องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 821
หวังทงเมาสุราอยู่ๆ หัวเราะขึ้น ผู้คุ้มกันหน้าหลังพากันหันมามอง หยางซือเฉินขมวดคิ้วรีบโบกมือ กล่าวว่า
“ถอยไปให้หมด ๆ สั่งให้ห้องครัวต้มชาสร่างเมามาด้วย”
ทหารติดตามพากันคำนับออกไป หวังทงโงนเงนไปมา หยางซือเฉิน รีบเข้ามาประคองไว้ หลายปีนี้ฝึกฝนร่างกายมาไม่ได้หยุด ไม่เช่นนั้นร่างกายหวังทงเช่นนี้ หยางซือเฉินคงไม่อาจประคองไว้ได้
มองภายใต้แสงโคมแล้ว แทบจะประคองร่วงลงไปกับพื้น เมื่อก่อนหวังทงที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าถึงกับหลั่งน้ำตา การเสียกิริยาอาการเช่นนี้ถูกคนอื่นเห็นเข้าย่อมเป็นเรื่องยุ่งยาก หยางซือเฉินรีบก้มหน้าลงกล่าวว่า
“ใต้เท้า ระวังด้วย!!”
แม้ว่าอยู่ในจวนตนเอง ผู้ใดกล้ากล่าวว่าไม่มีสายสืบ สุราดื่มมากไปแล้ว ช่างทำให้ความคิดและกำลังตกลงไปมาก หวังทงรีบก้าวเดินไปสองก้าวจึงได้สติ ยกมือลูบใบหน้า แต่ก็ยังระงับไม่อยู่
“รีบประคองข้าไปห้องหนังสือ อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า!!”
หวังทงอ้อแอ้กล่าวขึ้นหยางซือเฉินยิ้มไม่ออก ในใจคิดด่านี้เมาจริงหรือไม่เมากัน ถึงกับยังมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้อีก
ห้องหนังสือไม่ไกลนัก หวังทงถูกประคองเข้าไปนั่ง ชาสร่างเมาก็ส่งมาถึง หยางซือเฉินสั่งให้คนออกไปนำผ้าขนหนูกับน้ำเย็นมา หวังทงยกชาสร่างเมาขึ้นดื่ม
ชาสร่างเมาเติมสมุนไพรหลายอย่าง มีผลดีต่อการทำให้สร่างเมา หวังทงนั่งลงไม่นาน ก็ดิ้นรนยืนขึ้นเดินไปห้องหนังสือด้านหลัง อาเจียนออกมาหมด
พอหยางซือเฉินนำน้ำเย็นกับผ้าเช็ดหน้าเข้ามาส่งให้ หวังทงก็ดื่มชาสร่างเมาลงไปพอสมควรแล้ว ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปสองสามที ถอนหายใจกล่าวว่า
“เมาแล้วเสียการ วันนี้เสียท่าทีเช่นนี้ไม่อาจให้เกิดขึ้นอีก สุราดีที่สุดอย่าได้แตะต้องอีก”
หยางซือเฉินเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“ใต้เท้า ดื่มสุราแล้วมากวาจา หากใช้สุราดับทุกข์ก็ทำลายสุขภาพ วันนี้ใต้เท้าก็ช่างเสียกิริยาอย่างมาก”
“ไม่ดื่มไม่ได้ ราชโองการฮ่องเต้ไม่ใช่พระมหากรุณาหรือ ข้าเป็นขุนนาง หรือว่าไม่ควรดีใจจนออกท่าทีเช่นนี้กัน ไม่ดื่มสุราจะแสดงความในใจออกมาได้อย่างไร”
หวังทงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะเงียบไป ชี้ไปด้านนอกประตูกล่าวว่า
“ท่านหยาง ท่านออกไปดูว่ามีคนด้านนอกไหม ดูรอบ ๆ แล้วค่อยกลับเข้ามา”
หยางซือเฉินอึ้งไป ทว่าก็ออกไปเดินรอบหนึ่ง ทหารคุ้มกันได้รับคำสั่ง ย่อมไม่มาอยู่แถวนี้ในยามนี้ รอหยางซือเฉินปิดประตูห้องหนังสือ หวังทงจ้องเขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“หลังท่านถูกเซินสือหังปฏิเสธมา ก็มาลงเรือลำเดียวกับข้า มีบางวาจา ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ครั้งหน้าจะไม่พูดอีก ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ทรงไม่ใช่คนอย่างเรา ในพระทัยรู้สึกส่วนพระองค์เช่นไรกัน ฮ่องเต้ต้องปกป้องอำนาจพระองค์ ผู้ใดหากแตะต้องเข้า แม้ว่าเป็นญาติเลือดเนื้อเดียวกันก็ย่อมต้องสังหารทิ้ง!”
