องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 809
ฉลองชัยสวนสนามหน้าพระที่นั่งเป็นพิธีการใหญ่ราชสำนัก ไม่อาจขาดตกบกพร่อง ทหารเข้าเมืองมาห่างจากสนามฝึกไม่เท่าไร แต่ก็มีแต่รายงานมาไม่หยุด
ยามนี้ระยะห่างไม่มาก เสียงก็ดังมา เห็นได้ว่าเสียงดังกระหึ่มเพียงใด ทัพใหญ่ที่ตะโกนว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี’ ได้ยินชัดเจน ในระยะใกล้เพียงนี้ย่อมสร้างความรู้สึกแตกต่าง
รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งฉีกกว้าง ยามนี้ทหารม้าเร็วรายงานก็วิ่งมาอีก มาถึงก็ถูกนำไปยังหน้าเวที ตะโกนตรงเวทีด้านล่างว่า
“ฝ่าบาท ทหารทั้งหมดแซ่ซ้องดังว่า ‘บารมีฝ่าบาทคุ้มครอง จึงได้ชัยชนะใหญ่!!’ ‘ชัยชนะทั้งหมดเป็นของฝ่าบาท!!’ ทหารและราษฎรล้วนแซ่ซ้องพระบารมี ‘ขอจงทรงพระเจิรญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ’ ”
พอได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป ทรงหัวเราะพึงพระทัยดังลั่น หวังทงยามนี้ทูลดังว่า
“ทัพปราบชายแดนเหนือมีชัยชนะอันรุ่งโรจน์นี้ก็ล้วนเป็นพระบารมีฝ่าบาทคุ้มครอง เป็นเพราะบรรพชนแผ่นดินหมิง ปกป้อง ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”
กล่าวจบก็คุกเข่าลง ขุนพลกองกำลังสังกัดวังหลวงรวมทั้งขันทีในวังฝ่ายในก็คุกเข่าตาม ขุนนางบุ๋นในราชสำนักสบตากัน มาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะกล้าฝืนต่อไป ให้มหาอำมาตย์เซินสือหังเป็นผู้นำ พากันคุกเข่าแซ่ซ้องพร้อมเพรียงว่า
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง พระวรกายสั่นเทิ้ม อย่างไรก็ยังจำได้ว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ อย่างไรต้องรักษาท่าทีไว้ แต่จะกลั้นยิ้มนั้นยากยิ่ง ขันทีข้างๆ เสียงแหลมขึ้นว่า
“ฝ่าบาท กองทัพใหญ่จะเข้าสู่สนามแล้ว!!”
จึงได้ทำให้ทรงเก็บอาการปิติ ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงสั่นตรัสว่า
“ขุนนางที่รักทุกท่านลุกขึ้นได้ วันนี้ตัวละครเอกคือทหารที่นำชัยกลับมา ไม่ใช่เรา พวกท่านอย่าได้มากพิธี รีบลุกขึ้นๆ เตรียมต้อนรับทัพใหญ่กัน!”
