องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 813
“จางหงอิง……”
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสชื่อนี้ออกมา สีหน้าจางเฉิงก็งุนงง ทว่าในฐานะหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ย่อมต้องสมองไว ทุกเรื่องต้องอยู่ในสมอง ยังไม่ทันรอให้เจ้าจินเลี่ยงบอก จางเฉิงก็จำได้ ล้อตนเองเล่นว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมเกือบลืมชื่อนี้ไปแล้ว”
ลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงก็กล่าวว่า
“กระหม่อมจำได้ว่าจางหงอิงปรนนิบัติรับใช้ข้างกายหวังทงมาตลอด ฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมไม่ทันใส่ใจเรื่องนี้ เสี่ยวเลี่ยงเจ้าไปตรวจสอบ ในวังมีบันทึกไหม”
เจ้าจินเลี่ยงรีบคำนับหันหลังวิ่งออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ยกถ้วยชาขึ้นมา เจ้าจินเลี่ยงก็กลับมา ถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท จางหงอิงติดตามไปเทียนจิน อยู่ปรนนิบัติรับใช้หวังทงในจวน หลังกลับมาเมืองหลวงก็ตามไปอยู่กับนางหม่า เป็นเหมือนสาวใช้”
ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงสบตากัน ยิ้มกล่าวว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าโตขึ้นไม่น้อยแล้ว วันหน้าเรื่องพวกนี้รู้แล้วก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องเกรงเรื่องเสียหน้า ทำให้ต้องไปวิ่งรอบหนึ่งแล้วค่อยกลับมา จางปั้นปั้นกับเจ้าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
เจ้าจินเลี่ยงหน้าแดง รีบคุกเข่าลงทูลว่าทราบแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เจ้าจินเลี่ยงทำเช่นนี้แม้ว่าดูไม่เนียน แต่ก็ทำเพราะใส่ใจ ไม่ได้มีอันใดต้องตำหนิ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกงงเล็กน้อยตรัสว่า
“หวังทงไม่ให้สถานะจางหงอิงหรือ ตอนนั้นเรายังเรียกว่าพี่หงอิง หญิงเช่นนี้หากไม่สนใจดูแลก็ดูไม่เหมาะ!”
จางเฉิงคิดแล้วก็กระซิบว่า
“ฝ่าบาท หวังทงหลายปีนี้ไม่มีผู้หญิงข้างกาย ไม่เคยเห็นอยู่ลำพังกับหญิงใด เอาแต่คิดทำงานเพื่อฝ่าบาท”
พูดถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ดูแปลกประหลาดทันที กระซิบถามขึ้น
“หวังทงอายุขนาดนี้แล้วถึงกับไม่เคยแตะต้องผู้หญิง คงไม่ใช่ว่าชอบ……”
จางเฉิงกระแอมไอสองที สีหน้าจริงจังกล่าวว่า
“ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่พะยะค่ะ ว่ากันว่าหวังทงมีทหารติดตามปรนนิบัติ แต่ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ หากมี ย่อมมีรายงานมาแล้ว หวังทงคิดแต่การแผ่นดินเรื่องเดียวจริงๆ ไม่เคยฝักใฝ่เรื่องเปลืองสมองพวกนี้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล สัพยอกว่า
“ตอนเราเข้าลานฝึกก็รู้รสชาติผู้หญิงแล้ว คิดไม่ถึงว่าหวังทงดูแก่กว่าเรา แต่ถึงกับเป็นเช่นนี้ น่าสนใจ น่าสนใจจริง!!”
บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลง จางเฉิงแอบสัพยอกว่า
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง หากหวังทงใกล้ชิดกับผู้หญิงใด ตามรายงานที่มีมา นอกจากนางหม่าแล้ว ก็มีแค่ซ่งฉานฉานที่ดูแลหอฉินก่วน ซ่งฉานฉานเป็นสายสืบให้หวังทง ทำงานรวบรวมข่าว”
“ซ่งฉานฉาน? มีตำแหน่งนายกองร้อยในสำนักรักษาความสงบผู้นั้น?”
