องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 816
“ใต้เท้าหวัง ถ่ายทอดราชโองการเรียบร้อย ข้าขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าหวังก่อน!”
“กงกงเดินทางมายากลำบาก ไปดื่มน้ำชาก่อน!”
“มิน่าในวังล้วนอยากออกมาปฏิบัติงานที่จวนใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังใจกว้างจริง ในวังมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลอันใด ไม่ลำบาก แต่น้ำใจนี้ย่อมรับไว้ ขอบคุณใต้เท้าๆ !”
ขันทีมาประกาศราชโองการที่จวนหวังทงล้วนย่อมต้องกล่าวสนทนากับหวังทงเช่นนี้ ทว่าเมื่อก่อนตอบรับอย่างนอบน้อมเกรงใจ แต่ขันทีถ่ายทอดราชโองวันนี้กลับเอาแต่จ้องดูสีหน้าหวังทง
หวังทงสุภาพเกรงใจนอบน้อมดังเดิม ไม่ได้ต่างอันใดกับเมื่อก่อน ขันทีมองดูสองสามที ก็ไม่มองต่อ หากยิ้มรับซองแดงติดไม้ติดมือตามคนไปดื่มน้ำชา
เทียบกับท่าทีหวังทงแล้ว ทุกคนในจวนหวังที่รับราชโองการพร้อมกัน สีหน้าตกตะลึงอึ้งไปสนิท พวกหม่าซานเปียวยังดี หากเป็นระดับล่างลงไปยิ่งอึ้งกว่า สบตากันไปมา สีหน้างุนงง
รอขันทีถ่ายทอดราชโองการกลับออกไป ก็ยังมีคนนั่งงงอยู่ไม่รู้จะแสดงท่าทีเช่นไร หม่าซานเปียวมองไปรอบๆ รู้สึกรำคาญ พวกขุนนางบู๊มาทำหน้าที่นี้ทำให้รู้สึกอนาถ ไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนั้นพวกถานเจียงทนมาได้อย่างไรตั้งนาน เขาแค่นเสียงสั่งเยียบเย็น
“อย่าเอาแต่ยืนเซ่ออยู่ สีหน้าบัดซบเช่นนั้นก็อย่าให้ข้าเห็นอีก ยิ้มกันเร็ว รับราชโองการแล้วก็ทำหน้าเหมือนกันหมด ทำสีหน้าให้ใครดูกัน!!”
ถูกหม่าซานเปียวตวาดไป ทหารติดตามในลานนั้นต่างก็ได้สติ หม่าซานเปียวตบท้ายทอยไปมา หันไปอีกทีหวังทงก็ออกไปแล้ว รีบจับคนหนึ่งมาถามว่า
“ใต้เท้าไปไหนแล้ว?”
“ใต้เท้ากลับห้องหนังสือไปแล้ว ยังให้ข้าน้อยชงชาไปด้วย”
หม่าซานเปียวมองไปทางห้องหนังสือสองสามที หันกลับไปตะโกนใส่อีกคนหนึ่งว่า
“หานกัง เจ้าจะไปไหน!!?”
หานกังที่เดินไปถึงประตูก็หยุดนิ่ง หันมากล่าวเย็นชาว่า
“ยังจะไปไหนได้ กลับบ้านสิ งานนี้ข้าไม่ทำแล้ว!”
“ไสหัวกลับมา!! ใต้เท้าไม่มีคำสั่ง เจ้าก็ยังเป็นหัวหน้าทหารติดตามใต้เท้า คิดจะไม่ทำ กฎทหารเจ้ารู้หรือไม่ ไปอยู่ลานด้านหลังเสียดีๆ อย่าให้ข้าต้องลงมือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจับเจ้าแขวนเฆี่ยนบนต้นไม้ ต้าหู่ เอ้อร์หู่พวกเจ้ารั้งเขาไว้!!”
