องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 811
“จางปั้นปั้น…….”
ในห้องทรงอักษรอยู่ ๆ ก็เงียบลง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบก็เงียบไปพักหนึ่ง จางเฉิงกำลังงง ก็ได้ยินวาจานี้ จึงรีบถวายคำนับ ผู้ใดจะคาดคิดว่าตรัสค้างไว้แค่นั้น
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดูไม่ออก ในห้องทรงอักษรก็เงียบลงอีก รอจนมีเสียงกลองบอกเวลาดังมา ฮ่องเต้ว่านลี่จึงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น ดึกแล้ว ท่านกลับไปพักก่อน เราจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักครู่!”
ดำรัสนี้ก็มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นกัน จางเฉิงไม่อาจกล่าวอันใด ได้แต่ถวายคำนับออกไป
พอจางเฉิงออกไปปิดประตูลง เจ้าจินเลี่ยงก็โผล่หัวเข้ามามอง ฮ่องเต้ว่านลี่กวักพระหัตถ์เรียกให้เข้ามา ลังเลก่อนจะแย้มสรวลตรัสถามขึ้น
“เสี่ยวเลี่ยง เรากำลังจะถามเจ้า เจ้าต้องเก็บเป็นความลับ ไม่เผยแพร่ออกไปให้ผู้ใดรู้ รู้ไหม?”
“กระหม่อมทราบแล้ว แม้มีคนใช้มีดมาข่มขู่ กระหม่อมก็ไม่พูด!”
“เด็กโง่ ผู้ใดกล้าใช้มีดมาขู่เจ้ากัน เราไม่ยอมหรอก เจ้าต้องจำไว้ จางปั้นปั้นทางนั้นก็ห้ามพูด หวังทงก็ห้ามพูด!”
เจ้าจินเลี่ยงพยักหน้าอย่างแรง ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดพักหนึ่งก็ค่อยๆ ตรัสถามขึ้น
“เสี่ยวเลี่ยง ตอนสวนสนามเจ้าอยู่ข้างกายเรา ทหารที่เข้ามาพวกนั้นมองเรามากกว่า หรือมองหวังทงมากกว่า?”
เจ้าจินเลี่ยงคุกเข่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็มั่นใจทูลว่า
“ย่อมมองฝ่าบาทมากกว่า”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะยาว ทิ้งพระวรกายไปด้านหลัง เจ้าจินเลี่ยงยังอยู่ที่พื้นทูลต่อว่า
“กระหม่อมได้ยินพี่หู่โถวบอกว่า พี่หวังได้กำชับว่าให้แต่ละกองทัพตอนผ่านหน้าพระที่นั่งให้มองไปยังฝ่าบาทเพื่อแสดงความเคารพสูงสุด”
ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งจะสบายพระทัยลงก็เคร่งเครียดขึ้นอีก ครุ่นคิดนานก่อนจะโบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ให้พระสนมหลี่มาปรนนิบัติเราคืนนี้!”
สีหน้าเจ้าจินเลี่ยงงุนงง เพราะตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดพระสนมเอกเจิ้งมา ก็ไม่ค่อยได้เรียกตัวพระสนมอื่น มีแต่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้นจึงจะเรียกเข้าเฝ้ารับใช้ ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ เหตุใดอยู่ๆ จึงทรงอารมณ์ไม่ดี ทว่าเจ้าจินเลี่ยงย่อมไม่ถาม โขกศีรษะ รีบออกไปสั่งการ
***********
หลังตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองว่างลง พวกจางซื่อเหวยก็แตกตื่นตกใจ แม้ว่าจางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์ได้เกือบปีแล้ว อิทธิพลในราชสำนักค่อยๆ เลือนหายแล้ว อำนาจเดิมค่อยๆ ถูกเสนาบดีและเจ้ากรมต่างๆ แบ่งแยกไป ทุกคนล้วนมีอาณาเขตของตน ล้วนมีพรรคพวกของตน
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังช่วยเหลือกัน ตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองเป็นตำแหน่งรองจากมหาอำมาตย์กับรองอำมาตย์ บางครั้งยังอาจสูงกว่ารองอำมาตย์ด้วยซ้ำไป
อำนาจคุมตำแหน่ง เป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดในวงการขุนนาง หากตกในมือผู้ใด ก็ย่อมกุมอำนาจได้ เดิมคิดว่าให้หวังซีเจวี๋ยเข้ามาทานอำนาจเซินสือหัง คิดไม่ถึงว่าหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังกลับเข้ากันได้ หากตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองถูกเอาไปอีก ก็ย่อมถูกบีบหนักแล้ว
ทว่าผลก็ออกมาเร็วมาก หลังได้รับการบอกใบ้จากฮ่องเต้ว่านลี่ เสิ่นหลี เสนาบดีกรมพิธีที่หนานจิง ก็เข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครอง
เสิ่นหลีเป็นพรรคพวกจางซื่อเหวย ตอนแรกเป็นผู้ถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของจางซื่อเหวยในเมืองหลวงกับพวกจางจวีเจิ้ง พอจางซื่อเหวยกลับบ้านเกิด ก็ไม่มีคนสนใจเขาอีก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มีโอกาสฟื้นคืน
“ฮ่องเต้เจริญชันษาแล้ว นี่ก็เหมือนปล่อยให้ในราชสำนักสมดุลอำนาจกันเอง!”
