องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 808
พลถือธงนำกองกำลังหู่เวยกับทหารราบเข้าเมือง มีหลายคนเคยชมการนำทัพใหญ่ก็พากันหัวเราะขำ บอกว่าไหนเลยมีการจัดเรียงทัพแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็ต้องให้ทหารเก่งกล้าของทัพตนมาอยู่ด้านหน้าให้ทุกคนได้เห็นกันก่อน ก็เหมือนกับคนขายแตงที่จะเอาผลไม้ที่สดที่สุดมาเรียงไว้ด้านนอกให้คนได้เห็น
ทัพหนึ่ง ที่เก่งกล้าที่สุด ที่เครื่องมือยุทโธปกรณ์ครบครันที่สุดก็ย่อมเป็นขุนพลกับทหารติดตามตน คนพวกนี้ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายครบครัน ส่วนใหญ่ยังขี่ม้ากันอีกด้วย
ดังนั้นในสถานการณ์เกียรติยศแสดงบารมีกองทัพเช่นนี้ก็ต้องให้แม่ทัพนำทหารม้าเดินหน้า และทหารราบมักจะตามมาสุดท้าย และยังมักให้เดินผ่านไปอย่างเร็วเรียบง่าย ต้องแสดงความมีหน้ามีตาของกองทัพไว้แรกสุด คนที่เหลือไม่ให้เข้าร่วม และคนถือธงก็มักจะถือธงใหญ่สะบัดบนหลังม้าเพื่อแสดงบารมีเกรียงไกร
พอกองกำลังหู่เวยปรากฏ ก็เหมือนผิดไปจากธรรมเนียมที่มีมา ทหารถือธงเดินนำ ที่ปรากฏตัวแรกสุดก็เป็นทหารราบ ทุกคนตกใจไปเตรียมขำไป
ทหารราบเป็นเช่นไร ทุกคนใช่ว่าไม่เคยพบเห็น สวมชุดเก่าๆ ขาดๆ สามารถปะเรียบร้อยเรียกได้ว่าเรียบร้อยสุดแล้ว ส่วนใหญ่สีหน้าซีด เหมือนไม่ได้กินข้าวอิ่มกันมา ต้องเป็นพวกระดับล่าง จึงมีท่าทางเช่นนี้
อย่าว่าแต่ทหารท้องที่อื่นเลย แม้แต่ทหารเมืองหลวงก็มีแต่กองกำลังสังกัดวังหลวงที่ดีหน่อย ทหารเมืองหลวงไม่น้อยก็เป็นเช่นดังกล่าวมาเมื่อครู่ มีอะไรน่าดูกัน
แม้ทุกคนรอดูเรื่องตลกกันอยู่ แต่ในใจก็อดผิดหวังไม่ได้ ตื่นแต่เช้ามาจับจองที่ เดิมคิดจะชมกองทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวง ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถง สามทัพร่วมแรงกันปราบปรามเผ่าอันต๋าบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกนอกด่านต้องมีทหารม้าม้า คิดจะได้รับชัยชนะใหญ่ก็ต้องอาศัยทหารม้า
การได้ชมภาพทหารม้าเป็นแนวยาวนั้นเป็นภาพที่งดงาม ผู้ใดจะคิดว่ากลับเป็นทหารราบ ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ได้ดังใจนัก
ทว่าพอเห็นทหารราบทวนยาวในชุดเกราะแวววาว ท่าทีฮึกเหิม ปกติเกราะพวกนี้จะอยู่บนตัวขุนพลบนหลังม้าเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นบนตัวทหารราบ น่าสนใจยิ่ง
มีคนคิดว่าหรือเป็นกองกำลังสังกัดวังหลวงเรียงอยู่แถวหน้าเป็นทหารราบ ให้สวมชุดเกราะกัน เกราะพวกนี้ไม่แน่อาจเป็นทหารติดตามแม่ทัพท่านใดก็ได้ ด้านหลังคงไม่มีแล้ว
ท้องถนนเงียบลงเรื่อยๆ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะกับเสียงย่ำเท้าเป็นระเบียบพร้อมกัน แถวทหารราบในชุดเกราะพร้อมเดินเข้าเมือง
