องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 819
ตอนทุกคนในเมืองหลวงกำลังคิดว่าหวังทงเป็นตัวตลก รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงถูกโบยในที่ทำการ จากนั้นถูกปลดจากตำแหน่ง ข่าวนี้ทำให้ทุกคนพากันเงียบกริบ
องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานสำคัญไม่อาจปล่อยให้อยู่ในมือคนๆ เดียว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร โดยมากมักจะทานอำนาจกัน ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้ชื่อว่าหัวหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจปลดอีกสองตำแหน่งดังกล่าว อำนาจนี้อยู่ในมือฮ่องเต้องค์เดียว ไม่เช่นนั้นจะทานอำนาจได้อย่างไร
หวังทงโบยรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถง จากนั้นก็ประกาศปลดจากตำแหน่ง ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหลวง คนไม่น้อยคิดว่าหวังทงทุบขวดตัวเอง ย่อมเป็นการทำลายตนเอง เจตนาก่อเรื่อง รอให้ในวังมีราชโองการตำหนิมา ก็จะได้ลาออกจากตำแหน่งขุนนาง
คิดไม่ถึงว่าในวังกลับมีท่าทีเช่นนี้ เหรินต้าถงถูกปลด และส่งตัวให้หน่วยงานตรวจสอบเรื่องกระทำผิด ไหนว่าตำแหน่งหวังทงไม่ได้หนักแน่นดังขุนเขาไท่ซาน
ลองคิดให้ดี ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพร มีผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหนึ่งคน รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองคนว่างอยู่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งลาป่วย ตำแหน่งนี้ในวังยังไม่ส่งใครมาเป็น
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนสับสนไม่เข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมตกอยู่ใต้อำนาจหวังทงคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นไยต้องมีราชโองการเช่นนั้นกัน
ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งแพร่ออกไป คิดให้ดีแล้ว หวังทงก็ไม่ได้เสียอะไรไป หญิงดีงดงามจากตระกูลดี อีกหญิงมีชื่อหอคณิกา รสชาติใดก็ล้วนได้ลิ้มลอง จะไปสนใจว่าข้างนอกพูดอะไรไปทำไม ล้วนแต่งเข้าจวนเขา
ทว่างานแต่งหวังทงใกล้เข้ามาแล้ว…….
************
“ฝ่าบาท สำนักรักษาความสงบวันนี้มีรายงาน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งแต่เดือนหกมา ไม่ว่าการประชุมราชสำนักหรือว่าส่วนพระองค์ ก็เหมือนเงียบไปผิดปกติ จางเฉิงวางเอกสารรายงานไว้ที่โต๊ะข้างที่ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงหยิบไปพลิกทอดพระเนตรเหมือนปกติ เงียบไปพักหนึ่ง ก็เคาะกองเอกสารตรัสว่า
“ในเมืองเกิดเรื่องอันใด?”