หยางซือเฉินอึ้งไป หวังทงน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวเบาๆ ว่า
“ฮ่องเต้ทรงกำราบข้าเพื่อลองใจ ข้าได้แต่เงียบไว้ หากไม่พอใจ หากมีปฏิกิริยา เกรงว่าคงได้มีภัยถึงตัวทันที”
ในห้องเงียบกริบ หยางซือเฉินได้แต่คำนับ หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ท่านไปพักได้แล้ว! พวกหานเสียยังรอข้าอยู่ห้องข้างๆ คืนแต่งงาน ไม่อาจทิ้งขว้างเย็นชาเกินไป”
หยางซือเฉินสีหน้ามีรอยยิ้ม กล่าวว่า
“งานแต่งใต้เท้าแม้ว่าเกิดเหตุไม่ราบรื่นมากมาย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีที่สุด คืนวสันต์แสนสั้น ขอใต้เท้ารีบไปเถอะ ข้าขออวยพรใต้เท้าประสบความสุขในการแต่งงานนี้ มีลูกหลาน……”
************
ยุคสมัยนี้ภรรยาหลวงน้อยล้วนสถานะต่างกันมาก โดยเฉพาะในตระกูลชนชั้นสูง ฮูหยินติ้งเป่ยโหวกับภรรยาน้อยสถานะก็ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คืนแต่งงานใหม่ ที่จริงแล้วก็คือสามวันแรกของการแต่งงาน หวังทงล้วนต้องอยู่กับกับหานเสีย จางหงอิงกับซ่งฉานฉานต้องรอหลังจากวันที่สาม
หวังทงใช้คทาหรูอี้มงคลสมหวังเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวในห้องนอน ดื่มสุรามงคลกับภรรยาทั้งสาม จากนั้นจางหงอิงกับซ่งฉานฉานก็ถูกประคองออกไปที่ห้องตนเอง คืนแต่งงานเป็นของหวังทงกับหานเสีย
“แต่งกับข้า เจ้าดีใจไหม?”
คนออกไปกันหมดแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลง หานเสียนั่งอยู่ข้างเตียงก้มหน้า สีหน้าแดงเขินอาย สถานการณ์นี้ หวังทงไม่รู้ว่ากล่าวอันใดดี นิ่งอึ้งไป จึงถามออกมาเช่นนี้
พอได้ยินคำถามแปลกเช่นนี้ หานเสียก็หลุดหัวเราะคิกคักออกมา เงยหน้าจ้องมองหวังทง กระพริบตากล่าวว่า
“แต่งกับท่านพี่ย่อมดีใจ น้องตอนเด็กอยู่เมืองจี้โจว ท่านพ่อท่านแม่บอกว่า โตแล้วให้แต่งกับวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ท่านพี่เป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ได้สมหวังดังใจ ย่อมดีใจ”
ได้ยินเช่นนี้ เล่นเอาหวังทงอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น เด็กน้อยสิบกว่าขวบ หวังทงได้มองดูนางอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก ไม่อาจเรียกว่าสตรีงดงาม จางหงอิงกับซ่งฉานฉานงดงามกว่านางหลายเท่า แต่หานเสียมีความจริงใจและชีวิตชีวา คุณสมบัติเช่นนี้ของหานเสียทำให้ใจหวังทงหวั่นไหว
งานแต่งนี้ยังเป็นงานที่หานเสียผลักดันเอง ความกล้าและการเริ่มก่อนเช่นนี้ ในยุคนี้หาได้น้อยมาก หวังทงรับคำง่ายเช่นนี้ก็เพราะหานเสียเป็นเช่นนี้
ใต้แสงโคมมองหน้ามล ความต้องใจเจ็ดส่วนก็กลายเป็นสิบส่วน อย่างไม่ทันรู้ตัว หวังทงก็จับจ้องมองหานเสียไม่วางตา หานเสียเดิมสบตากับหวังทง อายจนต้องก้มหน้าลง หน้าแดงลามไปทั่วลำคอ
……..
มารดาหม่าซานเปียวรู้ว่าหวังทงเป็นครั้งแรกที่สัมผัสเรื่องราวชายหญิง หานเสียก็เป็นสตรีดีงาม ดังนั้นจึงส่งหญิงผ่านการสมรสแล้วมาจับตาดูด้านนอก ก่อนหวังทงเข้าหอ นางผู้นี้ยังแอบกระซิบความลับกับหานเสีย เรื่องนี้ไม่พูดแล้ว ยามนี้ นางผู้นี้กำลังจับตาดูห้องหออยู่ด้านนอก
พอไฟในห้องหอดับลง จึงได้เผยรอยยิ้มพึงใจ หันกายจากไป
*************
หวังทงอายุมากขึ้น ไม่ค่อยได้ฝัน ทุกคืนหลับสนิทดี
คืนเข้าหอ หลังงัวเงียหลับไป หวังทงก็ฝัน ฝันประหลาดมาก ในฝันเหมือนว่ามีถนนสายหนึ่ง ถนนไกลสุดลูกหูลูกตา
เริ่มแรกบนถนนสายนี้มีแต่หวังทงคนเดียว ต่อมามีกลุ่มเด็กหนุ่มเดินมากับหวังทง เด็กกลุ่มนี้ก็ค่อยๆ ตามมาด้านหลังหวังทง เดินมาข้างหวังทงกลายเป็นเด็กอ้วนขาพิการ สองคนเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน เด็กอ้วนนั้นแม้ว่าขาพิการ แต่ก็เดินได้เร็ว เดินอยู่หน้าหวังทง
หวังทงได้สติก้าวตามไป เริ่มแรกก็ก้าวนำเด็กอ้วนขาพิการ เด็กอ้วนขาพิการยิ้มตามมา แต่ทุกครั้งก็เดินเลยหน้าเด็กอ้วนไป พอตามทัน สีหน้าเด็กอ้วนขาพิการก็ค่อยๆ ไร้รอยยิ้ม
เด็กอ้วนขาพิการเริ่มดึงหวังทง ปากก็ด่าทอ ถึงกับลงมือ หวังทงได้แต่รู้สึกรำคาญใจ แม้ว่าเขาไม่รู้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าด้านหน้ามีอันตรายและเภทภัยรออยู่ เขาต้องคอยปกป้องอยู่ด้านหน้าเด็กอ้วนขาพิการ ตนเองดีกับเจ้าเด็กอ้วนขาพิการเพียงนี้ แต่เขากลับไม่สนใจ ไยต้องทนเช่นนี้!
ทว่าก็แค่เดินทาง ไม่จำเป็นต้องคิดมาอันใด คิดกระจ่างแล้วหวังทงก็เดินอยู่หลังเด็กอ้วน สีหน้าเด็กอ้วนก็เริ่มมีรอยยิ้ม หวังทงก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นมาก เด็กๆ ด้านหลังก็ตามมากันทัน
เส้นทางเหมือนว่ายังมีคนอื่นอีก หลากหลายผู้คน เส้นทางดำมืด ไม่กล้ามองต่อ มองให้ดีเหมือนว่ามีมารร้าย เหมือนว่ามีซากศพ เหมือนว่ากำลังดูดผู้คนเข้าไป
เส้นทางนี้มีคนล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก มีคนมาเพิ่มระหว่างทาง ขบวนแถวเหมือนยาวขึ้น ยังเหมือนมีอีกหลายคน ถนนต่อไปไร้จุดจบ
หวังทงมองเห็นเส้นทางยาวไกลนี้ออกไป แบ่งออกเป็นสองสาย สายหนึ่งแยกไปราวกับมีแสงสว่าง จุดหมายปลายทางมีแสงสว่าง อีกเส้นทางราวกับว่าไม่นานก็มืดดับ แต่ปลายทางก็ยังเป็นแสงสว่างอยู่ดี
เส้นทางที่ตนเองต้องเดินไป? ในใจหวังทงเริ่มลังเล ในตอนนั้นเองหวังทงก็ตื่นขึ้น
ตอนหวังทงลืมตา หานเสียข้างๆ ยังหลับสนิทอยู่ กลับได้ยินเสียงสาวใช้ในห้องกระซิบว่า