ไม่ต้องคนฉลาด แค่คนมีประสบการณ์การเมืองมากหน่อยก็ย่อมมองออกในเรื่องนี้ หวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังแอบคุยกันส่วนตัว ทุกคนพากันหัวเราะดัง
เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเช่นนี้ เดิมพรรคพวกจางซื่อเหวยที่รู้สึกไม่สบายใจก็พลันสงบลงได้ ในเมื่อไม่ได้มุ่งมาหาเรื่องพวกเขา เช่นนี้ก็ยังคงเป็นปกติต่อไป
ยามอยู่ในราชสำนักหารือ ทุกคนก็มีท่าทีปรองดองกัน คุยสัพเพเหระกันไป
เวลาผ่านไปเร็วมาก เข้าสู่เดือนหก หลี่เฉิงเหลียงนำทัพกลับมา ใกล้เข้าสู่อาณาเขตแผ่นดินหมิง กรมทหารส่งขุนนางไปแล้ว
รายงานอย่างเป็นทางการมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ได้ต่างอันใดกับรายงานจากสำนักบูรพา ขุนนางบุ๋นในราชสำนักต่างส่งเสียงชมเชย ส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์จากตระกูลหลี่ แต่ส่วนใหญ่คิดเชิดชูชัยชนะเมืองเหลียวโจว เพื่อจะได้กดชัยชนะหวังทงไม่ให้แสบตาเกินไปนัก
กุข่าวลือมั่วซั่วตอนนี้ต้องถูกจับไปลงโทษ ก่อนหน้านี้มีผีโชคร้ายกลุ่มหนึ่งถูกเนรเทศไปหนิงเซี่ยเป็นการสั่งสอน ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน ขุนนางบุ๋นราชสำนักล้วนฝีพู่กันดี เขียนยกยอชัยชนะใหญ่ของหลี่เฉิงเหลียงซะสูงเทียมฟ้า ความหมายก็คือเป็นรองแค่บุกเบิกแผ่นดินหมิงและเหตุการณ์ฮ่องเต้จูตี้ปราบกบฏขึ้นครองราชย์เท่านั้น
การยกยอเช่นนี้ ขุนนางบุ๋นได้แค่แอบกระทำกัน ต่อหน้าไม่กล้าเอ่ยเด็ดขาด ชัยชนะเมืองเหลียวโจวยิ่งใหญ่จริง แต่หัวที่ตัดมาได้คุยโวแล้วก็สองหมื่นกว่า หากที่กรมทหารตรวจนับที่เมืองกุยฮว่าเฉิงมา บอกว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นหัวศัตรูห้าหมื่นกว่าจริงๆ เทียบกันได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หวังทงทำลายเผ่าอันต๋าสิ้นไปจริง แม้แต่ข่านเผ่าอันต๋าทั้งครอบครัวก็ถูกตัดหัวหมด ผลงานความชอบหลังสงครามไม่ต้องพูดถึง ภูเขาทองทะเลเงินชัดๆ เมืองเหลียวโจวทางนั้นมีแต่พวกสัตว์เลี้ยงเป็นหมื่น เงินทองมากมายมหาศาล หากแสนกว่าตำลึงเรียกว่ามากมายมหาศาลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าของหวังทงเรียกว่าอะไร สัตว์เลี้ยงบนทุ่งหญ้านอกด่านเรียกว่าทรัพย์สินหรือ ซื้อเอาก็ได้
เผ่าอันต๋าระดับไหน ตั้งแต่กลางสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งก็เป็นภัยร้าย ยังตีมาถึงเมืองหลวงอีก สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งจึงสงบลงได้ แต่ราชสำนักก็กังวลใจมาตลอด แม้แต่เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามขัดแย้งกันยังต้องลนลานส่งคนไปไกล่เกลี่ย เพราะกลัวเกิดผลกระทบไปด้วย
