องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 806
หวังทงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป พระองค์ได้ยินชัดเจน แต่ไม่กล้าทรงยอมรับ ต้องการฟังอีกรอบ
“หวังทง เจ้าช่างเหิมเกริม เป็นพวกชั่วคิดวางแผนร้ายซ่อนอยู่ในใจจริงๆ ด้วย ฝ่าบาท หวังทงคิดการชั่วร้าย เป็นความชั่วไม่อาจให้อภัย ขอทรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!!”
เสนาบดีกรมพิธีการเฉินจิงปังก้าวออกมาตวาดด่า สีหน้าหวังทงเด็ดเดี่ยวมองฮ่องเต้ว่านลี่ เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่นก็ออกมาทูลร้องเช่นกัน
“ฝ่าบาท การกล่าวได้อย่างไม่ต้องหวั่นเกรงนั้นเป็นหลักการสำคัญของการเมืองใสสะอาด ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดก็เป็นธรรมเนียมที่บรรพชนกำหนดมา ที่หวังทงว่ามา ใช่ว่าเป็นการปิดกั้นการว่ากล่าวตักเตือนงั้นหรือ ราษฎรไม่อาจมากราบทูลได้โดยตรง ใช่ว่าเป็นการปิดปากราษฎรงั้นหรือ ป้องกันการวิจารณ์ราษฎร ก็เท่ากับกั้นเส้นทางน้ำ หากทำตามที่หวังทงว่า ช้าเร็วย่อมสั่งสมจนเป็นภัยหายนะใหญ่เป็นแน่!”
พานจี้ซวิ่นทูลไปก็มองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไปด้วย สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่กลับนิ่ง พานจี้ซวิ่นกัดฟันฝืนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวต่อว่า
“ฝ่าบาท หวังทงคิดให้ราษฎรทวีความแค้น คิดอยากทำลายทำเนียมบรรพชน คิดอยากให้แผ่นดินฝ่าบาทไม่สงบ ความคิดเช่นนี้ย่อมประสงค์ร้าย เหตุใดจะไม่ใช่คิดการชั่วร้ายเล่า ขอทรงพิจารณา ขอทรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ!!”
เสนาบดีกรมอากรหวังหลิน เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้า เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่น เสนาบดีกรมพิธีการเฉินจิงปัง พากันก้าวออกมา พวกเขาเป็นพรรคพวกจางซื่อเหวย ย่อมต้องออกหน้าประสานรับกัน ช่วยเหลือกัน ยามนี้ย่อมต้องก้าวออกมา
เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ในคณะเสนาบดีใหญ่ มหาอำมาตย์เซินสือหังกับรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยล้วนไม่สนใจ สีหน้าเซินสือหังนิ่งเรียบ เมื่อครู่เขาได้ออกมาขอแทนเหยียนชิงไปแล้ว แต่ไม่ได้ใจดีจะออกหน้าอีก สายตาหวังซีเจวี๋ยจับจ้องไปที่บรรดาเสนาบดีกับหวังทง กวาดตามองรอบหนึ่ง ยิ้มเยียบเย็นกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“หวังทงไม่อาจทนฟังวาจาเห่าหอนมั่วซั่วของขุนนางบัณฑิต!”
หวังซีเจวี๋ยไม่พอใจพฤติกรรมชั่วร้ายของขุนนางบัณฑิตนั้นเป็นที่รู้กัน ที่เขากล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องปกติ เซินสือหังที่มีท่าทีนิ่งมาตลอดก็ถลึงตาจ้องมาองเขากล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ระวังวาจาท่านด้วย!”
