องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 828
เดิมหน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นองค์กรกึ่งทางการ แต่จากหวังทงว่าไว้ เขาก่อตั้งผู้คุ้มกันร้านสามธาราก็เพื่อเป็นองค์กรชาวบ้านทั้งหมด ก็เหมือนกับกลุ่มชายฉกรรจ์ชาวบ้านคุ้มครองตนเอง
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หลิ่วซานหลังอึ้งไป กล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“ใต้เท้า หากให้แต่ละร้านมีผู้คุ้มกันตนเอง นอกจากร้านสามธาราเรา ที่เหลือก็ใช้ว่าจะดูแลได้ นี่เป็นเรื่องใช้เงิน ยังต้องใช้แรงงานคน หากเป็นเช่นนี้?”
“ไม่เป็นไร พวกเขาไม่อยากเลี้ยงดูผู้คุ้มกัน เรื่องผู้คุ้มกันสามารถให้ผู้คุ้มกันร้านสามธาราช่วยได้ ทว่าต้องให้พวกเขาจ่ายเงินจ้าง”
หลิ่วซานหลังเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้ากล่าวว่า
“จัดการตามใต้เท้าว่ามา ปัญหาไม่มาก อย่างไรก็ประหยัดได้ส่วนหนึ่ง พวกเขาย่อมยินดี”
หวังทงกล่าวต่อว่า
“คนองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินอาจไม่พอ หากต้องการการช่วยเหลือจากหน่วยรักษาความปลอดภัย พวกเจ้าก็อย่าได้ปฏิเสธ ทว่าก็ต้องมีหนังสือแจ้งมา ให้รู้ว่าเรียกตัวใช้งานพวกเจ้า”
ที่เทียนจิน สำนักองครักษ์เสื้อแพรและหน่วยงานในเทียนจิน และหน่วยรักษาความปลอดภัย หลายแห่งเหมือนว่ารวมกันเป็นหนึ่ง แต่ไรมาไม่เคยยุ่งยากเช่นนี้ ตอนนี้หวังทงกล่าวเช่นนี้ ยังมีขั้นตอนต่างๆ เพิ่มขึ้น หลิ่วซานหลังสงสัยอยู่ แต่ก็รู้ว่าผู้ใดเป็นนาย ยังคงฟังคำสั่งอย่างตั้งใจ
หวังทงกล่าวต่อว่า
“ขบวนพ่อค้าใต้ชื่อสามธารา ก็ให้หน่วยรักษาความปลอดภัยรับหน้าที่ไป เรื่องอาวุธนั้น โรงช่างจะจัดให้พวกเจ้าอย่างเต็มที่ ให้ได้ผลัดกันไปดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิงทางนั้น พี่น้องเราจะได้เปิดหูเปิดตา จะได้ไม่เป็นไม้ประดับไม่มีงานทำ”
หลิ่วซานหลังได้แต่รับคำ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวอีกว่า
“ระยะนี้กองกำลังหู่เวยอาจมีทหารสูงอายุปลดระวาง คนพวกนี้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเรามา อย่างไรก็ต้องจัดหาที่ทางให้ เจ้ารับพวกเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเราก็แล้วกัน จัดเวลาให้พวกเขาได้ฝึกฝนอยู่เสมอ และยังสามารถฝึกฝนคนใหม่ได้ด้วย ให้ค่าแรงพวกเขา พวกเขาก็คงไม่ต้องเสียเวลาสร้างครอบครัว อย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
“ใต้เท้าช่างเมตตา ข้าน้อยจะต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย!”
หลิ่วซานหลังเป็นทหารสูงอายุปลดระวางมา ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกเคารพจากใจ หวังทงพยักหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“ร้านสามธาราเป็นกิจการส่วนตัวของข้า ผู้คุ้มกันร้านสามธาราก็ย่อมเป็นคนของข้า วันหน้าคำเรียกขานเจ้าก็ต้องปรับใหม่ อย่าเรียกข้าว่าใต้เท้า ให้เรียกว่านายท่านก็พอ!”