‘ตัวละครเอก’ เป็นคำศัพท์ใหม่ เพราะโรงงิ้วและโรงละครจึงได้มีคำนี้ขึ้น หากสืบถึงต้นตอ ก็ย่อมรู้ว่ามาจากหวังทง ทว่าผู้ใดจะไปสนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้กัน ส่วนคำว่า ‘มากพิธี’ นี้ เรียกได้ว่าเหลวไหล ไม่ควรเป็นฮ่องเต้หลุดตรัสออกมา
แต่ทุกคนย่อมไม่เอ่ยถึง พอทุกคนลุกขึ้น รอบๆ ที่เตรียมกลองใหญ่ไว้นานแล้วก็เริ่มตีดังกระหึ่มไปทั่ว แม้ว่าถนนจากในเมืองมายังสนามนี้ได้ราดน้ำไว้แล้ว แต่อากาศแจ่มใส ก็ยังทำให้ฝุ่นลอยคลุ้งได้เช่นกัน ทัพใหญ่กำลังจะเข้าสู่สนามแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ตื่นเต้นจนก้าวขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ขุนนางรอบๆ ทั้งบุ๋นและบู๊ ขันทีทั้งหลายก็ย่อมยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนใหญ่สายตาจับจ้องไปยังทัพใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาเบื้องหน้า รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยกระซิบกับเซินสือหังว่า
“ท่านอำมาตย์ หวังทงผู้นี้มีความสามารถจริงแน่นอน แต่เหตุใดจึงได้ประสบสอพลอเก่งไม่ธรรมดาเพียงนี้ได้ นี่อายุเท่าไรเอง…”
“บัณฑิตไม่พึงวิจารณ์เรื่องเทพเจ้า ทว่าหวังทงเกรงว่าคงมีดาวเทพแห่งปัญญาจริง”
เซินสือหังมองไปด้านหน้า กล่าวขึ้นเบาๆ เช่นกัน
***********
บนสนามฝึกตลบไปด้วยฝุ่น ทัพใหญ่เดินวนรอบสนามฝึก ทุกครั้งที่เดินผ่านเวที ขุนพลทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องพร้อมกันว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’
ทอดพระเนตรทัพใหญ่เดินทัพผ่านเวที พร้อมคำแซ่ซ้อง ฮ่องเต้ว่านลี่ถึงกับตื่นเต้นยินดีอย่างมาก ตอนที่อยู่ลานฝึกหู่เวย ฮ่องเต้ว่านลี่เคยได้ยินหวังทงเล่าถึงภาพการฉลองชัย ทรงอยากรับรู้ความรู้สึกนี้อยู่เหมือนกัน ฮ่องเต้รับการสวนสนามจากกองกำลังสังกัดวังหลวงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแค่การซ้อมในกองกำลังสังกัดวังหลวง จากนั้นก็เรียงแถว ฮ่องเต้ว่านลี่ดูสองสามที ขันทีก็มาประกาศแล้วก็จบ ไหนเลยจะได้สัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ได้
“หวังทง ตอนนั้นเจ้าว่าสร้างกองกำลังหู่เวยให้เรา ไว้คุ้มกันเรา วันนี้เราเห็นแล้ว ๆ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองทัพใหญ่ ตื่นเต้นตรัสขึ้น หวังทงด้านหลังกระซิบว่า
“ล้วนพระบารมีฝ่าบาทคุ้มครอง กระหม่อมมิบังอาจรับความชอบ!!”
เทียบกับนายบ่าวถามตอบกันด้านนี้แล้ว ขุนนางบุ๋นอีกทางเรียกได้ว่าเงียบกริบมาก พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของกองกำลังหู่เวย แต่คิดไม่ถึงว่าแข็งแกร่งเพียงนี้ แม้เป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่รู้เรื่องการทหารก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่กำจายออกจากกองกำลังได้ชัดเจน รู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
กองทัพเช่นนี้สามารถทำลายเผ่าอันต๋าได้จริง สามารถนำชัยชนะอันรุ่งโรจน์จากนอกด่านกลับมาได้จริง กลิ่นอายสังหารเบื้องหน้าล้วนกำลังกดทับความคิดเสียดสีและหาเรื่องในใจ
มีคนรู้สึกเสมอว่าหวังทงอายุยังน้อย เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดปรานจึงมีวันนี้ได้ หวังทงเองกลับไม่รู้สึกสงบเสงี่ยม เอาแต่หาเรื่องในราชสำนักไม่หยุด วันนี้ได้เห็นกองทัพนี้แล้ว ทุกคนจึงได้รู้ว่า หวังทงมีคุณสมบัติพอที่จะหาเรื่องและโต้แย้งทางการเมือง เขามีกำลังพอ