“ฝ่าบาท เป็นนางผู้นี้พะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนพอจำได้เลือนราง ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“หญิงเชี่ยวสังคมเช่นนี้ ทำงานให้หวังทง ก็เหมือนมีวาสนาต้องกันอยู่บ้าง”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ดูแปลกๆ ยิ้มกล่าวว่า
“หากเป็นคนอื่นมีสถานะเช่นหวังทงตอนนี้คงมีหญิงสาวข้างกายไม่น้อยแล้ว แต่เจ้าดูข้างกายหวังทง จางหงอิงจากตระกูลเล็กๆ มีจิตใจแข็งกร้าว ซ่งฉานฉานสถานะราวดอกไม้โรยกลีบ หานเสียก็เป็นหญิงจากตระกูลขุนนางบู๊ เป็นคู่ครองที่ดีที่ไหนกัน”
หวังทงช่วยจางหงอิงไว้ หญิงที่สามารถทอดทิ้งพ่อแม่มาติดตามหวังทงได้ ใจต้องแข็งมา พบเห็นได้ไม่มากนัก ตอนอยู่หอเลิศรส จางหงอิงตำหนิเด็กหนุ่มว่าอย่าสิ้นเปลือง ตอนนั้นพวกฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกสนิทสนมอยู่มาก ตอนนี้โตกันแล้ว ค่อยๆ คิดให้ดี เหตุใดจึงคิดไม่ออกว่านั้นเป็นวิธีการที่จางหงอิงใช้เข้าใกล้ทุกคน
ทว่าอย่างไรก็ตระกูลเล็กๆ ตอนนั้นอายุยังน้อย สามารถทำได้เช่นนั้นก็เรียกว่าไม่เลวแล้ว ตอนนี้แอบปรนนิบัติข้างกายหวังทงเงียบๆ วันหน้าอาจจะเป็นที่พักพิงที่ดี หรืออาจไม่ใช่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนซ่งฉานฉาน เพราะเคยถูกทางการลงโทษส่งเข้าสำนักควบคุมหญิง ชื่อเสียงหมดสิ้น วัฒนธรรมจีนหลายพันปี ความบริสุทธิ์ของสตรีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซ่งฉานฉานเรียกได้ว่าดอกไม้กลีบโรยแล้ว คนเช่นนี้ แต่งเป็นน้อยให้ตระกูลใหญ่หรือแอบเลี้ยงไว้นอกจวนก็เรียกว่ามีวาสนาแล้ว คิดจะมีชีวิตแบบหญิงทั่วไป ยากมาก
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงรู้จักหานเสีย ทว่าหญิงตระกูลทหารไร้พ่อไร้แม่ ไม่ต่างกันอันใดกับหญิงชาวบ้านตามท้องถนน ไม่อาจมีสถานะใด และไม่มีเกียรติอันใด ปู่รองของนางอย่างหานไท่ผิงก็ไม่เท่าไร คนมีสถานะย่อมไม่คิดตกแต่งนางเข้าตระกูล เพราะการเกี่ยวดองกับขันทีในวังส่งผลไม่น้อย ขันทีแม้อำนาจมาก แต่อำนาจคุมใต้หล้านั้นเป็นขุนนางบุ๋น
นี่เป็นบรรดาสตรีรอบกายหวังทง หานเสียเป็นความบังเอิญ เพราะพี่ชายบุ่มบ่ามจึงได้พบหวังทง ขันทีสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์อย่างหานไท่ผิงหาคนทอดสะพานไปหาหวังทงได้ จึงได้เป็นวาสนาเกี่ยวดอง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของหวังทง
หานเสียเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหญิงตระกูลดี และยังมีสายสัมพันธ์รุ่นปู่กับพี่ชายอยู่ หวังทงแต่งกับนาง นอกจากเป็นหญิงไม่เลวแล้ว ยังสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องหลังได้หลายส่วน
พูดกันเรื่องพวกนี้ก็เท่ากับคุยเรื่องครอบครัวทั่วไป บรรยากาศย่อมผ่อนคลาย จางเฉิงถือโอกาสตีเหล็กเมื่อร้อน ทูลถามขึ้น
“ฝ่าบาท หวังทงทางนั้นให้ตอบเช่นไร?”