“ข้าน้อยรับทราบ ขอนายท่านวางใจ”
จากองค์กรกึ่งทางการมาเป็นบ่าว ยุคนี้ไม่ใช้เรื่องเลวร้ายอันใด ในองค์กรทหารก็มักเป็นเช่นนี้กัน ทหารที่เก่งกล้าที่สุดในกองทัพก็จะเป็นทหารส่วนตัวติดตามของขุนพล ระดับกลางและระดับล่างในกองทัพส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนคนงานในตระกูล
หลิ่วซานหลังเดิมเป็นทหารธรรมดา แม้ว่าได้เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่ก็ไม่เคยได้เป็นกลุ่มแกนกลางของระบบงานหวังทง ตอนนี้หวังทงกล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าให้เขาได้เข้าร่วมวงแกนกลางแล้ว หลิ่วซานหลังรู้กระจ่างใจดี ย่อมเข้าในหลักการนี้
หน่วยรักษาความปลอดภัยตอนนี้เป็นทหารสำรองหรือว่าเป็นคนงานของหวังทง แต่ไรมาก็ไม่เคยกระจ่าง ในใจทุกคนก็คิดว่าตนเองเป็นผู้คุ้มกันของหวังทง ทว่าคนมากอยู่สักหน่อยเท่านั้น
เห็นหลิ่วซานหลังเข้าใจ หวังทงก็ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“เรื่องพวกนี้มีขั้นตอน สองวันนี้เจ้าก็จัดการวางแผนงานพวกนี้ ไปจัดการก่อน ทางร้านค้าย่อมส่งคนมาช่วย ไว้ค่อยกลับมาจัดการในภาพรวมอีกรวม”
“ไว้ค่อยกลับ!?”
หลิ่วซานหลังถามอย่างลังเล หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ลงใต้ครานี้ ต้องการคนเช่นเจ้าไปด้วย ตามข้าไปในกองทหารติดตามข้าก่อน!”
สามารถมีโอกาสเป็นผู้คุ้มกันเช่นนี้ เป็นโอกาสทองของหลิ่วซานหลัง หลิ่วซานหลังย่อมรับคำไม่ลังเล
หนึ่ง เงิน สอง คน ควรเป็นของแผ่นดินหมิงก็เป็นของแผ่นดินหมิง ควรเป็นของหวังทงก็เป็นของหวังทง เพื่อไม่ให้ขัดใจกันในวันหน้า ครั้งนี้หวังทงจึงต้องแบ่งให้ชัดเจน
จางฉุนเต๋อกับหลิ่วซานหลังรับคำสั่งกลับออกไป จากนั้นก็เป็นนายโรงช่างเฉียวต้า ตอนนี้กิจการต่อเรือและปืนไฟ ทางการผลิตได้หมด แต่คุณภาพกับประสิทธิภาพไม่สู้ส่วนตัว ปืนใหญ่นำออกรบนอกพื้นที่ได้ตอนนี้ก็มีแต่โรงช่างส่วนตัวที่ทำได้ เรื่องการมีอยู่ของโรงช่างส่วนตัวนี้ อำนาจผู้ครอบครองทั้งหมดล้วนกระจ่าง
เป็นโรงช่างที่ร้านสามธาราลงทุนตั้งมา อาวุธกองกำลังหู่เวยก็ล้วนซื้อจากโรงช่างสามธารา ค่าใช้จ่ายย่อมจ่ายโดยกรมทหารและเงินค่าป้ายสงบสุขในพื้นที่
ทางการต้องการสิ่งใด ตนเองก็ผลิตมาขาย กำไรมหาศาล นี่เป็นวิธีการที่วงการขุนนางมักใช้กัน หวังทงทำเช่นนี้ก็ไม่แปลก
ราษฎร์หลวงแม้แยกแยะชัดเจน แต่โรงช่างส่วนตัวหวังทง กลับใช้แรงงานช่างทางการไม่น้อย ยังมีสถานะชายฉกรรจ์ที่สบแม่น้ำที่ไม่ชัดเจนพวกนั้นอีก
“หากมีหนังสือหลักฐานให้พวกเขาชัดเจน นายกองเหรินคงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ คนที่ทำงานให้โรงช่างเราไม่ว่าเมื่อก่อนทำอะไรมา จากนี้ก็เป็นนายช่างที่โรงช่างเราจ้างไว้ ต้องจัดการแยกแยะให้ชัด”
หวังทงกำชับขึ้น เฉียวต้ารับคำหนักแน่น หวังทงกำชับอีกว่า
“วันหน้าของที่โรงช่างเราผลิตได้ อย่าได้ขายขาดทุน สามารถขายต่ำกว่าท้องตลาดได้นิดหน่อย ทว่าเราต้องได้กำไร”
การจัดการของหวังทง ท่าทีของลูกน้องทุกคนก็เหมือนกับจางฉุนเต๋อ พวกเราลงทุนลงแรงสร้างมาอย่างยากลำบาก ทางการลงทุนไม่เท่าไร หรืออาจไม่ได้ลงทุนเลยก็มาเอาไป ไม่ได้อะไรด้วย ทำให้ทุกคนคิดว่าตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้ จะเหนื่อยยากกันไปทำไม
แผ่นดินหมิงนี้ทางการรุกกิจการชาวบ้านก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ตอนนี้ไม่แยกให้ชัด วันหน้าไม่แน่อาจมีคนคิดการไม่ซื่ออยากจะกลืนกินเสียเองคนเดียว ถึงตอนนั้นแม้ยังมีใต้เท้าหวังปกป้อง เกรงว่าก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก ตอนนี้ใต้เท้าแยกแยะชัดเจน ก็เพื่อป้องกันเหตุวันหน้า ลดความยุ่งยาก
อยู่ๆ จัดการกระจ่าง เดิมที่ยังคุกรุ่นไม่แน่นอน ตอนนี้ทุกคนก็วางใจทำงานไปได้แล้ว ย่อมมีผลประโยชน์เข้ามาไม่ขาด นี่เป็นเรื่องดี
*************
วันแรกผ่านไป ตอนกลางวันมีงานเลี้ยง ตกค่ำก็คุยงานกับลูกน้อง วันที่สองก็เป็นวันสำหรับคนนอกในเทียนจินเข้าพบ
ยามนี้เสิ่นหวั่งกับซาต้าเฉิงล้วนอยู่เทียนจิน พวกเขาสองคนมารอพบ ถูกเรียกตัวมาพร้อมกัน พอเห็นหวังทง อย่างไรก็ต้องโขกศีรษะคำนับ ตอนนี้สถานะสองฝ่ายยิ่งห่างกันมากกว่าเดิม
“ซาต้าเฉิง ลูกชายเจ้าซาตงหนิงเป็นผู้ที่สามารถสอนสั่งให้เก่งกล้าได้ ครั้งนี้ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงมา เขาทำได้ไม่เลว ความชอบก็มาก คิดดูแล้ว นายกองร้อยก็คงได้”
“ขอบคุณท่านโหวที่ดูแล ไม่เช่นนั้นไหนเลยตงหนิงจะมีวันนี้ได้”
หวังทงกับซาต้าเฉิงคุยกัน สายตาเสิ่นหวั่งฉายแววอิจฉา ทางนั้นคุยกันจบ เขาก็โขกศีรษะยิ้มกล่าวว่า
“ท่านโหว เสียดายลูกข้าน้อยอายุแค่ปีเดียว ไม่งั้นคงได้ส่งไปรับใช้ท่านโหว จะได้อาศัยวาสนาบารมีท่านโหวบ้าง”
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องจำเป็น อาจารย์สอนวิชาต่อสู้ข้างนอกพวกนั้น เป็นพวกสอนแบบเก็บงำความรู้ ไหนเลยจะเทียบกับคนเรากันเองได้ เด็กได้เข้ามาฝึก วันหน้าต้องได้ดิบได้ดี”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มเสิ่นหวั่งเหมือนแห้งไปสักหน่อย ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจ กล่าวกันตามมารยาทสักพัก หวังทงก็เริ่มสอบถามเรื่องที่ขบวนเรือจำนวนมากจากจินโจวมาจอดเทียบแถวนี้ ถามสองคนรู้ไหม ซาต้าเฉิงกลับรับคำไม่ลังเล
“ขบวนเรือข้าน้อยกับพี่น้องเราตอนนี้ล้วนไปมาเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว ทุกคนย้ายมาอยู่นี่ไม่น้อย ทางจินโจวนั้นเพียงแค่ได้ยิน ไม่รู้ละเอียด”
เสิ่นหวั่งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ขบวนเรือข้าน้อยแล่นบนท้องทะเล ไม่เคยเจอ เราไม่ก้าวล้ำเขตกันและกัน ขอเพียงไม่มีคนหาเรื่อง ก็หากินกันไปตามเดิม ข้าน้อยก็ไม่ไปถาม เรื่องนี้ข้าน้อยเคยได้ยินมา แต่หากต้องการรู้ที่มาที่ไป ก็ไม่ค่อยรู้กระจ่างนัก”
สองคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น สองคนเป็นพี่ใหญ่บนบนท้องทะเล ประสบการณ์หล่อหลอมมานาน วาจาจริงเท็จก็ยากจะสังเกตได้จากสีหน้าพวกเขา
หวังทงส่ายหน้า ไม่เรียกให้ยืนขึ้น กลับถามขึ้น
“กลุ่มราชาไตรธารา ไม่ใช่เป็นกำลังใหญ่สุดบนบนท้องทะเลหรือ? นอกจากนี้ยังมีผู้ใดรวบรวมกลุ่มเรือได้เช่นนี้ มีความสามารถเช่นนี้กัน?”