“ทูลฝ่าบาท คนตระกูลสวีเมืองซงเจียงมาถึงเมืองหลวงแล้ว ใต้เท้ากรมพิธีการกับกรมอากรเตรียมยื่นฎีกาแก้ต่างให้ตระกูลสวี คนจากสำนักตรวจสอบกับสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนก็เตรียมยื่นฎีกาทูลขอเช่นกัน กระหม่อมยังได้ยินว่า ขันทีในวังกับขันทีสำนักส่วนพระองค์ก็ได้รับการฝากฝังด้วย อาจจะหาโอกาสทูลฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้สนใจฟัง เพียงแค่เหลือบพระเนตรขึ้น ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“ในวังนอกวัง หรือแม้แต่เสด็จแม่ที่ทรงพักรักษาพระวรกายยังส่งคนมาพูด ว่าสวีเจี้ยเป็นขุนนางเก่าสองรัชสมัย ตอนนี้เพิ่งจากไปไม่นาน ให้เราทำการให้รอบคอบ”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นตรัสว่า
“พวกเขาจะรู้อะไร เอาแต่วิ่งร้องแรกแหกกระเซิงไปวันๆ”
จางเฉิงได้แต่คำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไป คิดจะเปิดเอกสารฎีกาอ่านหากก็ปิดลงอีก ลังเลเล็กน้อยก่อนตรัสถามขึ้น
“หวังทงทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
จางเฉิงนิ่งไป ก่อนจะคำนับทูลตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท หวังทงปกติดีทุกอย่าง กำลังเตรียมงานแต่ง รายงานทุกสายล้วนไม่พบอันใดผิดปกติ ทางเทียนจินการค้าทั้งหมดก็ปกติดี”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองพระหัตถ์นวดใบหน้าไปมาก่อนยกลงดันโต๊ะอย่างร้อนพระทัย ทำให้เอกสารบนโต๊ะล้มกระจัดกระจายเต็มพื้น อึ้งไปพักหนึ่ง ก็ลังเลกล่าวว่า
“จางปั้นปั้น เราทำผิดไปใช่ไหม……”
จางเฉิงได้ยิน กลับไม่ได้สนใจไปเก็บของที่หล่นกระจาย หากคุกเข่าลงทันทีกราบทูลดังว่า
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงทำผิดอันใด ที่ฝ่าบาททรงทำก็เพื่อแผ่นดิน”
“แต่หวังทงไม่ได้คิดเป็นใหญ่ ไม่ได้ระแวงเราเหมือนที่เราระแวงเขา เราทำกับเขาเช่นนี้…….”
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ ฝ่าบาทเป็นนายของใต้หล้านี้ หวังทงสร้างความชอบเช่นนี้ เขาไม่มีใจคิดเป็นใหญ่ แต่ใช่ว่ารอบกายเขาจะไม่คิด หากฝ่าบาททรงโปรด หากหวังทงเลอะเลือน กลับเป็นการทำร้ายเขา ฝ่าทำเช่นนี้ก็แค่กำราบเตือนเท่านั้น หากหวังทงเข้าใจ ก็ควรจะรู้ว่าเป็นการปกป้องจากฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรสีหน้าจริงจังของจางเฉิง ยิ้มอย่างอดไม่ได้ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“จางปั้นปั้น ท่านกล่าวเอาใจเราเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ในใจหวังทงอย่างไรก็ย่อมต้องมีบาดแผล วันนั้นเขาขอบพระทัยเรามาก็อีกหลายชั่วยามถัดมา หรือว่าไม่ใช่กัน…….ก็ลำบากเขาจริง”
จางเฉิงคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“ฝ่าบาท หวังทงได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นติ้งเป่ยโหว ได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยังมีพระราชทานใหญ่อย่างเมืองกุยฮว่าเฉิง ฝ่าบาททรงมีสมรสพระราชทาน ยังคงได้แต่งกับหานเสีย ยังเพิ่มจางหงอิงกับซ่งฉานฉาน ไม่ได้เสียหายอันใดต่ออำนาจและการงานของเขา กระหม่อมแม้เป็นขันทีก็รู้ว่าผู้ชายต้องการผู้หญิง ต้องการยิ่งมากยิ่งดี ทว่าก็แค่ชื่อเสียงได้รับผลกระทบ หากผลประโยชน์ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอันใด กลับได้กำไรแล้ว หวังทงหากจงรักภักดี เขาก็ควรจะซาบซึ้งใจพระมหากรุณาธิคุณฝ่าบาท ตั้งแต่ทรงมีราชโองการไปถึงตอนนี้ หวังทงก็ทำไปตามธรรมเนียม ไม่ได้เสียธรรมเนียม หรือไม่เคยรีรอชักช้า แสดงให้เห็นว่าหวังทงรับรู้ถึงพระเมตตาเอาพระทัยใส่ของฝ่าบาท”
ได้ยินว่า ‘กำไรแล้ว’ คำนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เอาแค่หน้าดำคล้ำก็ไม่ได้ฝืนต่อ หากทรงหัวเราะดังออกมา ชี้พระหัตถ์ไปยังจางเฉิงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล่าวเช่นนี้ได้ อย่าได้คุกเข่าเลย ยืนขึ้นๆ!”