“ไม่รีบ เราขอไตร่ตรองต่อ”
ก็แค่ทรงตรัสมาคำเดียวก็เสร็จเรื่อง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ตัดสินพระทัย จางเฉิงอึ้งไปไม่กล้ากล่าวต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ผลักจานขนมออกไปอีกทาง เงียบไปก่อนจะตรัสว่า
“เรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียง คณะเสนาบดีใหญ่ตอบอย่างไร?”
จางเฉิงรีบทูลตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท วันนี้ท่านอำมาตย์ส่งสารเข้ามาว่ากรมอากรทำงานล่าช้าได้ตำหนิไปแล้ว ทว่าเรื่องตระกูลสวี ต่างจากที่อื่นๆ จริง กรมอากรมีวาจาไม่อาจกล่าวออกมาได้”
“ไร้สามารถ! ไห่รุ่ยเป็นขุนนางมีชื่อระดับนี้ ตอนนั้นเสด็จปู่สั่งจำคุก ไม่ประหาร ก็แสดงให้เห็นว่าเก็บไว้ให้เสด็จพ่อใช้งานต่อ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกจางจวีเจิ้งกดไว้ถึงตอนนี้ ตอนนี้ไห่รุ่ยอายุมากขนาดนี้แล้ว เรื่องที่คิดเพื่อแผ่นดินยังไม่อาจสำเร็จ เราเองจะมีหน้าต่อไปได้อย่างไร ให้พวกเขาเร่งปฏิบัติหน่อย!!”
ไห่รุ่ยหาเรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงเรียกได้ว่าเป็นรังแตน จางเฉิงปฏิบัติหน้าที่มานาน สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ก็เป็นขันทีอยู่ในสำนักส่วนพระองค์ เรื่องนี้ก็เหมือนเคยเจอมา จะไม่รู้ที่มาที่ไปได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้เกี่ยวพันโยงใยมากไป อาจทำให้เกิดกระแสขัดแย้งทางการเมืองได้ง่าย และตระกูลสวีตอนนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ตระกูลคหบดีแดนใต้ บุตรหลานแดนใต้ใต้หล้าประจำตำแหน่งขุนนางที่ต่างๆ หลายตระกูลใหญ่ต่างจ้องมองตระกูลสวีอยู่
ราชสำนักทำกับตระกูลสวีเช่นไร อาจทำให้คิดว่าเป็นการลงมือกับตระกูลใหญ่แดนใต้ของราชสำนัก แตะต้องตระกูลสวี อาจทำให้ตระกูลใหญ่แดนใต้และสายขุนนางแดนใต้ทั้งหมดออกหน้าต่อต้าน ความยุ่งยากย่อมตามมา แม้ว่าเป็นพระประสงค์ฮ่องเต้ ก็ต้องคิดให้รอบคอบ
จางเฉิงเองก็งง ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้แม้ใจร้อนสั่งการ แต่ก็ทรงรู้การหนักเบาดี แต่ไรมาไม่ทรงสนพระทัยเรื่องตระกูลสวี เหตุใดอยู่ ๆ จึงทรงสนพระทัยเช่นนี้ งานแต่งหวังทงควรจะให้ความสำคัญก่อนมากกว่า สงสัยก็ส่วนสงสัย หากฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่ง จางเฉิงก็ต้องรับคำ
“ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะรีบแจ้งท่านอำมาตย์”
***************
“เห็นใต้เท้าปลอดภัย ข้าน้อยก็วางใจ”
ในจวนหวังทง ซุนต้าไห่ตื่นเต้นแทบร้องไห้ หวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิงจนมีชัยกลับมา ซุนต้าไห่ต้องดูแลเทียนจินมาตลอด ยังต้องรวบรวบเสบียงเพื่อการทหารอีก ยังต้องดูแลกิจการภายในทั้งหมดอีก ยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ พอถึงเดือนหกจึงได้มีเวลามาเมืองหลวง
ไม่เจอกันครึ่งปี ซุนต้าไห่ตื่นเต้นแทบร้องไห้ ท่าทีเช่นนี้ต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้นจึงจะมีได้ หวังทงเองก็ซาบซึ้ง ยิ้มกล่าวว่า
“ต้าไห่เจ้าตอนนี้คุมคนส่วนหนึ่งทางนั้น เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อีก คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอานะ!”
