องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 829 โรงช่าง
ซาต้าเฉิงต่างกับเสิ่นหวั่งมาก ตอนอยู่บนท้องทะเลต้องการหาความสงบที่เทียนจิน
อย่างไรจากเทียนจินไปเมืองเหลียวโจว เส้นทางท้องทะเลก็คลื่นลมสงบดี และไม่มีอำนาจอิทธิพลมากมายอันใด สินค้าขนไปก็จบงาน นอกจากสินค้าร้านสามธารา ตนเองก็มีสินค้าตนเองไปด้วย ทุกครั้งที่ไปก็ทำกำไรได้มหาศาล
วันเวลาสงบสุขเช่นนี้ผู้ใดไม่อยากมีกัน ไปมหาสมุทรตอนใต้อาจกำไรมากอีกหน่อย แต่ก็อาจต้องต่อสู้เสียเลือดเนื้ออีกมาก ออกทะเลก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด เทียบกับชีวิตตอนนี้ ย่อมเลือกได้ง่ายว่าเลือกแบบใด
ซาตงหนิง ลูกชายซาต้าเฉิงอยู่กับหวังทงอนาคตก็ไกล พวกในวงการนักเลง นอกจากพวกหัวหน้าระดับใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่ก็คิดจะมีตำแหน่งขุนนางกันทั้งนั้น เห็นซาตงหนิงมีอนาคตวาสนา ซาต้าเฉิงก็ไม่อยากดึงให้เขาพลอยตกต่ำไปด้วย
ครึ่งปีมานี้ ลูกน้องซาต้าเฉิงหลายคนก็กลับกันมาจากประเทศวัวและทะเลใต้ จัดการรายงานตัวตามระเบียบเทียนจิน จัดหางานให้ที่ท่าเรือ ส่วนใหญ่สร้างครอบครัวกันที่เทียนจินแล้ว
ดังนั้นพอหวังทงยิ้มสัพยอก ได้ยินหวังทงเช่นนี้ ซาต้าเฉิงปฏิกิริยาไวทันที คุกเข่าลงโขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อยโง่เขลา รู้สึกแค่ตอนนี้มีความสุขดี ขอท่านโหวชี้แนะ”
“ลุกขึ้นก่อนๆ คนกันเองไม่ต้องมากพิธี บนท้องทะเลกว้างใหญ่เพียงนี้ สายตาเถ้าแก่ซาไม่อาจหยุดแค่ทางเหนือนี้”
เห็นซาต้าเฉิงสงสัย หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ทะเลใต้นั้นยังมีอีกหลายประเทศ ทางชมพูทวีป ไปถึงเปอร์เซียตะวันตกนั้น กับทางประเทศผีต่างชาติฟะรังคีก็ล้วนทำการค้าได้ หากเราทำการค้าไปถึง ย่อมไม่สงบสุขเหมือนทางนี้ คนเรือเราก็ต้องรู้จักการใช้อาวุธ กล้าสู้จึงจะได้!”
“ท่านโหว……ท่านโหวมองการณ์ไกล ข้าน้อยกลับมองโลกแคบ ได้ยินท่านโหวกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ซาต้าเฉิงรีบรับคำ แต่ก็นิ่งไปก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าน้อยขอบังอาจถาม กองเรือเทียนจินตอนนี้ ที่จริงทางนี้ก็กินกันไม่หมดแล้ว เมืองเหลียวโจวก็เหมือนถ้ำที่ถมไม่เต็ม พวกเขายังต้องการสินค้า ยังมีพวกตะวันออกและตอนเหนืออย่างพวกมองโกลกับพวกหนี่ว์เจินก็ต้องการสินค้าอีก ประเทศวัวกับประเทศเกาหลีก็ต้องการอีกก้อนโต ทางใต้พวกเราไม่อาจมีแรงไปค้าขายได้อีก ตอนนี้ท่านโหวกลับคิดไกลออกไปอีก…….”
