องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 817
“…….ความอัดอั้นในใจบัณฑิตถูกปลดปล่อยสิ้น……”
เดือนหก ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ เมืองหลวง มีคนบันทึกลงในบันทึกประจำวันเช่นนี้ ตั้งแต่เหยียนชิงถูกปลด ขุนนางบัณฑิตได้รับโทษจำคุกเพราะกุข่าวลือ แต่ละสมาคม แต่ละสำนักโคลง บัณฑิตต่างก็รวมตัวกันอย่างเงียบเหงามาก
ทว่าเรื่องพระราชทานสมรสแก่หวังทง ภรรยาเอกกลับเป็นหญิงหอคณิกา แม้ว่าซ่งฉานฉานเป็นเจ้าของหอคณิกาฉินก่วนที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังทำให้หวังทงเป็นที่หัวเราะเยาะอยู่ดี
“พี่ท่านมาจากที่ใด?”
“เมื่อครู่ไปหอฉินก่วนมาหรือ?”
“ยามนี้หอฉินก่วนไม่มีการแสดง ไปทำอันใดกัน?”
“ไปถามว่าแม้เล้าซ่งหายไปไหน คนงานที่นั่นบอกว่า แม่เล้าซ่งแต่งแล้ว ไม่อยู่หอฉินก่วนแล้ว”
จากนั้นทุกคนก็ฮาหัวเราะดังลั่น คำถามตอบเช่นนี้ทุกวันก็จะเกิดขึ้นที่รวมตัวของบัณฑิต รอบแล้วรอบเล่า ทุกคนล้วนไม่รู้สึกเบื่อ หากรู้สึกเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างยิ่ง
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา รู้ว่าใต้หล้านี้ยังต้องพึ่งพาบัณฑิตเช่นพวกเรา ขุนนางบู๊เช่นนั้น แม้ว่าโชคดีได้รับพระราชทานความชอบมากมาย แต่ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ เหมาะที่จะแต่งกับดอกไม้กลีบโรยชื่อเสียงป่นปี้เช่นนั้น”
“กล่าวเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับแม่นางซ่งนะ หวังทงเจ้าขุนนางบู๊หยาบคาย ไหนเลยจะเหมาะสมกับหญิงมากสามารถเช่นนั้นได้”
“ก็จริงๆ !”
พอกล่าวจบ ทุกคนก็ฮาหัวเราะฮาดังลั่นกันอีก
************
คิดถึงสมรสพระราชทานครั้งนี้ให้ดี นอกจากการจัดการเรื่องภรรยาเอกแล้ว ที่เหลือนั้นล้วนพระราชทานไม่น้อยหน้า เห็นได้ชัดว่าสมฐานะหวังทง
จวนผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจัดการงานง่ายๆ ได้ เพราะอย่างไรก็กินเบี้ยหวัดปฏิบัติหน้าที่ แต่สถานะติ้งเป่ยโหว จวนที่พักไม่อาจละเลย ต้องจัดตามระเบียบแบบแผน เขตอุดรเลือกพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะ กำลังลงมือก่อสร้างใหญ่ เมืองหลวงไปทางตะวันออกห้าลี้ หวังทงส่งคนไปซื้อโรงบ้านเตรียมไว้
แต่ละเรื่องจัดเตรียมการอยู่ หวังทงไม่มีญาติผู้ใหญ่ มารดาหม่าซานเปียวจึงต้องรับหน้าที่นี้ไป นางผ่านมาก่อน และยังเคยเตรียมงานแต่งให้หม่าซานเปียวมาก่อน จึงได้ร่วมแรงกับภรรยาหยางซือเฉินสองคนเตรียมงานแต่งให้หวังทง
ส่งแม่สื่อไปก่อน ส่งของหมั้นหมาย หลายเรื่องหลายขั้นตอน เทียบกับการหัวเราะเยาะของเหล่าบัณฑิตแล้ว คนของหวังทงเรียกได้ว่างง แต่นางหม่ากลับคิดตก นางกล่าวว่า ‘อายุเท่านี้แล้ว ยังจะรีรอลำบากอันใด รีบแต่งงานมีลูกจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง’
หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนมาถึงจวนหวังทงหลังราชโองการมาได้สองวัน ที่จริงแล้วราชโองการเพิ่งมาถึง พวกเขาสองคนก็รู้ข่าวแล้ว
หลี่เหวินหย่วนมาหาในทันที หากระหว่างทางได้พบกับคนของหลี่ว์วั่นไฉที่ส่งมารั้งไว้ รอจนตอนนี้จึงค่อยมา เหตุผลก็ง่ายมาก
“หากพวกเรารีบมาพบใต้เท้า ใช่ว่าตกเป็นเป้านินทาหรือ ฝ่าบาทพระราชทานสมรสพระราชทาน ใต้เท้าก็รีบตามพวกเรามาหารืออันใด สมรสพระราชทานนี้ ใต้เท้าต้องวางแผนรับมืออันใด ต้องยินดีปรีดาถึงสมควร หรือว่ายังต้องหาทางรับมือกัน หากมากันจริง เกรงว่าคงเป็นการเติมเชื้อไฟ!”
