องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 815
“กิจการค้าหนังตระกูลลี่ตอนนี้ราคาตกฮวบลงไปสองส่วน ครั้งนี้ข้าน้อยมา ก็นำวาจาจากเถ้าแก่ร้านพวกเขามาด้วย คิดอยากถามใต้เท้า ดูสถานการณ์จากนี้ การค้าหนังเกรงว่าจะล้มรุนแรง พวกเขาสามารถทุ่มเทการค้าไปที่ผงฟูได้หรือไม่ กิจการค้าหนังใต้เท้าก็มีหุ้น ดังนั้นจึงมาขอความคิดเห็นจากใต้เท้า”
ทหารติดตามด้านนอกยังคงคุยสัพเพเหระ แต่ในห้องกลับกลับเริ่มเป็นการเป็นงาน ซุนต้าไห่เอ่ยถาม หวังทงอึ้งไปตามด้วยหลุดยิ้มกล่าวว่า
“ก็ดี ข้าได้ยินว่า หลังหลังชัยชนะนี้ ทำให้ราคาหนังเมืองหลวงและเทียนจิน รวมถึงเขตปกครองเหนือตกฮวบทันที….อืม มณฑลซานซีทางนั้นก็เช่นกัน”
หนังชั้นดีล้วนมาจากนอกด่าน ที่ดีที่สุดล้วนมาจากบนทุ่งหญ้า เดิมหนังพวกนี้ล้วนเป็นการค้าระหว่างแผ่นดินหมิงกับชนเผ่ามองโกล ขั้นตอนยุ่งยาก ความเสี่ยงของขบวนพ่อค้าเดินทางไปมาก็ไม่น้อย ต้นทุนเช่นนี้ราคาก็ย่อมสูง หวังทงตีเมืองกุยฮว่าเฉิงมากได้ ในเวลาสั้นๆ การค้าหนังสัตว์ก็ส่งสินค้ามากมายเข้าสู่แผ่นดินหมิง เมื่อของมาก ก็ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ ราคาก็ย่อมตกฮวบ
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ลี่เทาปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังหู่เวย ตระกูลลี่ก็ให้ความช่วยเหลือไม่น้อย อย่าให้ตระกูลลี่เสียเปรียบ บอกเถ้าแก่ตระกูลลี่ไปว่า เครื่องหนังที่ได้จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา หากพวกเขาอยากทำการค้านี้ก็ให้ลงหุ้นมาได้ ไม่ต้องคิดมาขนาดนั้น ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง แค่เอ่ยปากก็พอ”
“ขอรับ ข้าน้อยจดไว้แล้ว กลับไปย่อมไปแจ้งพวกเขาให้ทราบ”
หวังทงพยักหน้า กล่าวเรื่องอื่นต่อว่า
“ท่าเรือส่วนตัวที่จินโจว อยู่ทางเมืองเหลียวโจว เป็นพื้นที่ของหลี่โส่วอี้ใช่หรือไม่?”
“ขออภัยใต้เท้า ข้าน้อยไม่แน่ใจเรื่องนี้ ต้องไปสอบถามก่อนจึงตอบได้”
ซุนต้าไห่ตอบอย่างรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร กลับไปส่งคนไปสอบเรื่องราวที่เมืองเหลียวโจว เมืองเหลียวโจวทางนั้นไม่เหมือนเรา เป็นพื้นที่ทหาร ข้าไม่เชื่อว่าเรื่องท่าเรือส่วนตัวนี้ พวกเขาจะไม่รู้”
ที่อื่นๆ บนแผ่นดินหมิง ขุนนางทางการแม้รู้ว่ามีท่าเรือส่วนตัวในพื้นที่ตนก็ย่อมรีบนำเรื่องรายงานกันยกใหญ่ ส่งทหารไปดู เป็นที่ยุ่งยาก หากไม่มีภัยอันใด ก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไป
เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองทหาร แม่ทัพปกครองก็ย่อมรวมหน้าที่ดูแลราษฎรด้วย ท่าเรือส่วนตัวในพื้นที่เช่นนี้ ย่อมไม่ต้องยุ่งยาก ก็แค่ส่งกองกำลังไปปราบ นับประสาอันใดกับท่าเรือที่มีกองเรือมากมายเช่นนี้ สามารถอยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ หากไม่ให้ประโยชน์บรรดาขุนพลทหารย่อมเป็นไปได้ยาก หรืออาจถึงกับเป็นกิจการของทหารเองก็ได้
“เรามีชัยมา เมืองเหลียวโจวก็ต้องมีชัย จากนั้นจินโจวก็มีเรื่องเช่นนี้ ไปตรวจสอบมา ดูว่ามีอันใดซ่อนเร้นอยู่!”