ทหารติดตามอายุน้อยกว่าต่างกำลังอึ้งอยู่ ไม่ว่าหม่าซานเปียวหรือหานกังล้วนเป็นคนที่พวกเขาสนิทสนมกันทุกวันปกติ ตำแหน่งหม่าซานเปียวไม่เอ่ยถึง นับแล้วก็เป็นผู้อาวุโสของพวกเขาทุกคน ปกติวางตัวสบายๆ ก็แล้วไป หากในสถานการณ์เป็นทางการก็ย่อมต้องนอบน้อมมาก อยู่ ๆ เด็ดขาดเอาเรื่องขึ้นมา ทุกคนก็เข้าใจได้ ทว่าหานกังเสียมารยาท ทุกคนคิดให้ดี ก็รู้สึกว่าไม่ได้ผิดอันใด
พอถูกหม่าซานเปียวตวาด จึงได้สติกัน รีบเข้าไปรั้งไว้ หานกังถลึงตาใส่หม่าซานเปียว สุดท้ายก็คอตก ยอมตามทุกคนไปลานด้านหลัง
“ดูอะไรกัน ปิดประตูสิ ไปตามท่านหยางกลับมา จำไว้ว่าไปถึงที่ทำการให้บอกว่าวันนี้ใต้เท้าติดธุระ ไม่ไปที่ทำการแล้ว!!”
มีทหารติดตามรับคำวิ่งออกไป หม่าซานเปียวยืนอยู่หน้าประตูตบหน้าผากสองสามที ปากก็พึมพำไป
“คิดสิๆ คิดให้มากๆ อย่าให้หลุดอะไรไป”
ตอนทิ้งถานเจียงไว้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ตำแหน่งหน้าที่พ่อบ้านก็มอบให้หม่าซานเปียว ทุกคนรู้นิสัยหม่าซานเปียวดี จึงกำชับหลายคำ ทุกเรื่องให้คิดให้มาก ต้องนิ่งไว้ก่อน
ทางนั้นปิดประตู หม่าซานเปียวก็หันไปมอง เห็นพวกไม่มีงานมาเดินอยู่บนท้องถนนสองสามคนไปมา หวังทงเป็นเป้าข่าวหนึ่งในเมืองหลวง หม่าซานเปียวเองก็รู้ว่าคนพวกนี้ตั้งแต่หวังทงสร้างจวนมาก็มาเอ้อระเหยกันอยู่แถวนี้ เป็นพวกไหนกัน รำคาญใจจนอดด่าออกไปไม่ได้
“ไสหัวไปหาน้ำชาดื่มไป อย่ามาหาสร้างความวุ่นวายเพิ่มที่นี่!”
ปกติหวังทงก็มอบเงินคนด้านนอกพวกนี้อยู่แล้ว ยังให้ทหารติดตามพาไปกินน้ำชาอยู่บ่อย ๆ คนพวกนี้รู้หนักเบาดี พอถูกหม่าซานเปียวด่าเช่นนี้ ชายหลายคนก็รีบยิ้มพยักหน้า มีคนหนึ่งมองซ้ายมองขวาวิ่งเข้ามากระซิบว่า
“ท่านสาม พี่น้องเราปฏิบัติหน้าที่ ท่านก็เพลาๆ หน่อย….ขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าวสักหน่อย ฝ่าบาทส่งขันทีมาถ่ายทอดราชโองการเพิ่งกลับไป จวนก็ปิดประตูเงียบ ที่จับตาดูอยู่ใช่ว่ามีแค่พวกเราพี่น้อง เปิดประตูดีกว่า ไยต้องหาเรื่องให้เป็นที่ระแวง!”
หม่าซานเปียวสองตาถมึงทึงจะด่า แต่ก็ได้สติทันที หันไปคำรามสองสามทีก่อนจะเปิดประตู คลำหาก้อนเงินโยนให้ไป สบถเสียงดังไม่สุภาพนักว่า
“พรุ่งนี้ไปหอรุ่งเรือง ข้าเลี้ยงสุราพวกเจ้า ขอบใจ!”
ชายว่างงานผู้นั้นยิ้มร่าเข้ามารับเงิน วิ่งกลับไปเอ้อละเหยไปมาต่อ หม่าซานเปียวยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก็หันไปเรียกเป้าเอ้อร์เสี่ยวบอกว่า
“สั่งการลงไป เรื่องราชโองการอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์ ที่หน้าประตูกับคนนอกก็ห้ามทำหน้าสลดใส่ ต้องพยายามฉีกยิ้มร่าเริง เงินที่ต้องจ่ายก็จ่ายไป พวกเราตรงนี้มีเจ้าดูรู้เรื่องชำนาญการมากกว่า ที่ข้าพูดมา เจ้าเข้าใจไหม?”