“รีบไปไล่เจ้าไก่นั่นไป วันมงคลเช่นนี้ อย่ารบกวนท่านโหวกับฮูหยินพักผ่อน”
หวังทงส่ายหน้ายิ้ม ยกมือขยี้ขมับ วันหน้าสุราพวกนี้แตะต้องน้อยหน่อยเป็นดี ดื่มแล้วจิตใจสับสน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ ทำให้คนฝันมั่วซั่วไปหมด
*************
แต่งงานใหม่อย่างไรต้องพักที่บ้านหลายวันหน่อย สำนักองครักษ์เสื้อแพรทางนั้นก็ให้หยางซือเฉินไปดูแลเหมือนเดิมสำนักรักษาความสงบก็ไม่มีอันใดต้องกังวล
ตอนกลางวัน สองแห่งนี้ก็มีเอกสารรายงานมา แม้ว่าไม่มีคำสั่งหวังทง แต่ราชโองการที่ประกาศในงานแต่งหวังทงนั้นก็แพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
พวกที่รอดูเรื่องตลกในเมืองหลวงพากันอึ้งอ้าปากค้าง ทว่าหลายคนกลับรู้สึกว่า ราชโองการเช่นนี้จึงจะเรียกว่าปกติ ก่อนหน้านี้นั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี มีคนกล่าวอีกว่า ตอนแรกราชโองการก็เป็นเช่นนี้ แต่เพราะมีพวกคิดการไม่ได้แกล้งปล่อยข่าวผิด
มีคนกล่าวอีกว่า ไม่เกรงอาญาหรือ ผู้ใดกล้าแพร่ราชโองการปลอม ตอนแรกขันทีมาแพร่ข่าว ในวงการขุนนางก็แพร่ข่าวเช่นนี้ หรือว่าทุกคนสร้างข่าวลือปลอมขึ้นกัน ผู้ใดกล้าแพร่ข่าวราชโองการในเมืองหลวง แต่คำแย้งนี้ไม่กล้ามีใครแย้ง หากบอกว่าราชโองการนั้นเชื่อถือได้ ก็แสดงว่าอันนี้ปลอมงั้นสิ?
ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นั่น ขันทีสำนักส่วนพระองค์ถ่ายทอดราชโองการ เจ้าบอกว่าปลอม ฝ่าบาทตรัสชัดเจนว่าให้ประกาศอีกครั้งเพื่อเสริมบรรยากาศเฉลิมฉลอง ก็หมายความว่าฉบับก่อนหน้าความก็ย่อมเป็นเช่นนี้
ความผิดใหญ่เช่นนี้ผู้ใดก็คงรับไว้ไม่ไหว ผู้ใดกล้ากล่าวให้มากความกัน วิพากษ์วิจารณ์มากไป คงได้แต่เอาจริงแล้ว
ทว่าก่อนหน้าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เขตปกครองใต้ ตระกูลสวีเมืองซงเจียงครอบครองที่นาผู้อื่นจำนวนมาก ในราชสำนักก็มีเรื่องนี้มาได้ราวหนึ่งเดือนแล้ว นับว่ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบที่เมืองซงเจียง
เผือกร้อนเช่นนี้ก็คงมีแต่หวังทงที่แตะต้องได้ นี่เป็นเรื่องที่ในราชสำนักรับรู้ร่วมกัน กล่าวถึงวันเวลาออกเดินทาง ก็คือเดือนเจ็ด ราชโองการแม้ไม่ได้ระบุ ทว่าก็กำหนดราวนี้
ยังมีคนสรรเสริญฮ่องเต้ว่านลี่ว่าทรงพระเมตตาเข้าใจขุนนาง ให้หวังทงพักมีความสุขกับการแต่งงานหนึ่งเดือน จากนั้นค่อยลงใต้ไปปฏิบัติหน้าที่ แดนใต้ได้ชื่อว่าแดนสวรรค์ เป็นงานที่ดี