เผ่าเคอเอ่อชิ่นระดับไหนหรือ ก็แค่ถูกดูแคลนว่า ‘ป่าเถื่อน’ นอกด่าน การรบเทียบกันได้อย่างไร เทียบกันด้านต่างๆ แล้ว ชัยชนะยิ่งใหญ่นี้ข้างนอกก็คุยโวกันไป แต่ในราชสำนักไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง
ทว่าที่ทำให้คนแปลกใจก็คือ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนว่าไม่ได้ไม่พอใจกับชัยชนะใหญ่ของหลี่เฉิงเหลียง หากยังตรัสชมเชยหลายคำ ตามข่าวจากในวังมีว่า รางวัลพระราชทานตระกูลหลี่เทียบกับหวังทง หลี่เฉิงเหลียงมีความชอบมาก ยังมีผลงานมาก่อนหน้า ครั้งนี้เตรียมพระราชทานหนัก
หลี่เฉิงเหลียงเดิมก็เป็นป๋อแล้ว ครานี้อาจได้ถึงขั้นกั๋วกง หลี่หรูป๋อได้แต่งตั้งเป็นป๋อ ที่เหลือก็ล้วนได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง
แต่เมื่อพิจารณาด้านอื่นแล้ว ไม่ว่าผู้ใดได้รับชัยชนะใหญ่ ล้วนส่งผลดีต่อแผ่นดินหมิง หลี่เฉิงเหลียงสั่งสมความชอบมานานแล้ว อายุก็มากแล้ว พื้นที่เมืองเหลียวโจวก็เท่ากับหนึ่งมณฑลแล้ว คนเช่นนี้ย่อมได้รับพระราชทานรางวัลหนัก บรรดาขุนนางย่อมไม่คัดค้าน กลับพากันสรรเสริญ
ประเด็นก็คือ หวังทงไม่ได้มีความคิดเห็นใดในเรื่องนี้ ว่ากันว่าหวังทงยังบอกว่า นี่เป็นชัยชนะแผ่นดินหมิง ส่งผลดีต่อแผ่นดินหมิง ส่งผลดีต่อฝ่าบาท ย่อมเป็นเรื่องดี
บรรดาขุนนางแอบถอนหายใจเฮือก หวังทงผู้นี้แม้ว่ามักจะทำอะไรผิดแบบแผน แต่เรื่องใหญ่ก็ยังไม่ออกนอกเส้นทาง รู้ว่าตนเองเป็นข้าแห่งแผ่นดินหมิง รู้ผลดีผลร้ายและการหนักเบา
*************
เดือนหก ณ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อประชุมเสร็จ บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองกำลังหารือกัน ก็มีขันทีน้อยจากสำนักส่วนพระองค์นำฎีกามา
ขุนนางก็ต้องดำเนินการตามคำสั่งลายพู่กันสีชาดบนนั้น คุยกันไปเรื่อย บรรยากาศสบายๆ
ราชบัณฑิตสวี่กั๋วในคณะเสนาบดีใหญ่อ่านฎีกาไปพลางส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่าน ไห่กังเฟิงถวายฎีกาอีกแล้ว ต้องการให้ตรวจสอบที่นาราษฎรที่ตระกูลสวีครอบครองที่เมืองซงเจียง”
ทุกคนที่ทำงานกันอยู่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สบตากัน พากันส่ายหน้า หวังซีเจวี๋ยวางฎีกาในมือลงกล่าวว่า
“ไห่รุ่ยนี่ ยังเอาเรื่องไม่ยอมปล่อย ตอนนั้นเพราะเรื่องนี้จึงต้องถูกล้มไป ตอนนี้ยังไม่เลิก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ?”
ขุนนางหนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่รีบลุกขึ้นตอบกล่าวว่า
“เรียนท่านรองอำมาตย์หวัง นี่เป็นครั้งที่เก้า” ทุกคนในห้องพากันยิ้ม หากกล่าวว่าตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมาจนฮ่องเต้ว่านลี่ มีผู้ใดมีชื่อเสียงบ้าง ไห่รุ่ยย่อมติดโผ
ในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งแข็งกร้าวอย่างไรไม่ต้องพูดถึง ยื่นฎีกาครั้งนี้เห็นว่าเกี่ยวพันกับเรื่องหนึ่งสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ไห่รุ่ยเป็นที่ทรงโปรดในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง เป็นผู้ตรวจการ ไห่รุ่ยยึดแนวทางมาตลอดว่า ตระกูลใหญ่กลืนกิน โดยเฉพาะพวกมีความชอบที่ชอบกลืนกินที่นาชาวบ้าน เป็นภัยต่อแผ่นดิน
ดังนั้นพอไปถึงหนานจิง ก็มีความขัดแย้งกับคนใหญ่คนโตทางใต้ไม่น้อย และเป็นพื้นที่ที่ถูกกลืนกินมากที่สุดในแผ่นดินหมิง มีพวกมีอิทธิพลมากที่สุด
แต่ละเมืองตอนใต้ ในนั้นที่รุนแรงที่สุดก็คือเมืองซงเจียง เจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซงเจียงก็คืออดีตมหาอำมาตย์ ผู้คว่ำกาวก่ง นามว่าสวีเจี้ย
เมืองซงเจียงเดิมไม่ใหญ่มาก แต่น้ำท่าสมบูรณ์เป็นที่นาดีทุกแห่ง และยังเป็นที่นาที่ทำนามาหลายปี ที่ดินหนึ่งหมู่ที่นี่ย่อมเทียบได้กับที่ดินหลายหมู่หรือสิบกว่าหมู่ที่อื่น
หลังสวีเจี้ยกลับบ้านเกิด ครอบครัวเขาก็ครอบครองที่นาไปกว่าสี่แสนหมู่ ที่ดินในครอบครองขุนนางมีความชอบย่อมได้รับการเว้นภาษี สวีเจี้ยเป็นขุนนางใหญ่ระดับหนึ่ง เมืองซงเจียงกับเมืองข้างเคียงย่อมมีคนไม่น้อยต้องการใช้ชื่อเขาครอบครองที่ดิน แต่คนปกติจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ตระกูลสวีเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ย่อมมีคนมาหาถึงที่ เขาจึงได้แต่กลืนเข้าไป ไม่คายออกมา
หลังไห่รุ่ยมารับตำแหน่งก็ฟ้องว่าตระกูลสวีฮุบที่ดินชาวบ้านไม่ยอมคืน ไห่รุ่ยมองตระกูลสวีว่าเป็นเจ้าของที่ดินตัวใหญ่ที่ต้องล้มให้ได้ ปะทะกันหลายครั้ง ตระกูลสวีคายที่ดินออกมาไม่น้อย แต่ไห่รุ่ยต้องการสืบให้หมด นี่ได้เกินขอบเขตที่ตระกูลสวีจะรับได้
ตระกูลสวีซื้อจึงติดสินบนขุนนางในราชสำนักนามว่าไต่เฟิ่งเสียน ไต่เฟิ่งเสียนจึงยื่นฎีกาฟ้องไห่รุ่ยกระทำผิดกฎหมาย จางจวีเจิ้งก็รู้สึกว่าไห่รุ่ยทำเกินไปแล้ว สวีเจี้ยเป็นอาจารย์ของจางจวีเจิ้ง ในราชสำนักย่อมตามน้ำ สั่งปลดไห่รุ่ย
ตั้งแต่จางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์ แม้ว่ามีเสียงเรียกร้องให้ไห่รุ่ยกลับมา แต่จางจวีเจิ้งอย่างไรก็ไม่ยอม เกรงว่าปล่อยไห่รุ่ยออกมาจะเป็นการทำลายตนเอง
พอจางจวีเจิ้งป่วยตายไป จางซื่อเหวยขึ้นครองอำนาจ เป็นปรปักษ์กับพวกจางจวีเจิ้ง จึงส่งเสริมไห่รุ่ยให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้ากรมตรวจสอบประจำหนานจิง นี่เป็นงานไม่มีอันใดให้ทำ ทว่าไห่รุ่ยกลับเหมือนเมื่อก่อน คดีที่ปิดไม่ลงก็ต้องปิดให้ได้ เรื่องตระกูลสวีครอบครองที่นา เขาย่อมกัดไม่ปล่อย
สวีเจี้ยตอนปีที่ 10 ในรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ป่วยตาย จางจวีเจิ้งก็ป่วยตายไปแล้ว ไต้เฟิ่งเสียนตอนนี้ก็ไปว่างงานอยู่ที่หนานจิง ทุกคนไปกันหมดแล้ว แต่ไห่รุ่ยยังคงอยู่
มิน่าคณะเสนาบดีใหญ่จึงพากันหัวเราะขำ….