หวังซีเจวี๋ยทำงานไม่เหมือนกันขุนนางบุ๋นคนอื่น เขาเคยเป็นขุนนางในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เคยเป็นราชบัณฑิตในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน มีประวัติการทำงานมาสองสำนักนี้ ก็เท่ากับเป็นผู้นำในสายตาของพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ปีที่ห้า เรื่องการไว้ทุกข์ตอนนั้นมีขุนนางบัณฑิตชิงหลิวห้าคนที่ถูกจางจวีเจิ้งล่อออกมา หลังปลดตำแหน่งและลงโทษไปแล้ว ในราชสำนักก็ไม่มีคนกล้าออกมากล่าวอันใดอีก หวังซีเจวี๋ยกลับยื่นฎีกาขอไว้
บทสรุปทุกคนก็รู้กันว่าห้าคนนั้นถูกเนรเทศไปบ้าง ถูกปลดจากตำแหน่งบ้าง หวังซีเจวี๋ยก็อ้างว่าล้มป่วยอยู่แต่ในบ้านมาจนถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 พอกลับถึงเมืองหลวง ก็ได้มาเป็นเสนาบดีอันดับสามในกรมพิธีการ จากนั้นก็ได้เข้ามาสู่คณะเสนาบดีใหญ่ พวกในราชสำนักที่เป็นของจางซื่อเหวยเหมือนกับขับอำนาจจางจวีเจิ้งเดิมทิ้งไปหมดสิ้น ใต้หล้าล้วนรู้ว่าทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว ทุกคนกำลังปฏิเสธความดีความชอบจางจวีเจิ้งที่เคยมีมา ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนโจมตี
อยู่ๆ ในตอนนั้นหวังซีเจวี๋ยกลับยื่นฎีกายอมรับความดีความชอบจางจวีเจิ้ง คิดว่าตอนจางจวีเจิ้งคุมอำนาจนั้น หลายเรื่องก็เป็นนโยบายดีควรรักษาไว้ ดังนั้นจึงว่าเป็นตัวประหลาดแห่งแผ่นดินหมิง ขุนนางที่มาจากสายบัณฑิตชิงหลิว ไม่ค่อยได้พบเห็นพวกที่ลงมือปฏิบัติจริงเช่นนี้นัก
ตอนหวังทงดูแลอยู่ที่เทียนจิน ทุกปีส่งเงินทองเข้าวังมากเพียงนั้น นอกเมืองเซวียนฝู่ นอกด่านกู่เป่ยโข่วสองแห่งได้รับชัยชนะ ก็ล้วนเป็นหวังซีเจวี๋ยที่ยอมรับในความสามารถของหวังทง หวังทงออกรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง แม้ว่าเขาเองคิดว่าเป็นการมุทะลุบุกไป แต่หลังเคลื่อนทัพแล้ว ก็เร่งให้กรมทหารและกรมอากร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดสรรเครื่องจำเป็นสำหรับการทหารให้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรบ
ตอนที่ขาดการติดต่อไป ฎีกากับการโจมตีก็มากขึ้นเรื่อยๆ หวังซีเจวี๋ยเคยกล่าวในคณะเสนาบดีใหญ่ว่า หากทัพใหญ่ยังไม่พ่ายแพ้ การทำลายขวัญกองทัพเช่นนี้นับเป็นความผิดใหญ่ หากทัพพ่ายแพ้มา ก็ต้องรีบเตรียมการป้องกันทุกอย่างจึงจะถูกต้อง การกุข่าวลือเช่นนี้มีประโยชน์อันใดกัน
คำเสียดสีของหวังซีเจวี๋ยหน้าพระที่นั่งตอนนี้มีแต่เซินสือหังที่ได้ยิน ไม่กระทบต่อสถานการณ์ตอนนี้นัก ขุนนางสองคนจากสำนักตรวจสอบลังเลก่อนจะก้าวขึ้นหน้ามากล่าวว่า
“ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด หวังทงต้องการปิดกั้นเช่นนี้ ย่อมทำให้แผ่นดินสะเทือน ขอทรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!!”
หากเป็นฎีกาปกติ หรือเป็นขุนนางอื่นเสนอ ก็คงไม่เท่าไร แต่เพราะเป็นหวังทงที่ถวายฎีกาครั้งแรกก็ทำให้เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงต้องปิดประตูสำนักผิด ตอนนี้ยังเสนอเช่นนี้อีก ทุกคนไม่อาจมองข้าม หรือว่าฮ่องเต้ว่านลี่วางแผนกับหวังทงไว้ล่วงหน้าแล้ว?
ความคิดเช่นนี้ยิ่งทำให้น่าตกใจ ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชัดว่าทรงลังเล ทรงมองไปยังขุนนางที่ก้าวออกมาทูลกับหวังทงสลับไปมา ก่อนผินพระพักตร์ไปทางพวกสำนักส่วนพระองค์
เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับจางเสวียเหยียนล้วนทำท่าเหมือนไม่เกี่ยวอันใดด้วย สำนักส่วนพระองค์ด้านหลังทุกคน จางเฉิงและจางจิงก็สีหน้าเรียบเฉย แต่จางหงกับเถียนอี้นั้นกลับมีสีหน้าโมโหมาก
“หวังทง เจ้าบอกว่าลงโทษ คนอื่นกลับไม่เห็นด้วย พวกเขาได้บอกเหตุผลแล้ว เจ้าลองว่าเหตุผลเจ้ามา?”
ได้ยินพระดำรัส ทุกคนก็กระจ่างทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงวางแผนกับหวังทงมาก่อนหน้า ในใจทุกคนก็เบาใจ หวังทงทูลตอบว่า
“ขุนนางบัณฑิตยื่นฎีกา ก็เพื่อเสนอนโยบายปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้ดี การวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้แม้มีข้อผิดพลาด ก็ย่อมเป็นเพราะหวังดี คิดอย่างให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาท เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินหมิง หากเป็นเช่นนี้ไม่ควรมีโทษ นี่จึงเรียกว่าขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด แต่หากมีคนคิดอาศัยสถานะขุนนางบัณฑิต อาศัยขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดมาปกป้องตนเอง ทุกวันเอาแต่กล่าววาจาไร้หลักฐาน กุข่าวลืออันเป็นเท็จ ไม่มีหลักฐานอันใด ก็สามารถทำให้ราษฎรสั่นสะเทือนได้ ก็สามารถโจมตีขุนนางได้ พฤติกรรมชั่วช้าเช่นนี้ จะบอกว่าไร้ความผิดได้อย่างไรกันเล่า!”
หวังทงกล่าวมาได้ทรงพลังยิ่ง ขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผลตอบโต้ มีแต่อ้างว่าเป็นบรรพชนกำหนดมา เป็นการปิดกั้นความคิด ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องไร้เหตุผล เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้าขมวดคิ้วกล่าวว่า
“หวังทง เมื่อครู่เจ้าว่าคนพวกนี้กุข่าวลือทำให้ขุนนางจงรักภักดีมีความชอบต้องหนาวเหน็บใจ เช่นนี้การลงโทษของเจ้าก็ใช่ว่าทำให้ขุนนางบัณฑิตและขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่ภักดีและออกมาเคลื่อนไหวต้องรู้สึกหนาวเหน็บใจเช่นกันหรือ?”
“หากทำไปด้วยความภักดีจริง ก็ย่อมไม่กล่าววาจาไร้เหตุผล สภาพในตอนนี้ ขุนนางบัณฑิตหลิวพูดมานั้นล้วนไม่สนใจว่ามีผลดีอันใดต่อการบริหารแผ่นดิน ไม่สนใจจริงหรือเท็จ แต่ขอเพียงวาจาทำให้คนตกใจได้ ที่พูดไม่นั้นไม่ขอให้มีหลักฐานใด ขอเพียงทำให้คนสนใจได้ ยื่นฎีกาว่าทัพใหญ่พ่ายศึกราบคาบ ยื่นฎีกาว่าทัพใหญ่สังหารคนตามอำเภอใจ พากันพูดกันหนาหู แต่ไม่มีสักคนที่บอกว่าทัพใหญ่แพ้อย่างไร เมืองหลวงควรป้องกันเช่นไร หากไร้แม่ทัพทหาร ควรจะเลือกผู้ใดมาทำหน้าที่ เอาแต่พูดปาวๆ ใส่ร้ายผู้อื่น มีคนฟังมาก พวกเขาก็มีชื่อเสียงมากว่าเป็นขุนนางมือสะอาด มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวยเงินทอง แต่เรื่องที่เขากุขึ้นนั้นกลับส่งผลเสียต่อการทำงานและผู้อื่นไหม? หากเอาเรื่องขึ้นมา ก็กล่าวล่องลอยเพียงว่า ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด ก็กลบเกลื่อนให้ผ่านไปได้…….”
หวังทงหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า
“กุข่าวลือ ใส่ร้ายคนดี พูดผิดไปแล้วไร้คนเอาเรื่อง ไม่ต้องรับผิดชอบ กลับมีชื่อเสียงทั่วหล้า เทียบชั่งข้อดีข้อเสียแล้ว แม้เด็กสามขวบก็ยังดูออก นานวันเข้า ผู้ใดจะยังกล้าตั้งใจทำงานเพื่อแผ่นดินกัน ผู้ยังกล้าทำงานอย่างตั้งใจยืนให้มั่นกัน วันๆ คงเพียงแค่คิดหาทางกล่าวาวาจาให้ยิ่งใหญ่ กล่าวความเท็จ หลอกคนให้ตกใจก็สามารถมีชื่อเสียงทั่วหล้าได้ ค่อยๆ ได้เลื่อนขั้น การกระทำเช่นนี้นับวันยิ่งรุนแรง หากปล่อยต่อไป ขุนนางระดับล่าง บัณฑิตทั้งหลาย ยังจะมีผู้ใดอยากทำงาน ก็คงพากันอยากเป็น บัณฑิตมีชื่อ มากกว่า จะมีผู้ใดมาช่วยแบ่งเบาราชกิจฝ่าบาท ผู้ใดมาแบ่งเบาภาระบริหารเงินทองให้ฝ่าบาท?”