จางเฉิงยืนขึ้น สีหน้าไม่ได้มีรอยยิ้มอันใด คำนับทูลต่อว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมเมื่อครู่พูดไปนั้นไม่ได้ล้อเล่น หวังทงไม่ได้เสียประโยชน์อันใด เขาตอนนี้มีสถานะเช่นนี้ ยังต้องการอันใดอีก ยังต้องการชื่อเสียงอันใดอีกกัน ทุกอย่างที่เขาได้มาล้วนเป็นเพราะทรงพระราชทานให้ เขาได้แต่ต้องจงรักภักดี วันหน้าย่อมได้ชื่อเสียงเกียรติยศ แต่หากเขาไม่จงรักภักดี ต้องการชื่อเสียงพวกนี้เพราะคิดอันใดกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน จางเฉิงกระแอมไอ ทูลว่า
“ฝ่าบาทเป็นนายใต้หล้า ได้ชื่อว่า เจ้านายผู้โดดเดี่ยว ก็หมายถึงว่ามีได้เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีผู้ใดเทียมทันได้ และก็ไม่สามารถมีผู้ใดใกล้ชิดได้ ฝ่าบาททรงคิดเพื่อใต้หล้า เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อผลลัพธ์เช่นนี้ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องสละทิ้ง นี่จึงเป็นฮ่องเต้!!”
จางเฉิงปกติพูดแค่สามส่วน วันนี้กลับพูดจากใจออกมาหมด กระทบพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ ทรงประทับยืนขึ้นตรัสว่า
“จางปั้นปั้น เราได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ หลายเรื่องก็เข้าใจแล้ว!!”
จางเฉิงกล่าวถึงตรงนี้จึงได้ถวายคำนับกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาที่สุด กระหม่อมเพียงแค่เคยได้ยินฮ่องเต้ตรัสกับขันทีในสำนักขันที เรื่องใหญ่ยังคงต้องให้ทรงตัดสินพระทัยเอง”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ แต่ก็ยังถอนพระปัสสาสะตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“สุดท้ายก็ยังเป็นเราที่ผิดต่อหวังทง ไม่มีเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง เราทำเรื่องเหลวไหลลงไป ต้องคิดหาทางชดเชยคืนให้ดีจางปั้นปั้น เจ้าออกไปก่อน เราอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก”
จางเฉิงคำนับออกไป เรื่องเช่นนี้ในวังล้วนมีธรรมเนียม ฮ่องเต้อาจเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติได้ตลอดเวลา จางเฉิงกับเจ้าจินเลี่ยงต้องรออยู่ที่ห้องทำงานข้างๆ
ขันทีในนั้นทั้งหมดไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่รวมกับจางเฉิงและเจ้าจินเลี่ยง ห้องที่จางเฉิงอยู่ที่จริงแล้วก็เรียกได้ว่าห้องทำงานสำนักส่วนพระองค์ ฎีกาสำคัญก็ต้องส่งมาให้จางเฉิงดูก่อน สามารถจัดการได้ก็จัดการไปทันที เรื่องสำคัญก็อาจเข้าไปกราบทูลของความเห็นจากฮ่องเต้
ห้องสำคัญเช่นนี้มีแต่เจ้าจินเลี่ยงเข้าไปได้ จางเฉิงนั่งอยู่ เริ่มลงชาด เจ้าจินเลี่ยงเดินเข้าไปด้านหน้า จัดฎีกาให้เป็นระเบียบ พลางถามขึ้นเบาๆ
“ท่านปู่จาง ท่านไม่ใช่บอกว่าหวังทงจงรักภักดีหรือ ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ใช่ว่า……”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าอ่อนโยนอย่างมาก เจ้าจินเลี่ยงจึงกล้าพูดต่อว่า
“แต่ท่านทำไมจึงยังทูลเช่นนั้น?”
จางเฉิงวางพู่กันลง อึ้งไปก่อนจะถอนหายใจ เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ในวังมีบางเรื่องต้องจำให้ดี ก็คือต้องระวังคำพูด ไม่พูดดีที่สุด ไม่เช่นนั้นย่อมนำภัยมาถึงตัวได้ เจ้ารู้ไหม?”