เป้าเอ้อร์เสี่ยวพยักหน้าหงึก รีบวิ่งเข้าไปจัดการ หม่าซานเปียวยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้คนไปลากเก้าอี้มา นั่งหันหน้าออกประตูใหญ่
ขี่ม้าจากสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาจวนหวังทง ใช้เวลาไม่นาน เพราะวันนี้หวังทงอยู่บ้านรอรับราชโองการ ดังนั้นจึงให้หยางซือเฉินไปดูแลงานที่ที่ทำการ ครานี้ส่งคนไปตาม หยางซือเฉินก็กลับมาเร็วยิ่ง
พอเห็นหยางซือเฉินปรากฏตัวหน้าประตู ลงจากรถม้ามา หม่าซานเปียวก็รีบเข้าไปรับ สีหน้าหยางซือเฉินงุนงง พอเห็นหม่าซานเปียวรีบร้อนเข้ามารับ เขาก็ยิ่งงุนงงทวีคูณ ก้าวเดินอย่างเร็วเข้าไปหากล่าวเพียงว่า
“เดินเข้าไปคุยกันในจวน!”
หม่าซานเปียวเข้าใจ สองคนเดินเข้าไปในจวนได้สองสามก้าว หม่าซานเปียวก็กล่าวว่า
“วันนี้ฝ่าบาททรงมีราชโองการพระราชทานสมรสแก่ใต้เท้า ราชโองการว่าให้ใต้เท้าหวังแต่งสามนาง”
หยางซือเฉินยืนค้างนิ่งอึ้ง จ้องมองหม่าซานเปียว ราชโองการนี้ไม่น่าทำให้รู้สึกร้อนใจนี่ ยังไปตามตัวเองกลับมาจากที่ทำการอีก
“……ทรงให้ซ่งฉานฉานเป็นภรรยาเอก จางหงอิงกับหานเสียเป็นภรรยาน้อย แม้แต่ลำดับก็จัดมาให้เสร็จ จางหงอิงเป็นสอง หานเสียเป็นสาม”
“อะไรนะ!?”
ครั้งนี้หยางซือเฉินอึ้งไปจริงๆ หันไปมองซ้ายมองขวา โบกมือให้เข้ามาใกล้อีกนิด กระซิบถามว่า
“ซ่งฉานฉาน…….ก็คือแม่เล้าซ่งแห่งหอฉินก่วนหรือ?”
หม่าซานเปียวพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าหยางซือเฉินก็ยิ่งประหลาดกล่าวว่า
“ซ่งฉานฉานอายุมากกว่าใต้เท้า 10 ปี …..และยังเป็นหญิงเช่นนั้น…..ใต้เท้าเราสถานะสูงส่งเช่นใดแล้ว เป็นถึงท่านโหวแล้ว แต่งสตรีเช่นนี้เป็นภรรยาเอก…เป็นฮูหยินพระราชทาน..เหลวไหล!”
หากกล่าวถึงสตรีพื้นเพไม่ดีได้รับสถานะฮูหยินพระราชทาน แผ่นดินหมิงใช่ว่าแปลก มักเป็นพระญาติห่างๆ หรือขุนนางบู๊ พระญาติห่างหรือขุนนางบู๊ที่ยังไม่ได้สร้างความชอบใหญ่ หญิงข้างกายเป็นหญิงหอคณิกา หรือพื้นเพต่ำต้อยก็ไม่น้อย
แต่พอสร้างความชอบใหญ่ ราชสำนักมอบบรรดาศักดิ์ให้ จากนั้นก็ไม่ถือชาติกำเนิด ย่อมมอบสถานะฮูหยินพระราชทานให้ เรื่องนี้ก็เห็นกันไม่น้อย มักเป็นที่ลือกันไปในด้านดี
ทว่าขุนนางระดับโหวที่สถานะสูงยังไม่แต่งงาน ฮ่องเต้มีสมรสพระราชทาน มอบนางคณิกาให้ และไม่มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ อีก เป็นหญิงคณิกามีชื่อเมืองหลวง พระราชทานให้ขุนนางคนสำคัญเป็นภรรยาเอก พระประสงค์นี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกน่าสนุก
จางหงอิงกับหานเสียเป็นน้อย แม้ว่าไม่ยุติธรรมกับสตรีทั้งสอง แต่หวังทงตอนนี้เป็นถึงติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นางทั้งสองเป็นสตรีชาวบ้าน สามารถแต่งเป็นภรรยาน้อยเข้าตระกูลสูงเช่นนี้ก็เรียกได้ว่ามีวาสนาแล้ว แต่ภรรยาเอกเป็นสตรีหอคณิกา เรื่องนี้มันน่าอึดอัดไม่น้อย
