องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 826
ในยุคสมัยนี้ หวังทงเติบโตมาในเมืองหลวง ช่วงหนึ่งได้ไปอยู่มาเก๊ามาครึ่งปี เทียนจินราวห้าปี ส่วนใหญ่ก็อยู่เมืองหลวง
แต่เมื่อผ่านมาหลายเรื่อง พอมองเห็นท่าเรือกับความรุ่งเรืองไกลๆ นั่นแล้ว หวังทงกลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยยากอธิบาย
หรือเพราะว่าเจริญมาก คนมาก โรงช่างต่างๆ ก็มาก เทียนจินช่วงคลองส่งน้ำจึงค่อนข้างสกปรก แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดมัวไปหมด พูดให้ดีก็คือ เทียนจินเหมือนจะเป็นสถานที่มลพิษมากไปสักหน่อยแล้ว แต่หวังทงกลับไม่รังเกียจ กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ความสกปรกนี้ไม่ได้แสดงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ไม่ได้แสดงถึงความล้าหลัง หากแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง และความเจริญรุ่งเรืองนี้ก็เป็นเขาสร้างขึ้นมาด้วยสองมือเขาเอง
“พี่หวัง ชาวเทียนจินต่างรอการมาของพี่หวัง มาเตรียมตัวกันนานแล้ว!”
หลี่หู่โถวในชุดเกราะทหาร มายืนหลังหวังทงท่าทางองกาจ ยิ้มกล่าวกับหวังทง หลี่หู่โถวตอนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่กองกำลังหู่เวยแล้ว ขุนพลเมืองจี้โจวก็ย่อมอยู่ใต้อำนาจเขาโดยปริยาย เป็นตำแหน่งสูงสุดเทียนจิน อำนาจมากกว่าขุนนางบู๊ทั้งมวล
“ใต้เท้าลงจากเรือได้แล้ว!”
ไช่หนานยิ้มกล่าว เห็นคนด้านล่างพากันตื่นเต้น พวกเขาที่ดูแลเทียนจินก็พลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย
หวังทงพยักหน้ายิ้มเดินลงจากเรือ กองตรวจการเทียนจิน กองเสบียงทหารเทียนจิน ขุนพลทหารเทียนจิน แม้แต่ผู้ว่าศาลชิงจวินและขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญทั้งหลาย พอเห็นหวังทงลงมา ก็พากันคำนับพร้อมกัน กล่าวว่า
“คารวะท่านโหว!”
ไม่นับสถานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร สถานะติ้งเป่ยโหวก็เรียกได้ว่าสูงส่งมากแล้ว เดิมตอนหวังทงอยู่เทียนจิน กองตรวจการและกองเสบียงยังมีเรื่องกับหวังทง ตอนนี้กลับยอมศิโรราบ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
หวังทงทักทายอ่อนโยน ตามมาด้วยคนในกองกำลังหู่เวย ถานปิง ลี่เทา ซุนซิง เฉินต้าเหอและมู่เอินก็คำนับแบบทหาร จากนั้นก็เป็นพ่อค้ามีหน้ามีตาในเทียนจิน คนพวกนี้ต่อหน้าหวังทงก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนคำนับ หากต้องคุกเข่าโขกศีรษะ
ทักทายกับคนด้านหน้าท่าทีเกรงใจหลายคำ กับบรรดาพ่อค้าหวังทงพูดด้วยมากหน่อย ถามว่าระยะนี้การค้าเป็นเช่นไร คุยหลายเรื่องสักหน่อย ทำให้พวกพ่อค้ารู้สึกได้รับความสนใจจนซาบซึ้งยิ่ง รู้สึกสนิทกันขึ้นมาอีกหลายส่วน
เพราะครั้งนี้งานหวังทงอยู่ที่เมืองซงเจียง มาเทียนจินก็เพียงเพื่อพักแรมสองสามวัน ดังนั้นจึงไม่ได้มีพิธีการมากมายอันใด การต้อนรับก็ล้วนมาจากใจ ตอนกลางวันให้จางฉุนเต๋อร้านสามธาราออกหน้าเป็นเจ้าภาพหาร้านอาหารหลายร้านที่ใหญ่ที่สุดริมแม่น้ำทะเลจัดเลี้ยงบรรดาแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย
ตอนขาไปร้าน หวังทงขี่ม้า หลี่หู่โถวขี่ม้าตาม ให้คนรอบๆ ถอยห่างออกไป เขยิบเข้าไปใกล้กล่าวว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาทจัดการเรื่องนั้นได้น่าโมโหจริง เรื่องนี้ข้าก็พอเข้าใจ เป็นเพราะพี่หวังมีความชอบใหญ่ ……ไม่พูดเรื่องน่ารำคาญใจพวกนี้แล้ว พี่หวัง หากอยู่เมืองหลวงไม่สบายใจ ก็กลับมาเทียนจินเรา ถึงตอนนั้นเราพี่น้องก็ขอติดตามพี่หวังทงเหมือนเดิม เทียนจินตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งของสถานที่รุ่งเรืองการค้าในใต้หล้า มาอยู่กันทางนี้ ไม่ได้มีความสุขน้อยไปกว่าเมืองหลวงหรอก!”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“สถานะข้าตอนนี้ บอกว่าไปก็ไปได้อย่างไร มีบางคำพูด เจ้าก็อย่าได้พูดอีก ตอนนี้เจ้าสถานะใดแล้ว วาจาพวกนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ถูกคนได้ยินเข้า ย่อมนำความยุ่งยากมาสู่เจ้า!”
ระหว่างหวังทงกับหลี่หู่โถว คุยกันไม่ต้องปิดบังอันใด สั่งสอนกันก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ หลี่หู่โถวยกมือเกาศีรษะ กล่าวงง ๆ ว่า
“ไช่กงกงก็กล่าวกับข้าเช่นนี้ ยังว่าติดตามพี่หวังตอนแรกดีมาก ไหนเลยต้องคิดมากเช่นนี้ ตอนนี้ตำแหน่งใหญ่แล้ว ทำอะไรก็น่ารำคาญใจมาก!”
“คนเราล้วนต้องเติบใหญ่!”
หวังทงทอดถอนใจ ม้าวิ่งทะยานอยู่ เสียงที่คุยกันคนข้างๆ ย่อมอาจไม่ได้ยิน หลี่หู่โถวอึ้งไปเอ่ยถามขึ้น
“พี่หวังพูดอะไรนะ?”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวต่อ พอมาถึงร้านอาหาร ก็มีพวกผู้คุ้มกันรอรับม้า หวังทงกับหลี่หู่โถวลงจากหลังม้าหวังทงกล่าวว่า
“หู่โถว กองกำลังหู่เวยมีคนไม่น้อยเป็นทหารมาเกือบเจ็ดปีแล้ว พวกนั้นที่ไม่มีหวังได้เลื่อนยศ ก็ให้ทำตามแบบเมื่อก่อนของเรา ให้พวกเขาออกจากกองทัพไปสร้างครอบครัวได้”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หู่โถวเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“พี่หวัง พวกทหารสูงวัยในกองทัพล้วนเป็นกำลังหลัก ครั้งก่อนเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ทิ้งไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้หากให้ลาออกอีก กำลังรบเกรงว่าจะ…….”