หวังทงยิ้มหยอก หม่าซานเปียวหัวเราะดังว่า
“เหล่าซุนทำตัวราวสตรีนี่เห็นครั้งแรกนะเนี่ย รอไว้ไปเล่าให้หู่โถวฟังดีกว่า จะได้ร่วมฮาด้วยกัน!!”
ในห้องล้วนเป็นคนของหวังทง หม่าซานเปียวกล่าวเช่นนี้ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะลั่น ซุนต้าไห่ยิ้มตอบกลับไปสองสามคำ พอซุนต้าไห่นั่งลง มองไปข้างกายหวังทง ก็ถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่า
“ใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ เมื่อก่อนข้างกายใต้เท้ามีพี่ถานอยู่ด้วย พี่น้องตระกูลถานกับข้าน้อยเราเข้ากันได้ดี ครั้งนี้ไม่ได้พบ ช่าง……….ใต้เท้า วันนี้ข้าน้อยไม่รู้ทำไมเป็นเช่นนี้ ขายหน้าใต้เท้าแล้ว”
ซุนต้าไห่ปีนี้ 40 แม้ยังหนุ่ม แต่เพราะทำงานหนัก จอนผมเริ่มขาวบ้างแล้ว พี่น้องตระกูลถานได้ชื่อว่าเป็นบ่าวหวังทงแต่ที่จริงแล้วเป็นดังคนในครอบครัว ฝีมือหม่าซานเปียวก็ได้รับถ่ายทอดจากถานเจียง ซุนต้าไห่กล่าวเช่นนี้ หม่าซานเปียวก็ไม่มีใจจะแซวต่อ
“พวกเจ้านี่นะ แต่ละคนอายุมาแล้ว พวกถานเจียงอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง หรือว่าพวกเจ้าไปไม่ได้กัน หรือว่าไม่ได้พบกันอีก เดิมเป็นแผ่นดินศัตรู ตอนนี้เป็นอาณาเขตแผ่นดินหมิง ข้ามีโรงบ้านที่ดินมากมายที่นั่น ถึงตอนนั้นให้เจ้ากับซานเปียวไปอยู่ให้สำราญใจกันไปเลย”
ทุกคนสบตากัน อดหัวเราะไม่ได้ ถูกหวังทงสอนสั่งไปยกหนึ่ง ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาก หวังทงหยุดไปก่อนจะกล่าวว่า
“ตอนข้านำกำลังขึ้นเหนือขาดการติดต่อไป ได้ยินว่าเทียนจินก็วุ่นวายใช่ไหม?”
พูดถึงเรื่องนี้ ซุนต้าไห่ก็นั่งตัวตรงน้ำเสียงจริงจังว่า
“เรียนใต้เท้า เป็นเช่นนั้นจริง ร้านสามธารากับร้านประกันภัยก็มีสิบสี่รายถอนเงินไป ร้านที่เหลือก็มีบ้างตุนสินค้า บ้างเลสินค้าทิ้ง วุ่นวายกันหลายวัน คนพวกนี้ก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรกับหน่วยรักษาความปลอดภัยจับกุม นำไปจัดการเรียบร้อย วันนี้ข้าน้อยมาก็มีคนนำข่าวจากโรงต่อเรือเรามาแจ้ง หลายวันก่อนมีคนกลับมาจากทางใต้ บอกว่าที่จินโจวมีท่าเรือส่วนตัว เห็นเสากระโดงเรือแล้ว เหมือนว่าเป็นเรือทะเล ดูสภาพทั่วไปแล้วน่าจะกำลังเดินทางกลับ”
หวังทงสีหน้ายิ้มเยียบเย็น แค่นเสียงกล่าวว่า
“นับเวลาแล้ว ก็พอดีกับช่วงที่ขาดการติดต่อมาจนกระทั่งติดต่อกันอีกครั้ง!”