องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 803
“ใต้เท้า ไม่เพียงแค่ราชบัณฑิต ยังมีจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ยังมีขุนนางจากสำนักตรวจสอบกับหกกรมกองอีก!”
หานกังพึ่งรายงานจบ โหววั่นไฉก็วิ่งมาด้วยเช่นกัน ตอนนี้ทั้งสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หยางจั้นยุ่งกับเรื่องจวนอู่ชิงโหว ที่เหลือก็อ้างลาป่วย หน้าที่สั่งการหลักก็ย่อมเป็นหวังทงคนเดียว
หานกังกับโหววั่นไฉเป็นคนสนิทหวังทง คนปฏิบัติหน้าที่จึงต่างมาวิ่งมารายงาน
“ใต้เท้า ประตูหน้ามีคนราว 1,000 กว่า!!”
“ใต้เท้า ผู้คุ้มกันประตูหน้าใกล้จะรั้งไม่อยู่แล้ว หากไม่ลงมือใช้กระบองไล่ ก็จะถูกพวกเขาเบียดติดประตูแล้ว!!”
“ใต้เท้า รีบตัดสินใจด้วย!!”
แม้อยู่ในตำแหน่งห้องทำงานหวังทง ก็ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมา หวังทงในห้องกลับไม่มีท่าทีร้อนใจเปลี่ยนชุดขุนนางออกเป็นชุดเกราะอ่อนแบบขุนนางบู๊ขี่ม้าเสร็จ จึงได้ก้าวออกไป
องครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูกับขุนนางใหญ่น้อยราวกับมดแตกรัง หวังทงส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“บุกที่ทำการพลการ ผิดกฎหมาย พวกเจ้าทำไมไม่กล้าลงมือขับไล่ ยังต้องกลัวล่วงเกินขุนนางพวกนี้อีกหรือ พวกเจ้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของพวกเขา”
หวังทงก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก เดิมเห็นหวังทงในชุดเกราะอ่อน ทุกคนยังคิดว่าหวังทงจะลงมือหรือไม่ก็คิดหนี คิดไม่ถึงว่าหวังทงกล่าวเพียงสองคำ แล้วก็เดินออกไปลานชั้นนอก
โหวเจินแห่งกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรรีบตามไป กระซิบว่า
“ใต้เท้าหวัง คนด้านนอกพวกนั้นล้วนเลอะเลือนหน้ามืดตามัว ใต้เท้าออกไปเช่นนี้ เกรงว่ามีอันตราย”
กำลังกล่าวอยู่นั้น ถานต้าหู่ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นหวังทงเดินอยู่ข้างหน้า ด้านหลังมีคนกลุ่มใหญ่ตามมาก็รีบหยุดคำนับ รายงานเสียงดังว่า
“แม่ทัพใหญ่……ใต้เท้า ฉีอู่ไปตั้งแถวม้ารออยู่หน้าประตูแล้ว คนด้านนอกไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว!”
หวังทงพยักหน้าพอใจ องครักษ์เสื้อแพรที่กำลังแตกตื่นตกใจจึงค่อยนึกได้ว่า เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่สังหารพวกนอกด่านเมืองกุยฮว่าเฉิงมาหลายหมื่น ผ่านสมรภูมิภูเขาดาบทะเลเพลิงมา ไหนเลยจะเกรงกลัวบัณฑิตด้านนอกพวกนั้นกัน
พอผ่านเรือนอาคารชั้นสองออกไป ก็เห็นประตูชั้นในของสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีทหารยืนเรียงแถว ทุกคนอาวุธพร้อมสรรพ ด้านหน้าเห็นม้าเรียงแถวอยู่ ด้านนอกส่งเสียงเอะอะดังเข้ามา
‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’
ตำแหน่งนี้ย่อมได้ยินเสียงตะโกนด้านนอกชัดเจน หวังทงยิ้มไม่พอใจ กำลังจะก้าวขึ้นหน้าไป ก็มีคนดึงไว้ หันไปมองเห็นสีหน้าซีดขาวของหยางซือเฉิน หยางซือเฉินกระซิบร้อนใจว่า
“ใต้เท้า ขอมาคุยทางนี้หน่อย!”