“เรือต่อขี้นมาเป็นลำๆ ช้าเร็วก็ต้องอิ่มตัว ชั่วชีวิตพวกเรากินอิ่ม แต่เรายังมีลูกหลาน”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ซาต้าเฉิงก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“จริงๆ ข้าน้อยโลกแคบไปแล้วจริงๆ”
ทว่าพอได้ยินเช่นนี้ซาต้าเฉิงก็คิดอยากหัวเราะ คิดดูอายุแล้ว หวังทงที่จริงแล้วก็เป็นรุ่นหลานซาต้าเฉิง ทางนี้พอกล่าวถึงรุ่นหลาน ก็รู้สึกแปลกๆ
“เถ้าแก่ซาเก็บเขี้ยวเล็บแล้ว แต่เถ้าแก่เสิ่นยังไม่ยอม!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ ซาต้าเฉิงกลับหัวไว โขกศีรษะกล่าวว่า
“ที่ท่านโหวเตือน ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะต้องไม่ให้คนของข้าน้อยขาดการฝึกฝน ขอบคุณท่านโหวที่เมตตาให้อาวุธ”
ที่จริงแล้ว ซาต้าเฉิงแม้ไร้อาวุธหนัก แค่รอเทียนจินปกป้อง หวังทงก็มั่นใจว่าปกป้องเขาได้ ทว่าคนของซาต้าเฉิงเป็นโจรสลัดประสบการณ์มากบนท้องทะเล เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทัพเรือและกองกำลังเช่นนี้ ปล่อยให้เขากลืนหายไปกับความสงบสุข ไม่สู้ให้คงอยู่ต่อไป
เสิ่นหวั่งทางนั้นยังคงรักษากำลังของตนอยู่ ถึงกับรู้หนทางเสริมความแข็งแกร่งหลายช่องทาง การออกความคิดให้เช่นนี้ ก็พอให้ซาต้าเฉิงเพิ่มความระวังแล้ว
สองฝ่ายเดิมต่อสู้กันมา หากวันหน้าไร้เทียนจินคุ้มครอง หากเปิดศึกกันขึ้น ซาต้าเฉิงที่สงบสุขมานานไร้อาวุธใช่ว่าจะเป็นดังเนื้อเข้าปากเสือของอีกฝ่ายหรอกหรือ
****************
อากาศเดือนเจ็ดในโรงช่างร้อนมาก อุณหภูมิเตาหลอมในโรงช่างในหน้าหนาวก็ทำให้คนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลังแล้ว แต่ในวันที่ร้อนจัดเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ร้อนจนแทบทนไม่ไหว
ทว่าพวกหวังทงกลับตื่นเต้นกันมากเพราะเหมือนเป็นการมอบรางวัลให้กับพวกเขา เครื่องแต่งกายและอาวุธทั้งหมดจะได้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
แค่เรื่องชุดเกราะ ทหารตอนเหนือเรียกได้ว่าเห็นเป็นของล้ำค่าส่งต่อกันในตระกูลเลยทีเดียว เพราะป้องกันได้ผลดีมาก ในสนามรบนอกจากระยะแทงทวนยาวพอสมควรกับเล็งแทงตามช่องที่จะแทงแล้ว ก็ยากจะสร้างความเสียหายบาดเจ็บได้
ของดีเช่นนี้ หลายคนคิดว่าเป็นของแพงมาก กองกำลังหู่เวยมีกันได้ก็เพราะในวังยอมจ่ายเงินให้ คนส่วนใหญ่ไม่คิดอยากจะถามถึงราคา
อย่าว่าแต่คนอื่น ทหารส่วนตัวหวังทงก็คิดเช่นนี้ พวกเขารบบนสนามรบ เสื้อเกราะเสียหายหลายที่ แต่ทุกคนก็เก็บรักษาอย่างดี ยังมีคนไปหาช่างเหล็กมาซ่อมด้วย รู้สึกกันว่าเป็นของสูงค่า แต่พอมาถึงเทียนจิน จึงได้รู้ว่าสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ ก็ยิ่งดีใจจนไม่รู้จะกล่าวเช่นไร