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นหลี่หู่โถวเดินอยู่ในทัพ เห็นสีหน้าคุ้นเคยมากมาย ล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนในลานฝึกหู่เวยทั้งนั้น ทรงอยากตะโกนอะไรบ้าง
แต่ทรงเป็นฮ่องเต้ ควรรับการแซ่ซ้องและตะโกนสรรเสริญจากผู้อื่น คิดอยู่นาน ฮ่องเต้ว่านลี่ จึงได้ยกพระหัตถ์ตะโกนขึ้นว่า
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ทหารกองกำลังหู่เวย ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถงล้วนได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ครั้งแรก ทุกคนกำลังตะโกนด้วยกำลังใจฮึกเหิมอยู่ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ผู้อยู่เหนือผู้ใด กลับกำลังตะโกนเช่นกัน
ทั้งสนามเสียงดังกระหึ่ม ไม่มีคนได้ยินเสียงตะโกนว่าอันใด จึงพากันเงียบลง ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตะโกนขึ้นว่า
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ทหารทั้งหลายกำลังเดือดพล่านราวกับระเบิดถูกจุด ระเบิดออกทันที พวกเขาตะโกนยิ่งดังกระหึ่มยิ่งบ้าคลั่งขึ้นอีกว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!” ขุนนางบุ๋นสบตากันก่อนจะตะโกนตาม
***********
หลังพิธีสวนสนามจบลง หวังทงกับรองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจว หม่าต้งเมืองต้าถงก็เข้าถวายรายงานจำนวนที่ดินและประชากรในเมืองกุยฮว่าเฉิง
เรื่องนี้สำคัญมาก แสดงให้เห็นว่าดินแดนเผ่าอันต๋าและประชากรทั้งหมด ได้ตกอยู่ใต้อาณัติฮ่องเต้แผ่นดินหมิงแล้ว
จากนั้นก็ถวายตราประทับทองคำของเผ่าอันต๋า ดาบคู่กายข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง และของอันเป็นสัญลักษณ์ผู้ปกครองของข่านเผ่าอันต๋า จากนั้นก็ทูลรายงานของที่ได้มาจากสงครามทั้งหมด
ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ทำจากทองคำและเงิน ไม่เพียงแต่ชัยชนะ ยังแสดงให้เห็นแผ่นดินหมิงได้บุกเบิกแผ่นดินใหม่ แสดงให้เห็นว่าแผ่นดินหมิงได้ปราบศัตรูสิ้น พิธีการดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ แม้แต่ขุนนางบุ๋นก็ล้วนยากจะระงับความตื่นเต้นไว้มีคนกล่าวพึมพำขึ้นว่า
“เข้มแข็งดุจฮั่น รุ่งเรืองดุจถัง…….”
คนบนเวทีล้วนเป็นคณะผู้นำกลางแห่งแผ่นดินหมิง พวกเขาย่อมอยากให้แผ่นดินขยายอาณาเขตออกไปไม่หยุด เข้มแข็งไม่หยุด ออกปราบรอบนอกไม่หยุด เมื่อก่อนทำไม่ได้ มักถูกโจมตีอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นจึงระมัดระวังกันมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าตนเองมีความสามารถเมื่อใดแล้วไม่คิดจะทำ
หวังทงได้รับแต่งตั้งเป็นติ้งเป่ยโหว เลื่อนเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หยางจิ้นได้รับแต่งตั้งเป็นหนิงเปียนป๋อ (ท่านป๋อชายแดนเป็นสุข) เลื่อนเป็นผู้บัญชาการเมืองอวี้หลิน หม่าต้งได้รับแต่งตั้งเป็นอันเปียนป๋อ (ท่านป๋อชายแดนสงบ) เลื่อนเป็นผู้บัญชาการทัพเมืองต้าถง หลี่หู่โถวเป็นจงหย่งป๋อ (ท่านป๋อกล้าหาญภักดี) เลื่อนเป็นผู้บังคับการกองกำลังหู่เวย คุมกำลังกองกำลังหู่เวย……
บำเหน็จความชอบนี้ล้วนเป็นไปตามคาดหมาย ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ มอบบรรดาศักดิ์ระดับโหวหนึ่ง และระดับป๋อสาม และเลื่อนตำแหน่งให้อีก
