพวกขันทีเกือบไม่เคยออกมานอกวัง ในวัง 12 สำนักขันที 24 หน่วยงาน อำนาจถูกบีบหมด
หวังทงเดินไปกล่าวไป โจวอี้ตามไป กล่าวจบ โจวอี้ก็คิดจะตอบรับคำ หากก็อึ้งไปทันที ฝีเท้าหยุดลง
ในวังปฏิบัติหน้าที่นั้นต้องคิดรอบคอบหลายเรื่อง ใต้เท้าหวังกับโจวกงกงคุยกันส่วนตัว คนนำทางย่อมไม่กล้าเข้าใกล้นัก โจวอี้หยุดเดิน ทุกคนก็ย่อมหยุดตาม
หวังทงยังคงเดินต่อไปสองสามก้าว พบว่าโจวอี้หยุด ก็หันไปมอง เห็นสีหน้าโจวอี้ตะลึงงัน เห็นหวังทงมองกลับมา โจวอี้ก็สะบัดหน้า รีบก้าวตามไป กล่าวเบาๆ ว่า
“เหนือคาดๆ พี่ไม่คิดจริงๆ ว่าวาจานี้จะเป็นน้องหวังกล่าวมา”
“ข้าจากตำแหน่งพลทหารถนนทักษิณมาถึงตำแหน่งในวันนี้ได้ พี่โจวกับกงกงทุกท่านก็ช่วยเหลือไม่น้อย ข้าคิดเช่นนี้มีอันใดไม่เหมาะหรือ?”
“น้องหวังทงทำเช่นนี้แม้ว่าดูแล้วไร้หนทางเป็นจริง แต่คิดให้ดี ก็เพราะภักดีแผ่นดิน เจ้าก็รู้ว่า ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นั้นหากแพร่ออกไปนอกวังแล้วล่ะก็ บัณฑิตใต้หล้าก็ย่อมเกลียดชังอยากกินเนื้อเจ้า ดื่มเลือดเจ้า อย่าว่าแต่บัณฑิตนอกวังเลย แม้แต่ในวังก็คงมีคนเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ”
สองคนสนทนนากันถึงตรงนี้ หวังทงเองก็ตกใจอยู่ ถามขึ้น
“เมื่อครู่ที่คุยกันเห็นๆ ว่าเพื่อคนในวัง เหตุใดในวังมีคนคิดเช่นนี้ พี่โจว ที่ข้าเสนอเมื่อครู่ ไปพูดหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ข้าไม่อยากให้ท่านลำบากใจ”
“ย่อมต้องพูด น้องหวังทำงานแม้ว่าทำให้เดาทางไม่ถูก แต่ไม่เคยทำไม่สำเร็จ เจ้าว่าคนในวังเหตุใดจึงต้องคัดค้านเจ้า ก็เพราะพวกเรียนตำรามาเรียนจนเลอะเลือนกันไปหมด ลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นใคร ก็มีไม่น้อย”
*************
หวังทงมาถึงห้องทำงานสำนักองครักษ์เสื้อแพร ก็พบว่าสถานการณ์กับตอนกลับมาแรกๆ ไม่เหมือนกันแล้ว วันนั้นทุกคนเหมือนแสดงท่าทีเหินห่าง แต่วันนี้กลับเป็นท่าทีหวาดกลัว
เดินไปตามระเบียงทางเดินไปยังห้องทำงาน หากอยู่ในขอบเขตสายตากวาดตามองไป ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ ล้วนทิ้งมือนิ่งยืนรอ พอหวังทงเดินผ่าน ก็ทักทายอย่างนอบน้อม พลทหารเป็นเช่นนี้ นายกองธงเล็กเป็นเช่นนี้ นายกองธงใหญ่เป็นเช่นนี้ นายกองร้อยเป็นเช่นนี้ นายกองพันเป็นเช่นนี้ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เช่นนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาเพียงหนึ่งคนอย่างผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นก็เช่นกัน
พอเดินเข้าไปยังลานหน้าห้องทำงาน ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นถึงกับคุกเข่าลง กล่าวนอบน้อมยิ่งว่า
“ใต้เท้าหวัง จวนอู่ชิงโหวส่งคนมา 21 คน ล้วนถูกจับเพราะลักขโมย ในจวนลงทัณฑ์มาแล้ว ส่งมาถึงที่ทำการเราก็ไร้ลมหายใจแล้ว”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรพบรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร สนิทกันก็ประสานมือ ไม่สนิทกันก็พยักหน้า หากมีความขัดแย้งกัน แม้แต่ไม่สนใจก็ยังได้ หากไม่มีคุกเข่าอย่างเด็ดขาด
หวังทงเองก็ไม่เกรงใจหยางจั้น กล่าวเพียงว่า
“น่าจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไปกระมัง รออีกสักครู่ให้คนมาชันสูตรศพ หากมีอันใดไม่ถูกต้อง ก็ส่งคนไปจับตัวที่จวนโหวเพิ่ม!”
หยางจั้นฟังแล้วก็ตัวสั่นเทา รีบกล่าวว่า
“ขอใต้เท้าวางใจ จวนอู่ชิงโหวครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องอันใดปิดบังซ่อนเร้น”
หวังทงพยักหน้า แค่นเสียงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหยาง เจ้าเติบโตมาจากตำแหน่งใดนั้น ข้ารู้ดี แต่เจ้าอยู่ตำแหน่งนี้แล้วก็ทำงานที่ควรทำไปให้ดีก็พอ!”
กล่าวจบก็หันหลังเดินเข้าห้องไป หยางจั้นที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง รอจนหวังทงเข้าห้องทำงานไปจึงได้ลุกขึ้น เขามาจากจวนอู่ชิงโหว ย่อมรู้ว่าทางจวนอู่ชิงโหวได้รับการสั่งสอนอย่างไร และก็รู้ว่าหวังทงจากนี้จะมีสถานะใด จวนโหวส่งคนร้ายตัวจริงมาหรือไม่เขาย่อมรู้ดี
**************
“ศพที่ส่งจากจวนอู่ชิงโหวมาให้ชันสูตรเสร็จแล้ว เป็นคนจากจวนนั้นจริง มีสามคนไม่ใช่คนในรายชื่อที่ใต้เท้าส่งไป แต่ก็ถูกวางยาตายมาด้วย”
ณ ห้องทำงาน หยางซือเฉินกล่าวรายงาน หวังทงกำลังอ่านเอกสารอื่นอยู่ ยามนี้เงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่า โรงงิ้วยังทำกำไรได้ โรงงิ้วถึงกับกำไรมากพอๆ กับเปิดหน้าร้านขายของ”
“ใต้เท้าจากไปครึ่งปีได้ ครึ่งปีนี้โรงงิ้วเป็นที่นิยมในเมืองหลวงมาก ทางเทียนจินก็เปิดสามโรง ไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนมาชมกันมาก พวกคณะงิ้วที่แต่ละจวนเลี้ยงดูไว้ หากไม่มีงิ้วแสดง ก็จะถูกเสียดสีว่าปิดตัวต่อโลกภายนอก ไม่มีทุนควักกันแล้ว มีบางตระกูลก็ส่งไปโรงงิ้ว ยังมีพวกบัณฑิตที่ชื่นชอบเรื่องพวกนี้ไม่น้อย ยังเขียนบทให้โรงงิ้วเล่นเองด้วย หากว่าได้รับกระแสตอบรับดี ก็สร้างชื่อได้ นางในหอคณิกาที่มีชื่อเสียงก็ยังสามารถปรากฏตัวบนเวทีงิ้วเพื่อแสดงสถานะตนเอง ใต้เท้า ข้าน้อยคิดว่า บทเพลงงิ้วที่รุ่งเรืองยามนี้ บทกวีกาพย์กลอนอีกร้อยปีก็อาจไม่เป็นที่นิยม แต่ใต้เท้าจะได้จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องนี้เป็นแน่”
รูปแบบกิจกรรมบันเทิงทางวัฒนธรรมใหม่แขนงหนึ่ง เป็นหวังทงผลักดันให้เกิดและเป็นที่นิยม เรื่องนี้ย่อมสามารถได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ตอนที่หวังทงดำเนินการเรื่องนี้ ก็ไม่ได้คิดมากมายเพียงนี้ คิดแค่จะเป็นวิธีการเผยแพร่เกียรติภูมิองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น
แต่หยางซือเฉินกล่าวเช่นนี้ ย่อมทำให้รู้สึกดีใจจากใจลึกๆ หวังทงรู้สึกสุขใจ หยางซือเฉินถามขึ้น
“ใต้เท้า อู่ชิงโหวกระทำการรอบคอบ เหตุใดครั้งนี้จึงผิดพลาดเช่นนี้ได้ ใช้คำว่า เลอะเลือน ก็ยังเรียกว่าให้เกียรติเกินไป ไม่เข้าใจเสียจริง?”
“มีอันใดไม่เข้าใจกัน เงินทองล่อใจ เทียนจินเป็นดังภูเขาทองทะเลเงิน แหล่งรวมเงินทองที่เรียกได้ว่าสูงสุดแห่งแผ่นดินหมิง เงินทองก้อนโตเช่นนี้กำลังจะตกถึงมือแล้วแท้ๆ ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะมีชัยกลับมา ของที่กุมไว้ในมือแล้วหลุดลอยไป ในใจก็ย่อมโกรธแค้น ย่อมต้องหาทางระบาย ก็ย่อมเป็นได้”
หยางซือเฉินพยักหน้า หวังทงกล่าวต่อว่า
“ในวังมีข่าวมาว่า มีบัญชีหาที่ลงไม่ได้ก็มาลงที่หัวข้า อู่ชิงโหวทำเช่นนี้ หนึ่ง ระบายอารมณ์ สอง คงจะแสดงให้ผู้ใดดู”
หลายเรื่องแค่แตะโดนก็ให้หยุดก็พอ เรื่องอำนาจต้องคิดให้รอบด้าน เรื่องในวัง แม้เป็นคนกันเองก็พูดให้น้อยจะดีที่สุด
หยางซือเฉินหอบเอกสารออกไป ไม่นานก็กลับมา เห็นหวังทงนั่งเหม่อกำลังคิดอันใดอยู่ เห็นหยางซือเฉินเข้ามา หวังทงก็ได้สติ ถามขึ้น
“ท่านหยาง ท่านคิดว่าขันทีในวังปฏิบัติหน้าที่เทียบกับขุนนางบุ๋นนอกวังปฏิบัติหน้าที่ เป็นอย่างไร?”