“มีระเบียบการฝึกอยู่ มีอาวุธชั้นดีอยู่ มีเบี้ยหวัดเพียงพออยู่ ขุนพลหลักไม่เปลี่ยน กำลังหลักยังอยู่ แม้มีทหารใหม่เข้ามาก็คงร่วมกองทัพได้อย่างรวดเร็ว คนพวกนี้ในทัพเราเป็นคนในพื้นที่ นานวันย่อมคิดถึงบ้าน หากให้ขลุกแต่ในทัพ คนในพื้นที่ทุกคนเห็นอยู่ เจ้าคิดจะเรียกรับทหารใหม่ ผู้ใดอยากจะมากัน?”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ทำให้หลี่หู่โถวเหมือนคิดได้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“ตอนนี้เป็นเวลาสงบสุข กำลังเป็นโอกาสดีในการปรับกำลังใหม่ อย่าได้พอถึงเวลาเร่งด่วนคิดจะทำก็ไม่ทันการณ์”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่หู่โถวจึงได้พยักหน้าหนักแน่นกล่าวว่า
“พี่หวังกล่าวได้มีเหตุผล คืนนี้ข้าจะไปหารือกับพวกไช่กงกง”
***********
งานเลี้ยงย่อมครึกครื้นรื่นเริงอย่างที่สุด สถานะหวังทงแม้ว่าสูงส่ง แต่ในเทียนจินนี้ไม่ใช่เวลางาน คนที่มาร่วมงานก็ล้วนเป็นคนที่หวังทงเคยคบหาสมาคมด้วย ล้วนเป็นคนก่าแก่ คุยกันได้หลายคำ กอปรกับหวังทงไม่วางท่า ยังคงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกับทุกคน ก็ย่อมเป็นงานรื่นเริงที่มีความสุข
พ่อค้าที่มางานเลี้ยงล้วนมาชกจอกสุรากับหวังทง สถานะไม่พอ ก็ได้แต่เชิญเพื่อนรวมกลุ่มกันมา
นี่เป็นถึงงานเลี้ยงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรและติ้งเป่ยโหวเชียวนะ มีเกียรติเช่นนี้ กลับไปต้องเล่าให้ยิ่งใหญ่ มีหน้ามีตา ท่านโหวช่างยิ่งใหญ่ในเทียนจิน เอาใจให้ดี วันหน้าย่อมให้เกียรติในวงการค้า เช่นนี้ย่อมมีกินมีใช้ไม่จบไม่สิ้น
กับงานแต่งที่ต้องดื่มอย่างไม่อาจปฏิเสธนั้น ตอนนี้สถานะในที่นี่ แม้แต่นายกองตรวจการมาคารวะสุรา ก็แค่แตะๆ แต่อีกฝ่ายกลับหมดจอก ก็ทำให้หวังทงสบายไม่น้อย
ตอนกลางวันครึกครื้นเฮฮา ก็เรียกได้ว่าเต็มที่ เทียนจินนี้หวังทงคุ้นเคยดี ไม่จำเป็นต้องให้คนเป็นเพื่อน หวังทงเดินทางเอง ให้คนนำทางก็พอ
************
ที่แรกที่หวังทงไปก็คือท่าเรือทะเล ตอนจากเทียนจินไป ท่าเรือทะเลที่แม่น้ำทะเลเพิ่งเริ่มก่อสร้าง ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 เขตปกครองเหนือผลผลิตไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเมืองเหอเจียนกับเจิ้นติ้ง แต่ที่ไม่มีเหตุร้ายอันใด เพราะเทียนจินก่อสร้างเยอะต้องการคนไปทำงานมาก กอปรกับรายได้ให้มากพอ จึงเหมือนแทนที่กันได้ เป็นการปลอบใจราษฎรไป
“ล้วนทำตามคำสั่งใต้เท้า สร้างหอปืนใหญ่ก่อน จากนั้นค่อยๆ เชื่อมเส้นทาง จัดการป้องกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้สร้างสิ่งต่างๆ ตามมา”
พื้นที่นี้อยู่ในความรับผิดชอบซุนต้าไห่ เขาชี้ไปอธิบายไป ที่จริงแล้วไม่ต้องให้เขาพูดมาก แผนพวกนี้ล้วนเป็นหวังทงตัดสินใจ เบื้องหน้าเพียงแค่ดูการเปลี่ยนแปลงแท้จริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น
“เหมือนที่เคยรายงานใต้เท้าก่อนหน้า ที่นี่จัดการเป็นแหล่งสินค้าและแหล่งจอดเรือของผู้มาเยือน โกดังกับที่ว่างสร้างเสร็จแล้ว มีเรือพ่อค้าเจ้อเจียงมาเหมาระยะยาวไปแล้ว…….”
หวังทงพยักหน้า กลับไม่เดินหน้าต่อ หันไปทางกองดินหนึ่งข้างๆ ที่นี่ยังกำลังก่อสร้าง เป็นเศษดินเศษหินจากการก่อสร้าง หวังทงขึ้นไปยืนบนเดินดิน ทุกคนไม่รู้สาเหตุ รีบตามขึ้นไป หวังทงยืนบนที่สูงมองไปรอบทิศ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เทียนจินขี่ม้าออกนอกประตูเมืองมาที่ริมทะเลนี้ต้องครึ่งวันกว่า แต่นอกเมืองแรงลมยังคงแรงเหมือนเดิม ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเป็นที่ราบ ไม่มีเนินดินอันใด”
พวกซุนต้าไห่พากันงง ไม่รู้ว่าหวังทงเหตุใดจึงคุยถึงเรื่องภูมิประเทศ ยามนี้ หวังทงกลับหันไปทางหลี่หู่โถวกล่าวว่า
“หู่โถว วันหน้ากองกำลังหู่เวยอย่างน้อยก็ต้องส่งกำลังกลุ่มหนึ่งรักษาการแถวท่าเรือ ท่าเรือสร้างเสร็จ เรือต่างๆ เข้ามา จำนวนสินค้าก็ขนมาง่าย เช่นกัน หากมีคนจำนวนมากนำพลขึ้นบกมาก็ง่าย จากท่าเรือไปถึงเทียนจิน ไปถึงคลองส่งน้ำ ไม่มีการสกัดกั้น ก็ย่อมง่ายดาย ตอนนี้เจ้าต้องเตรียมการป้องกันที่นี่เป็นสำคัญ”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนจึงได้คิด หลี่หู่โถวอึ้งไป คำนับหนักแน่นกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง หู่โถวรับทราบ!”
“เรียกแม่ทัพใหญ่อะไรกัน ทำเอาเหินห่างไปได้!”
หวังทงยิ้มด่า ทุกคนหัวเราะฮาลั่น หลี่หู่โถวเองก็หัวเราะ หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่มานาน รู้จักการรบทางทหารทั้งรุกถอยครบ เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพมากสามารถ แต่หลี่หู่โถวยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น หวังทงไม่พูด เขาก็ใช่ว่าจะรู้เองได้
*************
ตอนมาถึงโรงต่อเรือ หวังทงไล่พวกหลี่หู่โถวให้กลับไป โรงต่อเรือสามธาราเป็นสมบัติส่วนตัวของหวังทง มาดูกิจการของตนเองว่าเป็นเช่นไร ก็เป็นเรื่องปกติของคนเรา
“นายท่านมาพอดี เรือเจิ้นไห่ เรือกวางบินและเรือใหญ่อีกหลายลำล้วนกลับจากเมืองเหลียวโจวมาแล้ว นายท่านมาได้ชมพอดี!!”
หัวหน้าช่างโรงต่อเรือหลายคน ยังมีทังซาน ยังมีหัวหน้าเรือกวางบินหูอันและทุกคนในโรงต่อเรือมารอรับหน้าประตู ที่แท้แล้วโรงต่อเรือนี่ก็คือท่าเรือ เป็นที่จอดเรือปืนใหญ่ เรือที่จอดที่นี่ได้ล้วนต้องเป็นเรือร้านสามธารา เรือของที่อื่นคิดจะซ่อมเรือก้ต้องส่งคนมาเชิญช่างต่อเรือไปซ่อม คิดจะซื้อเรือ ก็ย่อมนำเรือแล่นออกไป ไปส่งมอบสินค้าที่อื่น
พระอาทิตย์ไปทางตะวันตกแล้ว แสงรำไรยามอาทิตย์ตกดินส่องไปยังปืนใหญ่เหล่านั้นบนท่าเรือ เรือปืนใหญ่ส่องประกาย
“เดิมขาดคน ดีที่เถ้าแก่ซาช่วยเหลือ ช่วยเราฝึกลูกเรือ พวกเขาฝึกคนเอง ลูกเรือเลยพอใช้”
ทังซานยิ้มแนะนำ เรือสำเภาติดปืนใหญ่ บนเรือมีปืนใหญ่อย่างน้อย 40 กระบอก ในยุคนี้เป็นเรือใหญ่ทรงกำลังที่สุดบนท้องทะเล น่าเสียดายไม่มีคนสนใจ
“นี่คือเรือข้า?”
“ย่อมเป็นเรือนายท่าน ฮ่าๆ เรือเล็กสุดแล่นไปเมืองเหลียวโจว ไปกลับก็ทำกำไรได้ 8,000 ตำลึง”
ทังซานยิ้มรับคำ