หวังทงหันไปโบกมือเป็นสัญญาณ เดินไปอีกทางกับหยางซือเฉิน พอหาที่ยืนได้ หยางซือเฉินก็กล่าวว่า
“ใต้เท้า ยากฝืนพลังปวงชน ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมากมายมากันที่นี่ แม้อาจมีใต้เท้าในราชสำนักหรือในวังให้การหนุนหลัง แต่เกรงว่าตอนนี้ต้องพลิกแพลงก่อน หากมีคนถือโอกาสอ้างเหตุนี้ เกรงว่าคงยุ่งยากไม่น้อย”
“เช่นนั้นท่านว่าควรทำเช่นไร?”
“ใต้เท้า ปล่อยคนไปก่อน วันหน้าค่อยคิดหาทางใหม่ ไม่เช่นนั้นด้านนอกก่อตัวเป็นกระแสคลื่นใหญ่ เช่นนั้นย่อมเกิดเรื่องใหญ่!”
“หากข้าปล่อยตัวคนพวกนี้ไป ใช่ว่าเป็นการบอกพวกเขาหรือว่า การแพร่ข่าวใส่ร้ายไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกจับไปลงโทษ”
“ใต้เท้า!! ยามนี้ไม่ใช่เวลาใช้อารมณ์!! ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ก็มีแค่เหตุการณ์แต่งตั้งพระอนุชาฮ่องเต้อู่จง ซึ่งก็คือฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์ที่เหตุขุนนางบัณฑิตรถกธรรมเนียมครั้งใหญ่ยาวนานหลายปี จากนั้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องระมัดระวังให้รอบคอบ!”
เห็นสีหน้าร้อนใจยิ่งของหยางซือเฉิน หวังทงยิ้มตบบ่ากล่าวว่า
“ข้ารู้อยู่ว่าทำอันใด ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
กล่าวจบก็ไม่ได้เดินออกประตูใหญ่ หากเดินไปทางประตูเล็กด้านข้างแทน ประตูใหญ่สำนักองครักษ์เสื้อแพรสูงตระหง่าน ด้านในมีเรือนอาคารมากมาย
อาคารริมกำแพงนั้นไม่สูงนัก มีสองชั้น ปกติไม่มีสิ่งของวางเกะกะ กำแพงฝั่งด้านนอกชั้นสองมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมมากมาย ช่องหน้าต่างห่างจากพื้นราวหนึ่งจั้ง อย่างมากสุดก็แค่ยื่นหัวออกไป ตัวออกไปไม่ได้
การสร้างเรือนแบบนี้หากเดินทางไปทางใต้มามากก็ย่อมได้เห็นกำแพงเมืองมามาก ก็ย่อมพบว่า กำแพงเมืองกับกำแพงด้านนอกล้วนมีธรรมเนียมก่อสร้างเช่นนี้
สำนักองครักษ์เสื้อแพรสร้างตามแบบป้อมปราการ แต่นานวันเข้า องครักษ์เสื้อแพรก็ลืมหน้าที่เดิมที่ก่อตั้งมาของตนไป หวังทงมาที่นี่เดินวนหลายรอบก็พอเข้าใจ
‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ยังคงตะโกนไม่หยุด หวังทงเดินขึ้นไปชั้นสองเปิดหน้าต่างที่ติดกำแพงออก ลอบมองไปยังคนด้านล่าง
มีขุนนางหนุ่มในชุดยาวกันมาก สีหน้าก็ฮึกเหิมอยู่มาก และยังมีกลุ่มคนในชุดเสื้อแขนสั้นปะปนอยู่ บางส่วนน่าจะเป็นผู้ติดตาม บางส่วนชะเง้อมองรอบๆ น่าจะมามุงดูเรื่องสนุก ยังมีสองสามคนท่าทางไม่ค่อยถูกต้องนัก อายุราว 30-40 ก็มี ทว่ายืนอยู่รอบนอก พูดกำกับสองสามคำตลอดเวลา
กลุ่มคนส่งเสียงเอะอะไม่หยุด แต่เสียงตะโกนพร้อมกันนั้นไม่ได้ดังต่อเนื่องแล้ว ตามปกติทุกคนตะโกนกันเสร็จก็จะเงียบ ไม่คุยกันทั่วไปก็เดินหน้าขึ้นมา พอใกล้ถึงหน้าประตู เจอแถวม้าพร้อมทหารทวนยาววางแนวระนาบข่มขู่ไปสองสามคำ กลุ่มคนก็ถอย ยามนี้มีคนตะโกนออกมาจากฝูงชน จากนั้นทุกคนอึ้งไปก่อนจะตะโกนดังตาม
ยามนี้หยางซือเฉินเดินตามขึ้นมา หวังทงให้หยางซือเฉินมองลงไปจากช่องหน้าต่าง ชี้ให้ดูสิ่งที่ตนเองสังเกตเห็น
“มีคนปลุกระดม มีคนจัดตั้ง คนส่วนใหญ่ถูกล่อลวงมา”
“ใต้เท้า เรื่องเช่นนี้เริ่มแรกก็เป็นพวกไม่มีอันใดทำมามุงดูกัน แต่พอมาสุดท้าย ก็ถูกปลุกระดม ใต้เท้า เรื่องพวกนี้เกิดน้อยมาก แต่พอเกิดแล้วก็ย่อมเป็นภัยใหญ่ ไม่อาจประมาท!”