เจ้าจินเลี่ยงพยักหน้าหงึก ๆ สีหน้ายังคงงุนงง จางเฉิงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าจินเลี่ยง กล่าวว่า
“ไม่ทูลเช่นนี้ ยังจะให้ทูลเช่นไร!”
**************
วันที่ 4 เดือนเจ็ด วันนี้เป็นฤกษ์ดีสำหรับการแต่งงาน ทั่วเมืองหลวงล้วนเลือกจัดงานในวันนี้ ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงก็เช่นกัน
ฤกษ์แต่งมงคล ก็ย่อมจัดงานไปตามปกติ แต่หวังทงสถานะเช่นนี้ ตั้งแต่มีราชโองการพระราชทานสมรสมา ก็ไม่อาจจัดอย่างขอไปทีได้
พิธีการออกเทียบสาม พิธีหก ตั้งแต่ส่งแม่สื่อทาบทาม ส่งแม่สื่อขอชื่อและเวลาเกิดไปจนครบหกกระบวนการเสร็จสิ้น
ทว่าหานเสียกับจางหงอิงไม่มีผู้อาวุโสในครอบครัวออกหน้า ซ่งฉานฉานเองก็ตัวคนเดียว ล้วนให้ครอบครัวหม่าซานเปียวดำเนินการให้ทั้งหมด ของพวกนี้ล้วนเตรียมกันเป็นการภายใน จัดพิธีก็รวดเร็วมาก
จวนติ้งเป่ยโหวยังสร้างไม่เสร็จ งานแต่งจึงจัดเรียบง่าย ก็จัดที่จวนหวังทง ตั้งโต๊ะเลี้ยงรอบ ๆ จวน หอสุราอาหารต่างก็มาจัดเก้าอี้ชามตะเกียบรวมเบ็ดเสร็จ แม้แต่คนยกอาหารรินสุราก็จ้างมาครบ งานแต่งนี้ดังกระหึ่มทั่วเมืองหลวงเท่าใดไม่รู้ แต่พวกเขาก็ต้องดูแลอย่างรอบคอบระมัดระวัง
หวังทงตอนนี้เป็นผู้นำองครักษ์เสื้อแพร ยังมีสถานะติ้งเป่ยโหว เขาจัดงานแต่ง ชาวเมืองหลวงขอเพียงมีชนชั้นพอก็สามารถได้รับเทียบเชิญ
แต่งานเลี้ยงวันนั้น นอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ก็มีแค่ขุนนางจากเทียนจินที่มา ไม่มีชนชั้นสูง ขุนนางบู๊ส่งคนมามอบของขวัญ ส่วนขุนนางบุ๋นไม่มีผู้ใดปรากฏตัว ท่าทีเรียกได้ว่าชัดเจน
งานแต่งขุนนางใหญ่ ถึงกับเงียบเหงาเช่นนี้ สีหน้าคนในจวนหวังทงไม่ดีนัก ไม่เพียงแต่เท่านี้ ด้านนอกมีคนแต่งกายแบบบัณฑิตธรรมดาทั่วไปมาปะปน ว่ากันว่าแต่ละตระกูลส่งมาดูลาดเลา ต้องจดบันทึกสถานการณ์กลับไปรายงานเจ้านายตน หากไม่ใช่วันมงคลใหญ่เช่นนี้ ทุกคนคงได้ถูกทหารออกไปขับไล่ไปนานแล้ว
**************
คนด้านนอกมองเข้ามางานแต่งด้านในไปก็หัวเราะวิพากษ์วิจารณ์ไป ส่วนใหญ่เป็นวาจาเยาะเย้ยหวังทง อยู่ ๆมีคนโพล่งขึ้นว่า
“นั่นใช่จางเฉิงจางกงกงสำนักส่วนพระองค์ไหม เดินตามรถมา ในรถเป็นผู้ใด?”
“ฝ่าบาทเสด็จมาร่วมงานแต่งหวังทง!!”
ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาทันที