องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 824
การรับคนในวงการนักเลงมาล้วนเป็นความสนใจหนึ่งของหวังทง หลังมาถึงเมืองหลวง จัดการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแต่ละหน่วยงาน อำนาจในมือก็ขยายมากขึ้น สิ่งที่เดิมว่าจะให้คนในวงการนักเลงเป็นคนทำ ก็สามารถให้คนอื่นทำให้ได้
เทียบกับคนในระบบแล้ว คนในวงการนักเลงนั้นไม่อาจไว้ใจได้ การมีอยู่ของคนเหล่านี้ หยางซือเฉินพอรู้อยู่บ้าง และก็เคยเตือนหวังทง ว่าคนพวกนี้อันตราย ต้องระมัดระวังให้มาก
การวิเคราะห์นี้ หวังทงเองก็เห็นด้วย คนในวงการนักเลงอย่างไรก็ควบคุมยากหลายอย่าง ทว่าในเมื่อรับไว้แล้ว ก็ต้องรักษาหน้าตาตนเอง ไม่อาจตัดใจทิ้งได้ลง
วิธีการหวังทงก็คือแยกออกมาได้ก็แยกออก ให้พวกเขาได้หลอมรวมในกองทัพหรือไม่ก็หน่วยงานทางการ ให้ล้างนิสัยที่ไม่ดีทิ้ง ให้กลายเป็นคนทางการแท้จริง พวกที่ล้างนิสัยเดิมทิ้งไม่ได้ แต่ยังรับคำสั่งทำงานได้ วางใจได้ พวกนี้ก็จะส่งไปประจำร้านค้าต่างๆ ให้ใช้งาน ก็นับว่าใช้งานตามความสามารถ
ส่วนพวกที่ปรับตัวไม่ได้ ก็ปล่อยไปตามโรงบ้านแต่ละแห่ง หากทนความเหงาไม่ได้ ก็ให้พวกเขาไปเอง ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำใจกัน
แต่สื่อชีกับคนเหล่านี้ต่างกัน เขานำคนของเขาเองมาด้วย ยังมีสถานะระดับหนึ่ง ให้พวกเขาเป็นทหาร ให้พวกเขาไปร้านค้า ย่อมไม่ใช่ที่พวกเขาต้องการ ถึงตอนนั้นสัมพันธ์ไม่อาจสานต่อ กลับเป็นความแค้นอีก ก็ได้แต่เอาไปไว้ที่โรงบ้านก่อน
แต่เวลาผ่านไป ตอนนั้นคิดเช่นนี้ ตอนนี้กลับไม่ใช่ หวังทงตามคนพวกนี้มา
คนในวงการนักเลงพวกนี้ไม่เป็นที่ใช้งานของทางการ หากหวังทงรับไว้ หวังทงเห็นความสามารถพวกเขา คนในวงการนักเลงพวกนี้ย่อมรู้ดี พวกเขาก็ย่อมทำงานให้หวังทงอย่างสุดกำลัง เพราะนอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
**************
“หงอิง ปกติเจ้ากับน้าหม่าดูแลบ้านด้วยกัน ฮูหยินยังไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็ต้องช่วยนางให้มาก นี่เป็นเงินห้าหมื่นตำลึง ข้ามอบตั๋วกับแหวนเงินให้เจ้าไว้ก่อน หากต้องการเงินก็ไปเขียนตัวเลขไว้บนตั๋วเงิน ประทับตราแล้วเอาไปร้านสามธาราในเมือง ทางนั้นก็จะมอบเงินให้เจ้า”
แหวนเงินที่จริงแล้วก็คือตราประทับ เพียงแต่ทำเป็นแหวนเงิน ตั๋วเงินที่หวังทงพูดถึงไม่ใช่ตั๋วเงินแบบร้านข้างนอกใช้กัน แต่เป็นตั๋วเงินที่ใช้เฉพาะร้านสามธารากับร้านค้าในเครือเท่านั้น
ทุกปีร้านสามธาราจะเก็บเงินไว้ครึ่งหนึ่งของตั๋วแลกเงิน ตั๋วนี้พิมพ์เฉพาะ ตั๋วเงินกับตราประทับตรงกัน จึงสามารถเป็นผล เบิกเงินได้
ตอนนี้คนมีอำนาจสั่งการก็มีหวังทง ไช่หนาน จางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่สี่คนเท่านั้น แม้แต่เถ้าแก่ร้านสามธาราหลายคนหากต้องการใช้เงินก็ต้องหาเขาสี่คน
“ข้าทราบแล้ว ขอนายท่านวางใจ”
ตอนรับแหวนเงินกับตั๋วเงินมา จางหงอิงมือสั่นเล็กน้อย ห้าหมื่นตำลึงมากขนาดไหนกัน ชาวบ้านคิดยังไม่เคยคิดจะได้จับต้อง คิดไม่ถึงว่าหวังทงควักออมาให้ง่ายดายเช่นนี้
เห็นจางหงอิงระวังตัวเช่นนี้ หวังทงยิ้ม เห็นเงินสำคัญไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ขอเพียงให้ความสำคัญแล้วต้องรอบคอบ จึงจะสิ้นเปลือง ทว่าหวังทงยังกำชับอีกว่า
“ให้เจ้าดูแลเงินทอง ไม่ใช่ให้เจ้าประหยัด ที่ต้องใช้จ่ายก็ใช้จ่ายไป”
จางหงอิงพยักหน้า จางหงอิงสีหน้าดีใจใหญ่ แสดงให้เห็นว่าคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะมอบอำนาจนี้ให้ตนเอง นางรู้สถานะตนเองดีว่าเป็นแค่ภรรยารอง
ในยุคนี้ ภรรยาเอกต่างจากภรรยาคนอื่นมาก เป็นหัวหน้าดูแลในบ้าน ภรรยารองอื่นๆ ก็เป็นเช่นสิ่งของ เจ้าบ้านชายดูแลนอกบ้าน เจ้าบ้านหญิงดูแลในบ้าน เมื่อเป็นจวนหวังทง ก็ย่อมเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว หานเสีย ตามหลักแล้ว เงินทองและอำนาจการสั่งการคนในบ้านย่อมต้องเป็นหานเสียดูแลคนเดียว
ทว่าหวังทงให้อำนาจหานเสียสั่งการคน ให้ซ่งฉานฉานจัดการการข่าว มอบอำนาจการจัดการเงินทองให้จางหงอิงเรียกได้ว่าไม่เป็นไปตามธรรมเนียมที่เคยเป็นมาก
จะบอกว่าแปลก ที่จริงก็มีเหตุผลอยู่ พี่ชายหานเสียคือหานกัง ถือเป็นขุนพลทหารคนสำคัญของทัพหวังทง มีสายสัมพันธ์กองทัพไม่น้อย จางหงอิงอยู่ข้างกายนางหม่ามาโดยตลอด ช่วยหวังทงจัดการงานในจวน และซ่งฉานฉานช่วยหวังทงรวบรวมข่าว จัดการเป็นระบบมาได้ก็หลายปีอยู่
ผู้หญิงหากอยู่บ้านไม่ทำอันใด โดยเฉพาะพวกมีเงินทองมา ย่อมยุ่งยาก สามสตรีสถานะพิเศษเช่นนี้ หากให้ฝ่ายใดใหญ่ กุมอำนาจมากไป ก็ล้วนส่งผลต่อการสมดุลระบบงานของหวังทงทั้งระบบ ก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่หวังทงไม่อยากเห็น
นอกจากนี้ ให้ภรรยาตนเองได้กุมความกำลังบางส่วนไว้บ้าง ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหวังทง อย่างไรตอนนี้คนนอกก็จับตาดูหวังทงอยู่มาก
นี่เป็นเพราะเป็นเรื่องในครอบครัวหวังทง หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงมีเรื่องกันไปแล้ว หานเสียมีเพียงพี่ชาย และอายุยังน้อย รู้ไม่มาก จางหงอิงต้องการไม่มาก ก็แค่แต่งให้ชนชั้นสูง ซ่งฉานฉานก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมกับหวังทง จึงยอมให้ทุกอย่าง
ด้วยสถานะเช่นนี้ของสตรีทั้งสาม ดังนั้นหวังทงจึงสามารถแบ่งความรับผิดชอบให้พวกนางไปทำได้ ตกดึกตอนนอนหวังทงเองก็รู้สึกขำ เห็นๆ ว่าเป็นสามีภรรยา ทำจนราวกับกองทหารกับที่ทำการไปได้ สมดุลอำนาจ ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก
*************
จัดการเรื่องในครอบครัวเสร็จ ก็เดือนเจ็ดแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีราชโองการให้หวังทงก่อนกลางเดือนเจ็ดลงใต้ไปตรวจสอบคดี ก็ควรออกเดินทางได้แล้ว
แต่ตั้งแต่กำหนดให้หวังทงลงใต้ไปสอบคดีเรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงร้อนพระทัยอีก เดือนหนึ่งมานี้ไม่ว่าหวังทงเข้าประชุมขุนนางหรือเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงเอ่ยเรื่องนี้ ไม่เคยทรงเร่งรัด
ท่าทีนี้หวังทงเองก็เข้าใจ ขุนนางทั้งหลายก็เข้าใจ อย่างไรหวังทงรับคำแล้วว่าจะลงใต้ไปจัดการคดีตระกูลสวีเมืองซงเจียง ทุกอย่างก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
“สวีเจี้ยสร้างความชอบใหญ่ต่อแผ่นดินหมิง หยั่งรากลึกในวงขุนนาง เจ้าลงใต้ไปตรวจสอบคดีนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ถึงที่สุด พอเป็นพิธีก็พอ”
แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ยังตรัสเช่นนี้ ผู้ใดล้วนรู้ว่าคดีนี้จะตรวจสอบอย่างไร ยกให้สูงไว้ แล้วค่อยๆ ผ่อนลงเท่านั้น
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีท่าทีกับหวังทงเปลี่ยนไปมา คนรอบๆ ยังคงงง ไม่แน่ใจ ต้นเดือนเจ็ด มีคนยื่นฎีกาว่าเทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญ แต่สถานะเท่ากับทหารดูแล อำนาจขุนนางบุ๋นน้อย ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมราชสำนัก ขอให้ราชสำนักส่งขุยยางไปจัดการเทียนจิน
วันรุ่งขึ้นที่ยื่นฎีกา ขุนนางนั้นก็ถูกปลดและเนรเทศ ความผิดหนักหนามากว่า ——คิดการไม่ซื่อ และ ทำให้ราชสำนักปั่นป่วน เนรเทศไปยังเหลียงโจว
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงเพียงนี้ จัดการอย่างรวดเร็ว ถึงกับแม้แต่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวยังไม่ทันได้ส่งเสียงช่วยเหลือ
ทุกคนคิดไม่ถึง เพราะว่าเนื้อหาฎีกาไม่ได้รุนแรง แม้พูดผิดไป ก็แค่ทิ้งค้างไว้หรือตำหนิ แต่อย่างไรก็ไม่ควรถึงขั้นเนรเทศไปเหลียงโจว การลงโทษนี้เคยมีมาในตอนที่จางจวีเจิ้งไม่ไปไว้ทุกข์บิดา ขุนนางบัณฑิตที่ส่งเสียงเรียกร้องในตอนนั้นโดนโทษนี้
การลงโทษรุนแรงนี้เห็นได้เรื่องหนึ่งว่า ฮ่องเต้ว่านลี่อาจต้องการชดเชยให้หวังทง หรืออาจจะรู้แล้วว่าหวังทงจงรักภักดี ต้องทรงไว้พระทัยอย่างไรข้อสงสัยทั้งมวล
ไม่เพียงแต่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงถูกปลดไปแล้ว กอปรกับหวังทงได้เลื่อนตำแหน่ง สำนักองครักษ์เสื้อแพรพริบตาเดียวก็มีตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรว่างสองตำแหน่ง เป็นอำนาจที่ขาดหายไป ตอนนี้ขุนนางจำนวนมาก แต่ตำแหน่งกลับน้อย พริบตาว่างสองตำแหน่ง ทุกคนย่อมจ้องกันตาเป็นมัน
“หวังทงดูแลองครักษ์เสื้อแพรคนเดียวก็พอแล้ว หากจะมาเพิ่มอีกสอง ก็ยุ่งยากกว่าปกติเพิ่มขึ้น หากต้องเพิ่มจริง ให้หวังทงเป็นคนเลือกเองละกัน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความไว้พระทัยในหวังทง ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรช่วยงาน อาจยุ่งสักหน่อย แต่ทว่าก็ปกครองง่าย อำนาจมาก
หวังทงย่อมใช่ว่าไม่ตั้งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร และย่อมไม่เลือกเอง เขาย่อมทำตามระเบียบส่งตัวเลือกของตนขึ้นไปให้ฮ่องเต้ว่านลี่พิจารณา
นายกองพันหลี่เหวินหย่วนสำนักรักษาความสงบได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร อีกตำแหน่งว่างไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่พิจารณาแล้ว ตำแหน่งนี้เลือกคนมาได้สมดุลอำนาจพอดี ฮ่องเต้ว่านลี่สามารถได้ใจหัวหน้ากองกำลังหู่เวยอย่างหลี่หู่โถว หลี่เหวินหย่วนผู้นี้ก็เป็นผู้ที่หวังทงไว้ใจ ทุกคนรับได้
ต้นเดือนเจ็ด เมืองจี้โจวก็มีข่าวทุ่งหญ้านอกด่านมา เผ่าเคอเอ่อชิ่นที่ถอยออกจากตัวหลุนไปกลับมาอีกแล้ว เริ่มกลับเข้าครอบครองทุ่งหญ้างามใหม่อีกรอบแล้ว
ตอนนี้มาพักบำรุงกองทัพที่นี่ รวบรวมเผ่าเล็ก เผ่าเคอเอ่อชิ่นก็ย่อมค่อยๆ ฟื้นคืน เขากับทัพเมืองเหลียวโจวสู้กันนั้นทำลายกำลังไปมากจริง
หวังทงยกทัพยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงทำลายเผ่าอันต๋า หลี่เฉิงเหลียงยกทัพออกศึกทหารมากกว่าหวังทง ยังมีความช่วยเหลือต่างๆ ผลการรบเช่นนี้เรียกได้ว่าห่างชั้นกัน เทียบกันแล้ว ผลงานที่หวังทงได้รับมานั้นระดับขนาดไหนกัน ไม่พูดก็ย่อมรู้กันเองแก่ใจ
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้คนได้แต่เป็นใบ้ไร้วาจา ขุนนางราชสำนักล้วนเงียบกริบ ก่อนหน้าที่สรรเสริญยกย่อง ทัพเมืองเหลียวโจวเบาลงไม่น้อย ตอนนี้นั้น ยิ่งสรรเสริญเมืองเหลียวโจว ก็เท่ากับยิ่งยกหวังทงให้สูงขึ้น
*************
“ท่านหยาง เรื่องในและนอกสำนักองครักษ์เสื้อแพร หารือกับพี่หลี่และใต้เท้าหลี่ว์ให้มากๆ พวกเขาสองคนย่อมช่วยอย่างเต็มที่”
“ขอใต้เท้าวางใจ .”
เข้าสู่เขตเมืองทงโจวแล้ว เป็นท่าเรือต้นทางคลองส่งน้ำแล้ว หวังทงกำลังร่ำลากับบรรดาคนที่มาส่ง หยางซือเฉินรับคำสั่ง หลี่ว์วั่นไฉกล่าวว่า
“เรื่องสำคัญในสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างให้ต้องให้น้องหวังตัดสินใจ ม้าเร็วไปรายงาน คงไม่ชักช้าเสียการอันใด”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า ทางใต้เกรงว่าคงรู้ข่าวใต้เท้าจะไปแล้ว ไปครานี้ เกรงว่าคงไม่ราบรื่น”
“คงไม่ใช่แค่เกรงว่า แต่คิดว่าทางนั้นย่อมรู้แล้ว”
หวังทงยิ้มกล่าว