“ประมาทคงไม่ แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนุก คนพวกนี้คิดหรือว่าก่อการขึ้นมาแล้ว คนมากจะทำอะไรได้ตามใจต้องการ?”
หวังทงยิ้มกล่าว ตะโกนเรียก
“โหววั่นไฉ โหววั่นไฉ!!”
แม้หวังทงไม่พอใจโหวเจิน ทว่าโหววั่นไฉนั้น หวังทงยังคงใช้งาน โหววั่นไฉตั้งใจทำงานกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน เพราะกลัวว่าจะโดนไม่ด้วยด้วยเรื่องของอาตนเองไม่เป็นที่พอใจของหวังทง พอได้ยินหวังทงเรียก โหววั่นไฉรีบรีบวิ่งขึ้นมา หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน หาคนสนิทมาอีกสองสามคน เดี๋ยวไปที่หน้าประตู…….”
**************
หลังออกจากในวังก็สายมากแล้ว มาอยู่ที่ที่ทำการอีกสักพัก ด้านนอกมีเรื่องกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ทหารยามเฝ้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลังได้รับอนุญาตจากหวังทงก็กลับบ้านออกไปทางประตูอื่น
เดิมทหารสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หรือแม้แต่พวกเจ้าหน้าที่ทำงานเอกสารก็เคร่งเครียดกันมาก คนไม่น้อยควักดาบปักวสันต์ออกมาพกไว้ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังจะทำเหมือนไม่สนใจอันใด นอกจากตั้งแถวทหารม้าที่หน้าประตูแล้ว จากนั้นก็เอาแต่มองดูอยู่เฉยๆ
ทหารกับขุนพลที่รับผิดชอบยังมาถามหวังทง ต้องการจัดแถวเตรียมป้องกันหรือไม่ หวังทงกลับยิ้มให้กลับไป บอกเพียงว่า ‘แค่ข้ากับทหารติดตามก็พอ’
เทียบกับความเครียดของหยางซือเฉินแล้ว หวังทงผ่อนคลายอย่างมาก พอถึงตอนจุดโคมไฟไล่ความมืด ทหารสองสามนายยกโคมออกไปแขวนด้านนอกด้วยไม้ท่อนยาว
คนด้านนอกเห็นชัดๆ ว่าแตกตื่น หวังทงชี้ให้หยางซือเฉินดู กล่าวว่า
“เจ้าดู คนพวกนี้เริ่มทนไม่ไหวแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าทำไม?”
หยางซือเฉินมองไปกล่าวว่า
“หรือเพราะเป็นนานหากไม่ได้คำตอบจากใต้เท้า ดังนั้นพวกเขาเลยยิ่งร้อนใจ คิดจะบุกเข้ามา”
หวังทงโบกมือยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าคิดมากไป คนส่วนใหญ่ด้านล่างนั้นต้องการกลับไปกินอาหารค่ำแล้ว?”
หยางซือเฉินอึ้งไป กำลังคิดเอ่ย หวังทงก็เคาะกำแพงยิ้มกล่าวว่า
“จากนี้มีเรื่องสนุก ดูกันต่อ!”