“ขอรับ ข้าน้อยนัดหารือกับท่านหยางและพวกใต้เท้าหลี่ว์ ตรวจสอบทั้งที่ลับและที่แจ้ง!”
พูดกันสองสามคำ ซุนต้าไห่เหมือนนึกอันใดได้กล่าวว่า
“พูดถึงเมืองเหลียวโจว ข้าน้อยคิดได้เรื่องหนึ่ง ตอนนี้พวกโสมคนและขนเตียวนอกด่านและบรรดาของจากภูเขากำลังขึ้นราคา นายท่านจางก็กำลังคิดจะลองไปที่เกาหลีดู”
นายท่านที่ว่าก็คือพ่อตาหม่าซานเปียว จางฉุนเต๋อ แม้เป็นพ่อค้าแต่ลูกเขยมีสถานะที่นี่ ทุกคนก็ย่อมให้ความเคารพ
“โสมคน ขนเตียว ยังคงเป็นสินค้าส่งออกเมืองเหลียวโจวกระมัง!”
“ไม่ผิดขอรับ เป็นพ่อค้าเมืองเหลียวโจวนำมาจากพวกเผ่าหนี่ว์เจินทางเหนือ ตอนนี้เผ่าหนี่ว์เจินนั้นรบติดพันรุนแรง สินค้าพวกนี้จึงราคาขึ้นพรวด”
“เผ่าหนี่ว์เจิน……เผ่าหนี่ว์เจิน…….ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงว่ากันว่าคนได้เป็นกั๋วกงแล้ว ทางนั้นเรายื่นมือไปแตะต้องไม่ได้”
หวังทงพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซุนต้าไห่ไม่รู้เรื่อง เดิมคิดว่าพูดไปเรื่อยๆ เท่านั้น รเห็นหวังทงไม่สนใจ จึงไม่พูดต่อ
*************
โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง ตามปกติแล้ว โจวอี้ตอนนี้ควรได้เป็นขันทีตำแหน่งสำคัยหรือถูกส่งไปตำแหน่งนอกเมืองสักแห่ง อย่างไรก็ไม่อาจมีเหตุที่ว่าบิดาบุญธรรมเป็นตำแหน่งมหาขันทีใหญ่ แล้วบุตรบุญธรรมก็เป็นมหาขันทีใหญ่ ในวังเน้นเรื่องลำดับอาวุโสเป็นสำคัญ เลื่อนตำแหน่งก็จะพิเคราะห์เรื่องนี้ด้วย ทว่าโจวอี้นั้นไม่เหมือนกัน เขาอายุยังน้อยก็ได้เป็นระดับหัวหน้าในสำนักอาชาหลวง ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่ได้ชื่อว่ามหาขันทีใหญ่ ยังมีสถานะและอำนาจแท้จริงในวังฝ่ายในอีกด้วย
ผู้ใดก็รู้ว่าขันทีฉู่เป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวงนั้นแบบไร้อำนาจแท้จริง อำนาจแท้จริงแล้วอยู่กับโจวอี้ ตำแหน่งนี้ในอายุเช่นนี้ นอกวังก็มีสายสัมพันธ์หวังทงอย่างนั้นอย่างนี้ ในวังก็มีสายสัมพันธ์อย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนล้วนคิดว่าวันหน้าอนาคต
โจวอี้ย่อมได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์แน่นอน
เมื่อทุกคนให้ราคาเช่นนี้ ในวังย่อมมีคนมาขอเป็นพวกไม่น้อย งานสำนักรักษาความสงบแม้มอบให้เมิ่งตั๋ว แต่การข่าวกลับแม่นยำเหมือนเดิม
เดือนหกในวังค่อนข้างว่าง ที่ยุ่งกันอยู่ก็เป็นคนทางตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง นับเวลาได้แปดเดือนน่ามีพระประสูติกาลแล้ว ทุกคนต่างหวาดกลัวระมัดระวังไม่กล้าให้เกิดข้อผิดพลาดใด ทางนั้นเป็นพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดที่สุด หากผิดพลาดอันใดไป ทุกคนย่อมได้ไปพบยมบาลแน่แล้ว