และการเปลี่ยนใหม่นี้ไม่ใช่หยิบชุดใหม่มาให้พวกเขา แต่ให้ช่างในโรงช่างส่วนตัววัดขนาดตัวพวกเขาแล้วปรับให้พอดี
ทหารหวังทง รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป หรืออาจผอมกว่าคนทั่วไปก็มี พวกเขาสวมเกราะย่อมไม่แน่ว่าจะพอดี ครั้งนี้จะให้ใช้แผ่นหนังกับเสื้อตัวในเสริมให้พอดีตัวพวกเขา
อาวุธไม่ต้องพูดถึง มีคนยิงปืนไฟมาหลายครั้ง ความแม่นก็ลดลงไปบ้าง อันนี้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ทวนและดาบต่างๆ ก็ให้พวกเขาเลือกได้ตามใจ เห็นอันไหนต้องใจก็หยิบเอาได้
เสียงหัวเราะเฮฮาดีอกดีใจดังไปทั่ว หวังทงเดินไปกับเฉียวต้าและนายช่างต่างชาติตระเวนดูรอบโรงช่าง หวังทงเข้มงวดกับการดูแลที่นี่มาก ในความคิดเขานั้น การรักษาระเบียบวินัยมีผลโดยตรงกับการคุณภาพการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต
ทุกอย่างในโรงช่างทำตามที่เขาวางไว้ หวังทงย่อมไม่ถูกภาพภายนอกปิดบังอันใด กล่าวว่า
“หลายวันก่อนข้ามาถึง พวกเจ้าหยุดงานครึ่งวันปัดกวาดที่นี่ ครั้งนี้ข้าไม่ว่า หากมีครั้งหน้า เจ้าก็ไปเกษียณตัวเองที่โรงบ้านตอนเหนือได้เลย!”
เฉียวต้าก้มตัวลงต่ำสุดพยายามฉีกยิ้ม นายช่างต่างชาติหลายคนไม่กล้าเงยหน้า เดินไปถึงเครื่องจักรแรงน้ำ หวังทงมองเครื่องไปก็ถามขึ้น
“เฉียวต้า ลูกชายสองคนเจ้าตอนนี้ทำงานในโรงช่างแล้ว ตอนนั้นตำแหน่งเลือกซื้อของว่างลง เจ้าไม่ได้มายุ่งด้วย เรื่องนี้ไม่เลว!”
“นายท่านมอบวาสนาให้ข้าน้อยมากพอแล้ว เรื่องที่ทำให้คนเอาไปนินทากันเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็พอรู้อยู่”
ได้ยินหวังทงชม เฉียวต้าที่เมื่อครู่ใจเต้นโครมครามก็นิ่งลง นายช่างหลายคนกำลังจัดแผ่นเหล็กหนึ่งอยู่ พอจัดตำแหน่งเสร็จ จึงได้เปิดเครื่องแรงดันน้ำ แผ่นเหล็กถูกตี จากนั้นก็หยุด แล้วก็เปลี่ยนตำแหน่งตีใหม่
เห็นหวังทงสนใจ เฉียวต้ายิ้มเข้าไปใกล้กล่าวว่า
“นี่คือของที่อาปาก้งสั่งทำให้หัวเรือเขา บอกว่าใช้หุ้มหัวเรือไว้”
เช่นนั้นก็คงใช้เพื่อยามปะทะบนท้องทะเล หวังทงคิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร เฉียวต้าข้างๆ กระซิบว่า
“นายท่านหลายเดือนก่อนทางเมืองจี้โจวมาจองเกราะกับเราสามร้อย สิบวันก่อนเมืองเหลียวโจวมาจองแปดร้อย ข้าน้อยว่าตัดสินใจไม่ได้ รอถามนายท่าน?”
หวังทงเดินไปอีกทาง เงียบไปครู่หนึ่งยิ้มกล่าวว่า
“โรงช่างก็ต้องการกำไร ทหารแผ่นดินหมิงมาซื้อ ก็ย่อมขาย ทว่ากล่าวกันไว้ก่อนว่า เงินจ่ายสด ไม่งั้นไม่ขาย”
คำตอบนี้ต่างกับที่เฉียวต้าคิด ทว่าหวังทงในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็ย่อมทำตาม เดินไปสองสามก้าว หวังทงหันไปบอกว่า
“เกราะทุกชุดอย่างน้อยต้องกำไร 200 ตำลึง หากพวกเขาคิดเลียนแบบ เทคนิคการผลิตเกราะพวกนี้อีกสองสามปีก็คงทำเป็น อาศัยจังหวะนี้ทำกำไรได้มากเท่าไรก็ทำไปก่อน!”