ท้องถนนแม้ว่ากว้างขวาง แต่มาตรฐานการเดินทัพของกองกำลังหู่เวยพลทวนยาวแบบแนวตั้งแนวนอนตามระเบียบนั้นกลับมีที่ไม่พอ จึงได้แต่เรียงแถวยาว แถวที่หนึ่งเป็นทหารชุดเกราะ ทุกนายล้วนมีท่าทางองอาจกล้าหาญ สีหน้าเด็ดเดี่ยวมองตรงไปยังด้านหน้า ก้าวไปอย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกัน
แถวที่หนึ่งเช่นนี้ แถวที่สองเช่นนี้ แถวที่สามก็เช่นนี้ ……กลบเสียงเสียงจอกแจกกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงหมดสิ้น สุดท้ายก็กริบไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างตั้งใจชมกองกำลังหู่เวยเดินแถว ทุกคนต่างพากันอุทาน ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ใต้หล้านี้มีกองกำลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
คนไม่น้อยต้องหรี่ตามอง ไม่นานก็ต้องหลับตา เพราะตอนเกราะไม่กระทบแดดยังดี หากทวนยาวกลับส่องประกายใสตาไม่หยุด พลทหารไม่ต้องพยายามอวดบารมีทัพตน พวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น พวกเขาได้พิสูจน์ตนเองมาแล้วจากผลการรบ พวกเขาตอนนี้เพียงแต่เดินแถว
พลทวนยาวเดินจบขบวน จากนั้นก็พลปืนไฟ พลปืนไฟแบกปืนไฟไว้บนบ่า พวกเขาสวมเกราะหนังที่ติดด้วยแผ่นดีบุก ถุงดินปืนกับกระสุนปืนแขวนได้ที่ตัว แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เดินนำหน้าองอาจเหมือนพลทวนยาว แต่พลปืนไฟเป็นทหารที่เก่งกล้าชำนาญการที่กองกำลังหู่เวยคัดเลือกมา ความองอาจเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขามองแล้วรู้สึกได้ถึงความต่าง
พลปืนไฟเดินผ่าน จากนั้นก็เป็นปืนใหญ่สามกระบอกลากมาด้วยม้า รถปืนใหญ่มีทหารนั่งมาด้วยสามนาย ม้าลากปืนใหญ่ก็มีทหารม้าจูงมา แต่ละคนท่าทางจริงจังอย่างมาก ปืนใหญ่เดิมก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงแล้ว จึงยิ่งทำให้คนพากันอุทานอ้าปากค้าง
พลทวนยาว พลปืนไฟ พลปืนใหญ่ผ่านไปตามลำดับ นี่คือการเดินแถวของหน่วยที่ 1 จากนั้นก็เป็นหน่วยที่ 2 แสดงการเดินแถวแบบเมื่อครู่อีกรอบ
จากนั้นจึงเป็นทหารม้า พอเห็นทหารราบด้านหน้าผ่านไป ทหารม้าตอนนี้ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอันใด ได้แต่มองชุดเกราะหมวกเหล็กของบรรดาทหารม้า ม้าก็มีเกราะหนังคลุมปิดไว้ เคลื่อนไหวเป็นระเบียบ เหมือนกับสัตว์ประหลาด ราษฎรที่มามุงดูกัน ชนชั้นสูงบนชั้นสองที่มามุงดูกัน ก็อดหายแรงอย่างตื่นเต้นไม่ได้
รอกองกำลังหู่เวยเดินทัพหมดแถว จากนั้นจึงเป็นทหารเมืองจี้โจว 6,000 เข้าเมือง ทหารเหล่านนี้ย่อมเป็นทหารแนวหน้าที่คัดเลือดมาจากก่อนหน้าที่ว่าดีเยี่ยมแล้ว ทหารม้าเป็นหลัก ทหารราบก็ร่างกายกำยำแข็งแรง