ที่อื่นๆ ก็อิสรเสรี เมืองกุยฮว่าเฉิงส่งคนในวังกลุ่มหนึ่งไป มีบางคนไม่อยากไป รู้สึกว่าเป็นพื้นที่กันดารหนาวเหน็บ สู้ความรุ่งเรืองเมืองหลวงไม่ได้ มีคนอยากไป พวกเขาเห็นว่าแม้จะลำบาก แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาส อย่างน้อยไปแล้ว บางทีอาจไม่ต้องทนลำบากเรียงลำดับอาวุโสในวังก็ได้
จางเฉิงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ การคัดเลือกและการจัดการงานนี้มอบให้โจวอี้ ให้โจวอี้เลือกคนที่วางใจได้และมีความสามารถไป เขาไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดพวกนี้เอง
ห้องทำงานสำนักอาชาหลวงแต่ไรมาก็เงียบเหงา แม้เป็นหน่วยงานทรงอำนาจ แต่แต่ไรมาก็มีแต่ไอสังหารที่นี่ จึงไม่มีคนอยากมาเยือน ทว่าตอนนี้กลับครึกครื้นยิ่ง ไม่อยากไปกับอยากไป ล้วนพากันมาฝากฝังกับโจวอี้
บ่ายวันที่ 11 เดือนหก ขันทีห้องทรงอักษรสำนักส่วนพระองค์รีบร้อนมาหา ขันทีสำนักส่วนพระองค์มีสถานะแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ขันทีติดตามโจวอี้ไม่กล้าเสียมารยาท รีบปล่อยให้เข้าไป พอเข้าไปแล้ว ในใจก็ยังงง หน่วยงานดีอย่างสำนักส่วนพระองค์ไม่ชอบ หรือสมองพิการไปหรือไง?
หลังขันทีผู้นั้นออกไป โจวอี้กลับไม่รับแขกอีก หากก็ออกไปเช่นกัน และไม่ให้ผู้ติดตามตามไปด้วย
************
ชายชราอายุห้าสิบกว่า ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักส่วนพระองค์ ติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงพอกลับถึงที่พักก็เหน็ดเหนื่อยมาก
ย่อมมีคนยกน้ำร้อนเข้ามาให้ล้างเท้า และห้องเครื่องย่อมมียาบำรุงพิเศษมาให้ ตอนกลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนที่หาได้ยาก ขันทีน้อยที่ปรนนิบัติจางเฉิงล้วนรู้ว่า ยามนี้ต้องเงียบ ขอเพียงไม่ใช่เรื่องฝ่าบาทถามถึง ก็ห้ามรบกวน ไม่เช่นนั้น จะทำให้จางกงกงที่นิ่งสงบโมโหได้ทันที
“บรรพชนจาง โจวกงกงรอท่านได้หลายชั่วยามแล้ว!”
ยังไม่ทันเข้าไป ขันทีน้อยก็เข้ามารายงาน คนอื่นย่อมถูกรั้งไว้ แต่โจวอี้นั้นยกเว้น สายสัมพันธ์เขากับจางกงกง ในวังผู้ใดบ้างไม่รู้กัน
จางเฉิงขมวดคิ้ว ฝีเท้ากลับไม่หยุด จางเฉิงมีสถานะมหาขันทีในวัง จึงมีที่พักแยกส่วนตัว หากไปอยู่นอกวังก็เรื่องได้ว่มีระดับไม่เลว
สถานะเช่นโจวอี้ย่อมไม่อาจได้รอในห้อง เขารออยู่ลานด้านหน้า พอเห็นโจวอี้ทิ้งมือแนบกายยืนรอ จางเฉิงก็สั่งเสียงนิ่งว่า
“ออกไปให้หมด ไปรอด้านนอก!”