หลี่ว์วั่นไฉกล่าวได้ถูก ทว่าจากนั้น หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนก็ต้องมาออกแรงช่วยงาน ในฐานะเพื่อนและลูกน้อง เจ้านายงานแต่งงาน มาช่วยงานให้มาก จึงเป็นน้ำใจในหน้าที่
แต่งานแต่งท่านโหว ยังเป็นสมรสพระราชทาน จึงมีงานให้ทุกคนทำกันไม่มาก คนในวังกับกรมพิธีการต้องมาจัดการแทน ดังนั้นทุกคนจึงยังคงยุ่งกับงานตนและงานหลวงเป็นหลัก
มีคนจัดงานไม่น้อย ทุกคนจัดเตรียมงานในส่วนของตนอย่างเต็มที่ เน้นงานในหน้าที่เป็นหลัก
ดังนั้นสองคนจึงมักมาหาหวังทงที่ห้องทำงานในที่ทำการ มีคนยกน้ำชาและขนมเข้ามา หลายคนคุยสัพเพเหระกันไป ผ่อนคลายยิ่ง
ก็ไม่รู้ว่ามีคนจ่ายเงินหาข่าวมากเท่าไร อยากจะเห็นท่าทางสิ้นหวังหมดท่าของหวังทง ทว่าท่าทีหวังทงที่พวกเขาได้เห็นกลับเป็นท่าทีปกติ ไม่เดือดร้อน
“พอแม่นางซ่งทราบข่าว ก็ตื่นตระหนกมาก พูดกลับไปกลับมาคำเดียวว่า ได้อย่างไรกัน ๆ จากรายงานสำนักรักษาความสงบที่มีสายที่นั่น บอกว่าหลายวันก่อนแม่นางซ่งคิดฆ่าตัวตาย กลับถูกช่วยไว้ มีคนกล่าวว่า เจ้าคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับใต้เท้าหวัง อาจทำร้ายเขา แต่เจ้ามาตายอย่างนี้มีประโยชน์อันใด”
หลี่ว์วั่นไฉยกชาขึ้นจิบ กระซิบกล่าว ซ่งฉานฉานนับเป็นหัวหน้าหน่วยคนหนึ่งในสำนักรักษาความสงบ นางเป็นคนของหวังทง ย่อมรู้ว่าหวังทงเป็นคนเช่นไร ในใจเคารพนั้นย่อมไม่น้อยไปกว่าผู้ใด
พอรู้เรื่องราชโองการ ซ่งฉานฉานก็ตื่นตระหนกอย่างมาก ตนเองถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการหวังทง ฮ่องเต้ไม่อาจล่วงเกิน หวังทงก็ใช่ว่านางจะล่วงเกินได้ นางเป็นสตรีหอคณิกา เป็นสตรีที่เคยมีความผิดติดตัว ย่อมต้องปล่อยวางในเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าคนทั่วไป ย่อมรู้ว่าพัวกันเข้าไปกับเรื่องพวกนี้แล้วหมายถึงสิ่งใด ดังนั้นจึงได้ตื่นตระหนก
“ถึงกับฆ่าตัวตาย แต่งกับข้าเป็นเรื่องหนักใจเช่นนั้นเลยหรือ?”