เมืองจี้โจวไม่เหมือนที่อื่น ทหารราบส่วนใหญ่ฝึกกันดี ทหารเช่นนี้เดินตามท้องถนน หากเป็นเมื่อก่อน ราษฎรที่เห็นโลกมามากก็ย่อมยกนิ้วแม่โป้งชม แต่เพราะด้านหน้าเป็นกองกำลังหู่เวยที่เพิ่งผ่านไป บารมีองอาจที่ไม่เคยพบเห็นได้ทำให้คนตกใจกันไปหมดแล้ว ด้านหลังที่ตามมาก็ไม่เท่าไร
ตอนทัพเมืองจี้โจวเคลื่อนผ่าน ด้านข้างก็เริ่มมีเสียงจอแจ พอทหารม้าต้าถงเข้าเมืองมา ทุกคนก็รู้สึกว่าธรรมดาไปเลย ก็แค่นี้เท่านั้น
**********
บัณฑิตที่ว่าจะมาผดุงคุณธรรมก่อนหน้าพวกนั้น ตอนนี้เริ่มเบียดตัวไปด้านหน้า พอเห็นพลทวนยาวกองกำลังหู่เวย เรียงแถวเข้าเมืองมา สีหน้าก็เริ่มซีดขาว การเคลื่อนไหวเริ่มแข็งทื่อ
ทหารกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองไม่มีมองซ้ายแลขวา มีแต่มองไปข้างหน้า พวกคิดก่อเรื่องก็อดไม่ได้ต้องถอยหลัง ผู้ใดกล้ากล่าวอันใด ผู้ใดกล้าเข้าใกล้กัน
ไม่เพียงแต่พวกเขา ราษฎรสองข้างทางก็หายใจแรงอย่างตื่นเต้นเช่นกัน บ้างก็อุ้มลูกออกมาชม เด็กๆ สนุกสนานครื้นเครงกันมาก กำลังดีใจอยู่นั้น รอบๆ อยู่ ๆ ก็เงียบลง เด็กน้อยเป็นพวกที่ประสาทสัมผัสไวที่สุด กลิ่นไอสังหารคละคลุ้งไปทั่ว ก็ตกใจจนแผดร้องไห้จ้า
ทว่าเพียงแค่ส่งเสียงร้อง ก็ถูกผู้ใหญ่อุดปากไว้ทันที เกรงว่าจะรบกวนทัพใหญ่ พวกบัณฑิตที่เดิมคิดขวางทางก็อดไม่ได้พากันตัวสั่น ยืนนิ่งกับที่ไม่กล้าขยับ
พอกองกำลังหู่เวยเคลื่อนผ่านไป เปลี่ยนเป็นทัพเมืองจี้โจว บรรยากาศก็ผ่อนคลายลง มีเสียงตะโกนเชียร์ดังโหวกเหวกว่า ‘สังหารพวกนอกด่าน สุดยอดมาก!!’
มีคนนำก่อน อยู่ ๆ รอบๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว ความเงียบเมื่อครู่ช่างกดดันเกินไป ทุกคนจึงพากันตะโกนส่งเสียงดังตาม มีเพียงกองทัพเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถสังหารพวกนอกด่านให้ราบคาบได้ มีเพียงกองทัพเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำลายเผ่าอันต๋าที่เป็นภัยของแผ่นดินหมิงร่วมร้อยปีนี้ลงได้ มีกองทัพเช่นนี้ แผ่นดินหมิงสงบสุขแล้ว
เดิมพื้นที่ที่กองกำลังหู่เวยเดินผ่าน ถนนสองข้างเงียบกริบ แต่พอทางนี้มีคนตะโกนดัง ทุกคนจึงได้สติตะโกนเชียร์ตามกัน ท้องถนนเริ่มแรกทีเงียบราวกับว่างเปล่า ยามนี้ทุกคนต่างตะโกนชมดัง แม้แต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรก็ชูอาวุธในมือร้องตะโกนชมไปด้วย
การตะโกนชมเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความในใจประชา บัณฑิตในฝูงชนพวกนั้น ยามนี้สีหน้าซีดขาว ปากก็พึมพำไม่หยุดว่า
“พวกชาวบ้านหน้าโง่ๆ !!”
ทว่าไม่กล้าส่งเสียงดัง วาจาเคียดแค้นเต็มไปด้วยความชิงชังพวกเขาถูกกลบลงด้วยเสียงร้องชมดังของฝูงชน
‘บารมีฝ่าบาทคุ้มครอง จึงได้ชัยชนะใหญ่!!’ ‘ชัยชนะทั้งมวลล้วนเป็นของฝ่าบาท !!’