เรื่องก่อนหน้าที่หวังทงกับหญิงตระกูลหานจะหมั้นหมายกันนั้น ชนชั้นสูงในเมืองหลวงกับขุนนางล้วนไม่มีผู้ใดรู้ ฮ่องเต้มีราชโองการเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอันใด
หยางซือเฉินค่อยๆ ก้าวเดินไปกล่าวว่า
“ข้าไปพบใต้เท้า ซานเปียว เรื่องฮ่องเต้สมรสพระราชทานเป็นเรื่องมงคลใหญ่ เจ้าก็ไปจัดการงานมงคลตามประเพณี อย่าได้ทำท่าทางหดหู่เช่นนี้ …..อีกเรื่อง เจ้าส่งคนไปหอฉินก่วนแจ้งแม่นางซ่ง จางหงอิงกับหานเสียยังพูดง่ายๆ เจ้าค่อยไปหาน้าหม่า ให้น้าหม่าจัดการเรื่องของหมั้น รีบไป จำไว้ ยิ้มเข้าไว้ !”
หม่าซานเปียวอึ้งไป ตามมาด้วยสีหน้าเข้าใจ รีบพยักหน้าวิ่งออกไปจัดการ หยางซือเฉินหันกลับไปมองทุกคนในลานด้านหน้า สีหน้าทุกคนดูย่ำแย่ หยางซือเฉินส่ายหน้าเดินไปยังห้องหนังสือ ปากก็บ่นพึมพำไป เข้าใกล้หน่อยจะได้ยินว่า ‘ความดีความชอบเหนือนาย’
มาถึงห้องหนังสือ ส่งเสียงรายงานด้านนอกก่อนผลักประตูเข้าไป ก็เห็นหวังทงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ สงบนิ่งมาก มองไม่ออกว่าคิดอันใดอยู่
พอเห็นหยางซือเฉินเข้ามา หวังทงก็พยักหน้าให้เขานั่งลง หยางซือเฉินไม่ทันนั่งก็ประสานมือคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้า ฝ่าบาทมีราชโองการสมรสพระราชทาน นี่เป็นพระเมตตา ใต้เท้ารับราชโองการแล้ว เรื่องแรกก็คือขอบพระทัยในพระเมตตา หากมัวชักช้าคงมีคนฟ้อง”
หวังทงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ เป็น ‘สามก๊กฉบับชาวบ้าน’ หวังทงบอกว่า อ่านหนังสืออ่านเล่นพวกนี้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงได้ หวังทงเงยหน้ามองหยางซือเฉินกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า
“ฝ่าบาทมีราชโองการมา ก็เพื่อส่งสัญญาณกำราบข้า หากข้าไร้ปฏิกิริยาและขอบพระทัยไปทันที เช่นนั้นก็ย่อมทำให้รู้สึกว่าทรงกำราบไม่สำเร็จ อย่างไรก็ต้องหาทางลงมือใหม่ รออีกสักครู่ค่อยถวายสารขอบพระทัย ในวังบางทีกำลังรออยู่ ท่านหยาง ตอนนี้ท่านไปร่างหนังสือกราบทูลขอบพระทัยในพระเมตตาก่อน”
หยางซือเฉินคำนับรับคำ กล่าวว่า
“ใต้เท้า เรื่องนี้……”
เขาคิดเอ่ยปลอบ หากหวังทงโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่แต่งทีเดียวสาม ลำดับนั้นข้าไม่สนใจ อย่างไรก็ของข้าคนเดียว ท่านไปร่างหนังสือเถอะ!!”
เห็นหวังทงยิ้มแย้ม หยางซือเฉินก็ไม่อาจกล่าวอันใดอีก ได้แต่คำนับออกไปร่างฎีกา หยางซือเฉินออกไปแล้ว หวังทงก็หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วก็วางลง สีหน้าไร้รอยยิ้ม มองไปนอกหน้าต่างพึมพำว่า
“ฮ่องเต้……อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้!!”