หยางซือเฉิน อึ้งไป ตามด้วยอาการหลุดหัวเราะออกมาว่า
“ข้าน้อยแม้เป็นขุนนางบุ๋น ยังมีตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหริน ทว่าได้ติดตามใต้เท้าปฏิบัติหน้าที่มาเกือบห้าปี ที่ได้พบได้เห็นมาไม่น้อย ขันทีในวังปฏิบัติหน้าที่พึ่งพาได้มากกว่าพวกบัณฑิตอ่านตำรานอกวังพวกนั้นมาก”
“อย่างไร?”
“ขันทีในวังตั้งแต่เข้าวังจนออกปฏิบัติหน้าที่ ล้วนต้องอดทนคัดเลือกจากการทำงานมาทีละขั้น แม้ว่าเรียนในสำนักศึกษาในวังมาเหมือนรัน แต่หากอยากเป็นขันทีอาลักษณ์ ก็ต้องผ่านการปฏิบัติหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ สุดท้ายจึงได้คัดเลือกมาเป็นหัวหน้างาน ไม่มีเวลา 10 ปี 15ปี ฝึกฝน ย่อมไม่อาจเป็นหัวหน้างานในสำนักขันทีได้ ไม่มีเวลา 20 ปี 30 ปี ย่อมไม่อาจเป็นมหาขันที หรือรองมหาขันทีได้ ส่วนขุนนางบุ๋นปฏิบัติหน้าที่ ร่ำเรียนได้ดี สอบติดประกาศทองคำ ย่อมได้ตำแหน่งผู้ว่านอกเมืองหลวง หรือได้ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานในเมืองหลวง ดีที่สุดก็ได้เป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน ขุนนางเมืองหลวงคิดจะเลื่อนสถานะตนเองไปสู่ตำแหน่งอื่นนั้น สำคัญที่ชื่อเสียง ผู้ใดกล้าออกมากล่าวตรงไปตรงมา ผู้ใดกล้ากล่าววาจาที่ทำให้คนทั่วไปต้องตกตะลึง ผู้นั้นก็มีชื่อ ผู้นั้นก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนไม่อาจมีพระอาจารย์อีก ไม่อาจมีอาจารย์สอนรัชทายาท ไม่เช่นนั้นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนก็จะได้ก้าวขึ้นตำแหน่งอย่างรวดเร็ว สิบปีไม่เกิน ก็จะได้ตำแหน่งเสนาบดีชั้นสาม พวกส่วนกลางส่วนใหญ่ไม่เคยออกนอกเมืองหลวง ขุนนางในเมืองหลวงทุกวันแย่งกันสร้างชื่อ ส่วนพวกที่ได้ไปประจำตำแหน่งขุนนางท้องที่มักเป็นพวกเรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง หากเป็นเช่นนี้ ขันทีก็ย่อมไว้วางใจได้มากกว่าขุนนางบุ๋น”
“หืม? หวังเจิ้น กู่ต้าย่ง วังจื๋อ หลิวจิ่น พวกนี้ในบันทึกประวัติศาสตร์ล้วนเป็นพวกถูกบันทึกว่าทำลายระบบราชสำนัก ทำลายใต้หล้านี่!”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ หยางซือเฉินรู้สึกแปลกใจ เพราะหวังทงแต่ไรมาไม่เคยสนใจเรื่องนี้ แต่พอเห็นสีหน้ายิ้มของหวังทง เขาก็ตอบอย่างสบายๆ ว่า
“ตอนคณะขันทีเรืองอำนาจ ใต้หล้าใช่ว่าจะเลวร้าย ตอนมีคณะบริหารอำนาจปกครองได้ดี ใต้หล้าใช่ว่าจะดี ที่ประวัติศาสตร์บันทึกนั้น ใต้เท้าต้องดูว่าประวัติศาสตร์นี้เป็นผู้ใดเขียน ย่อมไม่ใช่ขันทีชำระประวัติศาสตร์”
“อันนี้ก็อาจไม่จำเป็น ซือหม่าเชียนชำระประวัติศาสตร์ เขาก็เป็นขันที”
หวังทงสัพยอก หยางซือเฉินอึ้งไป สองคนสบตากันหัวเราะดังลั่น คุยกันสบายๆ หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนด้านนอกดังมา ได้ยินเสียงหานกังตะโกนมาจากนอกประตูว่า
“ใต้เท้า หน้าประตูตอนนี้มีบัณฑิตราวเกือบ 400 มาออกัน ตามท้องถนนยังมีคนตามมาสมทบ!”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหยางซือเฉินแปรเปลี่ยน หวังทงนั่งนิ่งแค่นเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“มาแล้ว!”