ในพระที่นั่งเงียบกริบ ขุนนางทั้งหลายนอกจาก รองเจ้ากรมซ้ายขวาของสำนักตรวจสอบที่ดูแลพวกขุนนางบัณฑิต ไม่อาจออกหน้า ที่เหลือก็เป็นขุนนางชั้นสูงที่มีผู้ใดบ้างไม่เคยถูกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวระบายด่า หากทำผิดจริงก็ไม่มีอันใดกล่าวแย้ง แค่หน้าประตูทาสีสดไปหน่อย ที่บ้านกินดีไปหน่อย ก็มีคนยื่นฎีกาฟ้อง คิดจะทำให้เรื่องเงียบ ยังต้องฝากคนไปแอบหารือ ว่าจะให้เงินเท่าไร ระดับขุนนางในวงการแบ่งระดับสูงต่ำ แต่ตอนนี้ ระดับสามขึ้นไปกลับกลัวระดับล่างอย่างขั้นหกเจ็ด เกรงว่าพวกนี้จะจับความผิดได้
หากมาจากขุนนางที่ซื่อตรงอย่างไห่รุ่ยก็แล้วไป มาจากใจที่เป็นธรรม ทุกคนล้วนหวาดกลัว แต่ตอนนี้ในเมืองหลวงขุนนางบัณฑิตชิงหลิวกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเพียงแค่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
การจะมาถึงระดับเสนาบดีและเจ้ากรมชั้นสูงได้ ก็ย่อมรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถแท้จริงจึงมีวันนี้ได้ ย่อมไม่รู้สึกดีอันใดกับการถูกรังแกด้วยวาจาเช่นนั้น และยังรู้สึกว่าการปล่อยให้คนพวกนี้รังแกนั้นยอมรับไม่ได้
ทว่าทุกคนรู้สึกได้ทันทีว่า หรือเช่นนี้ก็ถูกหวังทงเกลี้ยกล่อมได้แล้ว หากฎีกานี้ได้รับอนุมัติ ใช่ว่าเป็นหวังทงเข้าประชุมราชสำนักวันแรกก็จัดการทุกคนในราชสำนักได้หมด วันนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ทุกคนมีปากมีเสียงอันใดได้อีก
แต่คิดจะปฏิเสธก็หาเหตุผลอันหนักแน่นไม่ได้ในเวลากระชั้นชิดนี้ ที่หวังทงว่ามาก็เป็นความจริง เหตุผลโต้กลับก็ไม่อาจล่องลอยเกินไปนัก ในพระที่นั่งจึงถึงกับเงียบกริบไป
เซินสือหังมองคนในที่ประชุมกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้าหวังหมายความว่า ขุนนางบัณฑิตไม่มีความผิดหากกล่าวเรื่องจริง แต่ข่าวลือป้ายสี กลับขาวเป็นดำจึงควรลงโทษหรือ?”
“เป็นดังที่ท่านอำมาตย์ว่ามา”
เซินสือหังถามเสร็จ ยังไม่ทันตอบ ก็เงียบไป ในเมื่อหวังทงไม่คิดยกเลิกระบบขุนนางบัณฑิต คิดเพียงแค่จัดการบางส่วน เป็นดังการเอาคืนของหวังทง จึงรับคำเขา ไยต้องมีเรื่องกันตรงนี้มากไป หากนานไป หวังทงทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วจะทำอย่างไร
ขุนนางที่เหลือค่อยๆ คิดได้ กำลังจะพูด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสถามขึ้น
“จางปั้นปั้น ท่านคิดว่าที่หวังทงว่ามานั้นเป็นอย่างไร?”
“ฝ่าบาท เรื่องขุนนางราชสำนัก กระหม่อมไม่กล้าออกความเห็น หากเป็นเรื่องในวัง ขอเพียงผู้ใดกล่าวผิด ห้องพิธีการย่อมลงโทษตามธรรมเนียม อย่างไรทุกคนก็เป็นบ่าวรับใช้ฝ่าบาท ปล่อยปละมิได้ ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวล้วนเป็นข้าแห่งแผ่นดินหมิง ได้รับพระราชทานพระเมตตาจากฝ่าบาท ทำผิดก็ไม่อาจไม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด……”