ขันทีติดตามจางเฉิงทั้งหมดถอยออกไปด้านนอก ประตูลานปิดลง โจวอี้ก้าวเข้ามาคำนับกล่าวว่า
“บิดาบุญธรรม เหตุใดจึงกลับดึกเช่นนี้”
“เจ้ามีเรื่องอันใด?”
“บิดาบุญธรรม เรื่องงานแต่งหวังทงพรุ่งนี้มีราชโองการแล้ว จัดการเช่นนี้จริงหรือ?”
จางเฉิงหรี่ตามองโจวอี้กล่าวเยียบเย็นว่า
“ฝ่าบาทตรัสแล้ว สั่งการแล้วย่อมเป็นราชโองการ หรือว่าเจ้าคิดแย้งอันใด?”
“บิดาบุญธรรม…….”
โจวอี้ร้อนใจ น้ำเสียงเริ่มดัง จางเฉิงแค่นเสียงใส่ ไม่สนใจ เดินเข้าห้องไป โจวอี้อึ้งไป หากก็ได้สิตน้ำเสียงจางเฉิงเมื่อครู่ไม่พอใจ จึงอึ้งไปพักก่อนจะรีบตามเข้าไป
พอจางเฉิงเข้ามาในห้องนั่งลง โจวอี้หันไปปิดประตู ร้อนใจถามขึ้น
“บิดาบุญธรรม ฝ่าบาทไยต้องมีราชโองการเช่นนี้ หวังทงทำเพื่อฝ่าบาท เพื่อในวังมากมาย แต่ฝ่าบาทกลับทรงเล่นเช่นนี้เรื่องนี้…….”
“หุบปาก! ราชโองการฝ่าบาท บ่าวอย่างเรากล่าวอันใดได้ ราชโองการไปถึงห้องทรงอักษรแล้ว หรือว่ายังจะหยิบกลับไปให้ทรงพิจาณาใหม่?”
จางเฉิงน้ำเสียงเฉียบขาด โจวอี้ยืนอยู่ตรงนั้นร้อนใจยกมือขึ้นแล้วก็ทิ้งมือลง ถามขึ้น
“ฝ่าบาทหลายปีมานี้ทรงมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะหวังทงลงแรงไม่น้อย บิดาบุญธรรม เรามีวันนี้ได้ ก็เพราะหวังทงช่วยไว้มากมาย เช่นนี้ ……ราชโองการเช่นนี้ จะทำให้หวังทงหนาวเหน็บใจ!!”
“เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ?”
จางเฉิงเลิกคิ้วถามเสียงเย็น โจวอี้นิ่งไป จางเฉิงถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่า
“เราจำได้ว่าตอนนั้นเจ้ายังคิดแต่ผลประโยชน์มากกว่าหวังทง คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้ากลับร้อนใจเช่นนี้ ไปเทน้ำชามาถ้วยหนึ่ง”
โจวอี้อึ้งไป หากก็หันไปเทน้ำชามาถ้วยหนึ่ง จางเฉิงจิบน้ำชาไปก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าว่าเรื่องพวกนี้หรือว่าเราไม่เข้าใจ? แต่ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท เป็นนายแห่งใต้หล้า ต้องการทรงทำอันใด ก็ย่อมมีเหตุผลของพระองค์เอง พวกเราเป็นบ่าวไม่มีที่ให้กล่าวอันใด ก่อนตรัส พวกเราอาจทัดทาน แต่เมื่อตรัสแล้ว พวกเราก็ได้แต่ปฏิบัติ”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงก็นิ่งไป ค่อยๆ กล่าวว่า
“ก็ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่เจ้าคิด สำหรับหวังทงแล้วก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดตกไหม คิดตกได้ วาสนาเงินทองย่อมไม่น้อย หากคิดไม่ตก ในใจคิดแค้น…….”
จางเฉิงอยากพูดแต่หยุดไว้ โจวอี้อึ้งไป หากสุดท้ายได้แต่ส่ายหน้า
************
เรื่องฎีกาไห่ลุ่ยฟ้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงครอบครองที่นา หกกรมกองเอาแต่เลื่อนออกไป ดึงกันไปมา นานแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ ไม่คนอยากแตะต้องรังแตนนี้
ข่าวมาถึงในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วหนัก