ตอนเสียงตะโกนดังขึ้นดังคลื่นแรง ในกองกำลังหู่เวยก็มีคนเป่านกหวีดดังสองสามที พวกทหารรีบเริ่มพากันตะโกนพร้อมกันดังไปทั่ว
เทียบกับการตะโกนดังของราษฎรแล้ว การตะโกนพร้อมเพรียงของกองกำลังหู่เวยย่อมมีระเบียบพร้อมกันมากกว่า ครู่เดียวก็กลบเสียงตะโกนดังของราษฎรไปหมด ราษฎรเงียบลง ก็ได้ยินกองกำลังหู่เวยด้านหน้ามีคนตะโกนลากเสียงยาวขึ้นว่า
“พวกเราทำไมต้องไปรบกับพวกนอกด่าน!!?”
“เพื่อฝ่าบาท เพื่อแผ่นดินหมิง!!!!”
คนหนึ่งถามขึ้น ทุกคนตอบพร้อมกัน ราษฎรสองข้างถนนยามนี้เงียบไปทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนของทหารดังยิ่งขึ้น ยามนี้เองก็มีคนตะโกนขึ้นว่า
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”
กองกำลังหู่เวย ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถง ร่วมประสานเสียงสรรเสริญพระบารมี เสียงราษฎรถูกเสียงทหารกลบไปหมด ตามมาด้วยตะโกนว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’ เสียงตะโกนเริ่มแรกก็ตะโกนตามๆ กันไป เริ่มแรกสนุกๆ กัน ต่อมาจึงได้มาจากใจอันแท้จริง สมควรตะโกนดังเช่นนี้จริงๆ
คิดทำลายราบพวกนอกด่าน เพื่อขจัดภัยแผ่นดิน ในเมืองหลวง องครักษ์เสื้อแพรจัดกองลาดตระเวนให้ราษฎรมีความปลอดภัย ให้สามารถทำการค้าทำกำไรได้ยิ่งมาก ทุกแห่งมีสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สินค้าราคาก็ไม่ได้สูงผิดปกติ หรือว่าไม่ใชเพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาหรือ? ฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ควรทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี
‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’ ดังกระหึ่มทั่วเมืองหลวง ราวกับคลื่นกระทบลูกแล้วลูกเล่า ทหารตะโกนแซ่ซ้อง ราษฎรก็ตะโกนแซ่ซ้องตาม
**************
สนามฝึกกองกำลังสังกัดวังหลวงและสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ก่อนหน้า ตั้งเวทีสูง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งในฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพ หวังทงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงยืนอยู่ด้านขวา ขุนนางบุ๋นนั่งอยู่ด้านซ้าย
พูดจากใจ บรรยากาศบนเวทีไม่ดีสักเท่าไร แม้ว่าจากนั้นหวังทงจะไม่ได้ทำอันใด แต่วันนั้นในราชสำนักจัดการคว่ำเหยียนชิงลง และยังจัดการขุนนางบัณฑิตที่ใส่ร้ายป้ายสี ขุนนางบุ๋นย่อมยากที่จะรู้สึกดีกับหวังทง วันนี้เดิมบรรยากาศฉลองชัยคึกคัก หากสายตาเย็นชาของขุนนางบุ๋น ทำให้บรรยากาศฝืดยิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่ก็ทรงรู้สึกอึดอัด ทว่าไม่อาจตรัสอันใดได้ การประกาศความดีความชอบ ณ สนามฝึกของกองกำลังสังกัดวังหลวงนี้ก็มีขุนนางใหญ่ทัดทานแล้วว่าสิ้นเปลืองเงินทอง จึงได้แต่นั่งรออย่างเงียบๆ ไม่นานก็มีม้าเร็วมารายงานภาพการเข้าเมืองของทัพใหญ่
“ฝ่าบาท ท้องถนนเงียบกริบ ราษฎรถูกบารมีกองทัพข่มจนตกใจ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้า หันไปตรัสกับหวังทงว่า
“เจ้าฝึกกำลังมาได้ดี เป็นทหารพยัคฆ์แท้จริง !”
“ฝ่าบาท ตามท้องถนนราษฎรต่างตะโกนชื่นชม…….”
มีคนรายงานขึ้น ทางฝั่งขุนนางบุ๋นไม่รู้ว่าผู้ใดกระซิบขึ้นว่า ‘เกรงว่าจะมิใช่วาสนาแผ่นดิน’ ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์บึ้งตึง แต่ก็ไม่สนใจ ยามนี้ได้ยินคลื่นเสียงดังกระหึ่มมาจากทางใต้ของเมืองหลวง ทุกคนพากันตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ก็ได้ยินกระจ่างต่อมา ไม่จำเป็นต้องมีคนรายงานอีก
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”