เสิ่นหวั่งสบตาซาต้าเฉิง กล่าวว่า
“ทางหลี่ว์ซ่ง (ลูซอน) แถบทะเลใต้นั้นมีคนพวกหนึ่งกับพวกผีต่างชาติ แถบชวากับกวางตุ้งก็รวมตัวกัน ในนี้มีคนหลากหลาย กลุ่มหลัวซวงเจี๋ยที่กวางตุ้งใหญ่สุด ทว่าถูกกองทัพเรือเฉินหลินกดดันหนักอยู่ ตอนนี้ไปอยู่แถวมะละกา นอกจากนี้ เขตปกครองใต้กับเจ้อเจียงทางนั้นหลายเมืองก็ยังมีขบวนเรือพวกตระกูลใหญ่อยู่ พวกนี้มีเรื่องกันเองมานาน วันดีคืนดีก็ออกมาสู้กัน บางทีก็ร่วมมือกัน เอาแน่ไมได้”
“ในกลุ่มนี้มีโจรสลัดวัวโค่วไหม?”
ได้ยินหวังทงถามเสิ่นหวั่งยังไม่ทันตอบ ซาต้าเฉิงกล่าวแทรกขึ้นว่า
“อาจมี แต่โจรวัวโค่วไม่อาจมาไกลเช่นนี้ ผีต่างชาติอาจเป็นได้ ไม่น่าเป็นพวกวัวโค่ว”
เห็นหวังทงสงสัย ซาต้าเฉิงกล่าวอีกว่า
“วัวโค่วต่อเรือไม่เป็น เรือพังๆ ของพวกเขาไม่รู้จักแม้แต่จะใส่ตะปูเหล็ก ออกทะเลก็ย่อมไม่อาจทานคลื่นลมได้”
หวังทงค่อยๆ พยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวกับสองคนว่า
“เถ้าแก่เสิ่นออกไปก่อน ข้ามีเรื่องคุยกับเถ้าแก่ซาสักหน่อย!”
เสิ่นหวั่งอึ้งไป มองไปยังซาต้าเฉิง ไม่กล่าวอันใด ได้แต่โขกศีรษะออกไป เขายังไม่ทันออกจากประตู หวังทงก็ให้ซาต้าเฉิงลุกมานั่ง
“เสิ่นหวั่งไม่รู้จริงหรือ?”
“เรียนท่านโหว เรื่องนี้ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ข้าน้อยหลายวันนี้ไปมาระหว่างเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว ทางเสิ่นหวั่งไปทางประเทศวัวและทางใต้มากหน่อย ข่าวย่อมดีกว่า ส่วนจะรู้หรือไม่นั้น ไม่อาจบอกได้เหมือนกัน!”
หวังทงพยักหน้า เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า
“เถ้าแก่ซา อาวุธบนเรือท่านก็เก่าแล้ว หาเวลาสักวันไปเปลี่ยนใหม่กับร้านสามธารา”
นี่เป็นน้ำใจที่มีให้อย่างมาก ซาต้าเฉิงกำลังจะคุกเข่า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“บนท้องทะเลไม่สงบสุข เถ้าแก่ซาคิดแต่จะสงบสุขก็คงไม่ได้!”