เฉียวต้าสีหน้ายิ้มแย้มรับคำทันที เดินไปอีกรอบหนึ่ง หวังทงก็เหงื่อท่วมตัว ทว่าโรงช่างเตรียมการไว้แล้ว พื้นที่โรงช่างกับสบแม่น้ำมีสวนเล็กๆ เป็นต้นน้ำ น้ำย่อมใสสะอาด นับว่าเป็นที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย หากมีเจ้าหน้าที่ทางการหรือพ่อค้าใหญ่มา ก็มักจัดต้อนรับที่นี่
หวังทงเปลี่ยนชุดที่เปียกไปด้วยเหงื่อออก เหรินย่วนมาถึง หลายคนในโรงช่างก็มารอกันอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าอยู่เมืองหลวง ไม่อาจมาดูแลที่นี่ได้ตลอด ขอพูดคำเดียว ตอนแรกที่ตั้งระเบียบไว้แล้ว อย่าได้เพราะข้าไม่อยู่หรือว่างแล้วก็แอบละเลยกัน ระเบียบผิดไปหรือไม่เหมาะก็ต้องแก้ไข พวกเจ้าอย่าได้ไม่กล้าแตะต้อง ต้องมีใจคิดพัฒนาฝีมือ หากเอาแต่เดิมๆ ไม่เปลี่ยน วันหน้าไม่นานก็ย่อมมีคนเหนือกว่าพวกเจ้า ถึงตอนนั้น พวกเรามีเงิน ซื้อของคนอื่นเอาก็ได้ มีพวกเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
หวังทงกล่าวจบ หลายคนก็พยักหน้า รีบลุกขึ้นรับคำ หวังทงกล่าวอีกว่า
“เมืองจี้โจว เมืองเหลียวโจว สองกองกำลังใหญ่ ซื้อเกราะเราไปไม่มาก เห็นได้ว่าพวกเขาเตรียมให้ทหารระดับสูงพวกติดตามขุนพลส่วนตัวเท่านั้น ดีไม่ดีเป็นพวกที่เก่งกล้าที่สุด คิดดูแล้ว ทัพใต้หล้านี้ก็ย่อมมาซื้อ แต่ก็ไม่มากเท่าไร กอปรกับพวกเราเปิดราคาสูง เกรงว่าหลายคนพอได้ยินราคาเช่นนี้ก็หัวหดไปแล้ว นอกจากต้องรับประกันว่ามีพอให้กองกำลังหู่เวยแล้ว โรงช่างเองก็ต้องเตรียมคืนกำไรให้ชาวบ้านด้วย วันนี้เห็นเรือทำแผ่นเหล็กหุ้มหัวเรือ ก็ไม่เลวนี่!!”
ทุกคนลุกขึ้นรับคำ พอนั่งลง นายกองเหรินอดไม่ได้ชมว่า
“ท่านโหวไม่เพียงแต่เก่งการรบ ยังรอบรู้เรื่องช่าง ใต้หล้าไม่มีสอง เดิมงานโรงช่างน้อยอยู่ทุกคนไม่รู้ทำอะไรดี ได้ยินท่านโหวว่ามา ในใจก็สว่างวาบทันที!”
ทุกคนย่อมเห็นด้วย กำลังคุยกันอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงทหารตะโกนดังมาว่า
“ท่านโหว อู๋ต้าสองพี่น้องกลับจากเมืองจี้โจวแล้ว รออยู่ที่โรงบ้านในตอนเหนือของเมือง”
หวังทงยิ้ม กล่าวว่า
“การลงใต้ครานี้เตรียมการใกล้ครบแล้ว อีกสองวันออกเดินทางแล้ว”
“ขอให้ท่านโหวเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ทุกคนพร้อมใจกันอวยพรกล่าวคำมงคล พอกลับกันออกไป เหรินย่วนกลับงงอยู่ กล่าวกับเฉียวต้าว่า
“ท่านโหวลงใต้ปฏิบัติหน้าที่ เอาพวกเจ้าหน้าที่บัณฑิตเชี่ยวชาญการบัญชีไปมากหน่อยดีกว่าไหม ทำไมจึงพาทหารไปมากเพียงนี้ ไม่ใช่ไปรบสักหน่อย”