แต่ละกองกำลัง รวมทั้งลี่เทา ถานปิงและพวกซุนซิงแห่งกองกำลังหู่เวยก็ได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นค่อนข้างมาก หากออกไปนอกเมืองหลวง เทียบตำแหน่งรองแม่ทัพก็ย่อมได้รับ แต่ตำแหน่งพวกนี้เรียกได้ว่ามีแค่ตำแหน่งไร้อำนาจสั่งการ ใช้การไม่ได้นัก
นอกจากนี้ ตั้งแต่ระดับหวังทงลงไปถึงพลทหาร ล้วนได้รับพระราชทานบำเหน็จกันก้อนโต เงินพวกนี้ได้มาจากผลที่เก็บเกี่ยวได้หลังชัยชนะเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิง อัฐยายซื้อขนมยายนั่นเอง ไม่ใช่เงินทองราชสำนัก
รางวัลพระราชทานมีแปลกอยู่เรื่องก็คือให้พวกหวังทงดูแลบริหารที่นาครึ่งหนึ่งในเมืองกุยฮว่าเฉิงของวังหลวง ให้เก็บผลประโยชน์เป็นค่าแรง การค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงได้รับสิทธิพิเศษ ที่นาราบลุ่มแม่น้ำให้เป็นของผู้บุกเบิกไป แต่ก็มีข้อแม้หนึ่ง ว่าให้พวกเขารับหน้าที่คุ้มกันปกป้องเมืองกุยฮว่าเฉิง
เรื่องนี้เหมือนไม่ใช่รางวัล หากเป็นงานหนัก ทั้งป้องกันต้องดูแล ทั้งต้องหนาวเหน็บในดินแดนตอนเหนือ ช่างลำบากมาก แต่คิดให้ดี ก็พบว่า เท่ากับว่ามอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้พวกหวังทงไป บรรดาศักดิ์อ๋องบนแผ่นดินหมิงเป็นสิ่งลอยๆ แต่พวกหวังทงกลับได้ที่ดินไปจริงๆ และยังถึงกับมีราษฎรอีกด้วย
นี่เป็นการทำลายธรรมเนียมใหญ่ เรื่องไม่คาดคิดพวกนี้ไม่ได้รับการขัดขวางจากการหารือในหกกรมกอง เพราะทุกคนรู้ดีว่า เมืองกุยฮว่าเฉิงโดดเดี่ยวนอกแผ่นดิน เป็นพื้นที่ใหม่ พระราชทานให้บรรดาขุนพลทหารคอยปกป้องดูแล ค่อนข้างมีเสถียรภาพสูง
รอให้พื้นที่นี้เป็นของแผ่นดินหมิงจริงเมื่อใด ถึงตอนนั้นค่อยจัดการใหม่ก็ไม่สาย หวังทงมีความน่ารังเกียจหลายอย่าง แต่ความสามารถด้านการทหารของเขานั้น ทุกคนยอมรับ หวังทงเปลี่ยนแปลงระบบองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงจนดี พื้นที่เล็กๆ อย่างเทียนจินก็จัดการจนรุ่งเรืองการค้า มอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้เขา ก็วางใจได้
สำหรับผู้ที่รู้จักหวังทงจริง ก็ล้วนรู้ว่าพระราชทานรางวัลนี้เป็นรางวัลแท้จริง ฮ่องเต้เท่ากับมอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้หวังทง ร้านสามธาราสามารถขยายร้านค้าออกไปได้อีก รางวัลนี้เท่ากับว่ามอบพื้นที่ให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของหวังทง ทำให้กลุ่มหวังทงทำกำไรได้อย่างมหาศาลเข้าไปอีก เรื่องได้ประโยชน์หลายฝ่ายเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดคิดขัดขวาง
**************
หลังสวนสนาม ทัพใหญ่ออกนอกเมืองไป ก็ย่อมเป็นสำนักอาชาหลวงกับสำนักเครื่องส่วนพระองค์ กรมอากรและเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ นำสุราอาหารออกไปเลี้ยงต้อนรับ มีการจัดแสดงบันเทิงเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยของบรรดาทหารที่รอนแรมมานานครึ่งปี
ขุนพลระดับแนวหน้าและบรรดาขุนนางมีความชอบที่เกี่ยวข้องล้วนอยู่ในวัง ฮ่องเต้พระราชทานเลี้ยง สำหรับพวกเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่
หลังจบพิธีด้วยความยินดีปรีดา ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ทุกฝ่ายต่อสู้กันมาพอสมควร ต้องการพักผ่อนกันบ้างแล้ว ต่างต้องการรอดูสภาพหลังจากนี้
หากความสงบก็มีได้ไม่กี่วัน เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 ก็มีม้าเร็วจากเมืองจี้โจวเข้าเมืองหลวงมา รายงานถึงชัยชนะการรบของหลี่เฉิงเหลียง ณ แดนตะวันตก----ชัยชนะยิ่งใหญ่