พอแขวนโคมไฟขึ้นไปไม่นาน ก็ได้ยินคนบนถนนตะโกนดังว่า
“คืนนี้หอฉินก่วนมีการแสดงสิบแปดนางฟ้า ผู้ใดมีความสามารถเขียนบทเพลงใหม่ได้ สุราอาหารฟรี และยังอาจได้สาวงามไปครองคืนนี้ด้วย!!”
นี่เป็นเรื่องที่เทียนจินแพร่มายังเมืองหลวงเรื่องหนึ่ง ร้านค้ามีสินค้าใหม่ โรงงิ้วมีละครงิ้วเรื่องใหม่ ล้วนมีรถใหญ่ออกตระเวนประกาศตีฆ้องตีกลอง ลากแผ่นป้ายประกาศออกไป ด้านบนแผ่นเขียนอักษรไว้ มีคนบนรถใหญ่ร้องตะโกนประกาศ หอฉินก่วนย่อมไม่แตกต่าง
หอฉินก่วนปรับเปลี่ยนสิบแปดนางฟ้าสามปีหนึ่งชุด เป็นนางระบำที่ได้รับการต้อนรับที่สุดในเมืองหลวง บัณฑิตต่างชื่นชอบ ราวกับว่าหากไม่ไปชมก็จะขาดความบันเทิงอะไรในชีวิตไปสักอย่าง
ทางนั้นมีคนตะโกนขึ้น เดิมกลุ่มคนก็เริ่มแตกรังกันทนไม่ไหวแล้วก็ยิ่งเอะอะแตกรังมากขึ้น ไม่นานก็มีคนแต่งกายแบบบัณฑิตลังเลไปมาก่อนจะหันหลังกลับ ยามนี้ก็มีคนตะโกนว่า ‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ขึ้นอีก เสียงดังต่อๆ กัน
ภายใต้แสงโคมสาดส่อง สามารถเห็นคนหนุ่มสองสามคนที่เดินออกมาด้านหน้าได้ชัดเจน มีคนตะโกนว่า
“ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด นี่เป็นธรรมเนียมบรรพชนกำหนดให้กล่าวได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด วันนี้หวังทงกลับต้องการจับกุมคนที่สร้างข่าวลือใส่ร้ายในเมืองหลวงไปลงโทษอย่างเหิมเกริม บัณฑิตนับสิบถูกจับไร้ความผิด นานวันเข้า แผ่นดินย่อมไม่เป็นแผ่นดิน แผ่นดินย่อมวุ่นวาย แผ่นดินตั้งมาสองร้อยปี……”
น้ำเสียงปลุกระดมยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฆ้องเสียงกลองดังมาอีก มีคนตะโกนว่า
“โรงงิ้วภักดี โรงงิ้วตรอกเถียนสุ่ย โรงงิ้วตรอกม้าหินมีงิ้วเรื่องใหม่ นักแสดงมีชื่อร้องนำ ต้องซื้อตั๋วเข้าชม คืนนี้ไม่มีตั๋วจอง!!”
โรงงิ้วเป็นที่สถานที่ทุกคนให้การต้อนรับอย่างมาก หาตั๋วยาก และยังมีธรรมเนียมให้จองตั๋วล่วงหน้าได้ แต่งิ้วเรื่องใหม่วันแรกนั้นใครไปถึงก่อนได้เข้าชมก่อน
เทียบกับ 18 นางฟ้าหอฉินก่วนแล้ว ดูงิ้วชมงิ้วยิ่งเป็นเรื่องบันเทิงของคนส่วนใหญ่ที่นี่ พอตะโกนจบ ก็เริ่มมีเสียงแตกรังอีก พริบตา คนก็หายไปกว่าครึ่ง คนที่ปลุกระดมลังเลครู่หนึ่ง แม้ว่าไม่ยินยอม แต่ก็ได้แต่เดินจากไปเช่นกัน
“ก็แค่พวกงี่เง่า ยังกล้ามากล่าวอ้างคุณธรรมอันใด!”
หวังทงกล่าวไม่พอใจ สั่งการต่อไปว่า
“หานกัง นำคนไปจับตัวกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังสุดนั่นไปสอบสวนที่ที่ทำการ!”