หวังทงเยาะตนเอง หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนอึ้งไป ตามมาด้วยหัวเราะดัง หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จางหงอิงพอรู้ข่าว ยังคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าน้าหม่า บอกว่าอย่างไรก็อยากขอรับใช้น้าหม่าไปชั่วชีวิต ไม่อาจจากไปได้ จากนั้นทั้งคืนก็เอาแต่ฝันไปหัวเราะไป ทำให้นางหม่าไม่ได้นอนทั้งคืน นางก็คงดีใจมาก”
“ใต้เท้า หญิงชาวบ้านธรรมดาไม่อาจสู้สาวใช้ในตระกูลสูง จางหงอิงผู้นี้รู้ดี!”
หลี่ว์วั่นไฉกล่าวสัพยอก หลี่เหวินหย่วนก็หัวเราะขำตาม หวังทงยิ้มอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า
“หานกังแกล้งป่วยไปสามวัน จากนั้นก็พาน้องชายสองคนมา บอกว่าหานเถี่ยกับหานสือจะมาทำงานกับข้าด้วย ยังบอกว่าของหมั้นไม่มาก ขอใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนสองคนก็พยักหน้า หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“หานเสียผู้นี้เป็นสตรีรู้หน้าที่ ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้มาก สตรีแต่งเข้ามาแล้ว สถานะสูงต่ำก็ย่อมขึ้นกับใจใต้เท้า”
คุยเรื่องครอบครัวไปสักพัก ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ให้หกกรมกองสอบการครองที่นาของตระกูลสวี หกกรมกองกำลังระส่ำระสาย
การครองที่นาก็ต้องมีเกณฑ์วัด เดิมมีเท่าไร ตอนนี้มีเท่าไร ที่นาเป็นของผู้ใด จึงเรียกได้ว่าตรวจสอบกระจ่าง ตอนนี้แผ่นดินหมิงตั้งเกณฑ์วัดที่ตอนจางจวีเจิ้งดำเนินนโยบายตรวจสอบที่นาใต้หล้า
ตอนนั้นตรวจสอบชัดเจน ไม่มีซ่อนเร้น แต่ตอนนั้นเมืองซงเจียงเป็นพื้นที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ตระกูลสวีตอนนั้นมีที่นาเท่าไรก็ได้รับการยอมรับจากทางการแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่า ขั้นตอนทางการตอนนี้ ตระกูลสวีมิได้รุกครองที่นาผู้ใดผิดกฎหมาย ล้วนถูกต้องตามกฎหมาย
ในเมื่อมีความชอบธรรมทางกฎหมาย เช่นนั้นจะมาพูดเรื่องรุกครองอันใดอีก ยิ่งไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ หัวหน้าผู้นำตระกูลใหญ่แดนใต้อย่างตระกูลสวี ผู้ใดกล้าล่วงเกิน
ฮ่องเต้ว่านลี่ทิ้งค้างไว้สองสามวัน ทางหนานจิงก็มีคนไม่น้อยยื่นฎีกา ว่าฝ่าบาทอย่าได้ฟังคำลวงโลก ทำให้คนใต้หล้าหนาวเหน็บใจ
สิ่งที่หกกรมกองหนานจิงเขียนลงมาได้ก็เขียนมาหมด ถึงกับแม้แต่เว่ยกั๋วกงแซ่สวียังส่งคนมาเมืองหลวงเพื่อพูดแทนตระกูลสวีเมืองซงเจียง แน่นอน เว่ยกั๋วกงแซ่สวีกับสวีเจี้ยไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกัน
บัณฑิตเมืองหลวงมีคนเขียนบทความ เริ่มสรรเสริญสวีเจี้ยตอนนั้นที่ต่อสู้กับเหยียนซง ประคองอดีตฮ่องเต้ให้เริ่มปกครองสถานการณ์ใต้หล้าให้สงบสุข ยังมีคนสรรเสริญสวีเจี้ยว่ารีบลาออกเพราะไม่หลงในอำนาจ ยังมีคนออกหน้าพูดว่า ตระกูลสวีแดนใต้ดูแลคนยากคนจนอย่างไร
อย่าว่าแต่เมืองหลวง แดนใต้แต่ละแห่งก็มีบทความแพร่มา ล้วนพูดไปทำนองเดียวกัน จากแดนใต้ถึงเมืองหลวง ม้าเร็วไปถ่ายทอดราชโองการก็ต้องราวสิบวันได้ บทความพวกนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ ไม่ถามก็รู้ ย่อมมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลัง
อย่าว่าแต่บัณฑิตทั้งหลายเลย แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเองก็ออกมาสร้างกระแส ว่าหากต้องการตรวจสอบตระกูลใหญ่ ความสงบเรียบร้อยของแผ่นดินหมิงใช่ว่าสูญสิ้นหรือ
นอกจากนี้ ขุนนางในราชสำนักหลายกรม หรือแม้แต่ตำแหน่งเจ้ากรมสำคัญหลายตำแหน่งมีผู้ใดบ้างไม่มีที่นาพันฉิ่งกัน หากไร้สมบัติที่นา เจ้าคงไม่กล้ามาเป็นขุนนาง กลับบ้านไปให้คนขุดคุ้ยหัวเราะเยาะ
เรื่องตรวจสอบตระกูลสวี ทำให้ทุกคนอึดอัด ตรวจสอบอันนี้เสร็จ ต่อไปจะตรวจผู้ใดอีก หรือว่าจะมาตรวจตัวพวกข้ากัน ผู้ใดจะไม่มีวันกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตบั้นปลายกันบ้าง
ความคิดขุนนางใหญ่เบื้องบนกระจ่างแล้ว เบื้องล่างก็รู้ว่าควรจะทำเช่นไร กลเม็ดอุบายเฉไฉอันใดก็เอามาใช้หมด เพื่อให้คำตอบแก่เบื้องบน คงแค่ถูกตำหนิที่ไม่เจ็บไม่คันเท่าไร
ขุนนางใหญ่ถวายผลการสอบที่พยายามเฉไฉแด่ฮ่องเต้ว่านลี่ ประเด็นปัญหาก็อยู่ที่ตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมตำหนิไม่เจ็บไม่คันเท่าไร จากนั้นก็รับสั่งให้ตรวจสอบต่อ
หากไม่คิดสอบก็คงไม่เกิดเรื่องการดำเนินการที่ไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ หากคิดสอบจริงย่อมเกิดเรื่องวุ่นวายในเมือง อย่างไรต้องส่งคนไป
ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นเช่นนี้ ทุกคนก็งง มีคนเดาไปอีกว่า ทำเช่นนี้มีพระประสงค์ใดกันแน่ แต่เดาไปเดามาก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าทรงพระประสงค์สิ่งใด
“ตอนเริ่มต้นเพราะคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า ตอนนี้ดูแล้วน่าจะมีจุดหมายอื่น ไม่สนแล้ว แต่งงานก่อน แต่งภรรยาหลวงภรรยาน้อยเข้ามาก่อนค่อยว่ากัน!”
ตอนนี้เมืองหลวงร้อนใจกันด้วยเรื่องตระกูลสวี หวังทงโบกมืออย่างไม่ยี่หระ หลี่ว์วั่นไฉกางพัดโบกพัดไปมา ยิ้มกล่าวว่า
“แม้กล่าวว่าใต้เท้าอายุขนาดนี้ควรตั้งครอบครัวได้แล้ว แต่ทว่า แต่งภรรยาหลวงน้อยเข้ามา คำนี้ฟังแล้วแปลกๆ ”
กล่าวจบ ทุกคนในห้องก็หัวเราะ พอเสียงหัวเราะเงียบลง หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า ในวังทางนั้นอย่าได้เสียมารยาทชักช้า ฮ่องเต้สมรสพระราชทาน ใต้เท้าย่อมมีคนมาจับตาดูตั้งแต่ต้นจนจบ
ยามนี้ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้แม้แต่น้อย!”
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“อันนี้เข้าใจ ทุกอย่างเหมือนเดิมๆ”
กำลังคุยกันอยู่ ด้านนอก็มีองครักษ์เสื้อแพรนายกองธงเล็กสิบกว่านายรายงานตัวก่อนจะเข้ามาคำนับรายงานว่า
“ท่านผู้บัญชาการ ตอนนี้รองผู้บัญชาการเหรินกำลังตำหนิสั่งสอนนายกองพันหลิวกองลาดตระเวน ยังว่าจะปลดตำแหน่งนายกองพันหลิวด้วย”
หวังทงพยักหน้าว่ารู้แล้ว โบกมือให้นายกองธงเล็กออกไป พอคนออกไป กลับถามขึ้น
“พวกท่านรู้ไหมว่านายกองธงเล็กผู้นี้คือใคร?”
สองคนย่อมบอกไม่รู้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เขาเป็นลูกชายอดีตผู้บัญชาการลั่วซือกง ลั่วหย่างซิ่ง ตอนนี้ก็เป็นทหารติดตามข้า”