องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 830 ลงใต้
ตั้งแต่อู๋ต้าและอู๋เอ้อร์ถูกหวังทงจับมาเทียนจิน ก็เริ่มถูกนำตัวไปใช้แรงงานหนักอยู่หลายปี มาถึงตอนนี้กลับดีกว่าตอนอยู่ซานตงไม่น้อย
เมื่อก่อนตอนเหนือซานตงต่างรู้จักชื่อพี่น้องตระกูลอู๋ แต่ก็แค่นักเลงใหญ่เท่านั้น ยังต้องระวังทางการ พวกมีสถานะสูงย่อมไม่เกรงกลัวพวกเขา
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม เขตปกครองเหนือจากซานตงเหอหนานลงไปยังเขตปกครองใต้ล้วนรู้จักพี่น้องตระกูลอู๋ ผู้ใดไม่รู้ว่าหากต้องการกลับตัวต้องมาหาพี่น้องตระกูลอู๋
ผู้ใดไม่รู้ว่าพี่น้องตระกูลอู๋ตอนนี้มีลูกน้องมีฝีมือหลายร้อยคน ทรัพย์สินก็มากมาย ขุนนางในเขตปกครองเหนือกับพื้นที่ซานตงล้วนต้องไว้หน้า คนเช่นนี้ แผ่นดินหมิงใต้หล้าวงการการนักเลงล้วนมีไม่มาก ผู้ใดก็ต้องให้ความเคารพอยู่หลายส่วน
พี่น้องตระกูลอู๋มีชื่อเสียงได้เช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเพราะสายสัมพันธ์กับหวังทง เริ่มหาตัวคนในวงการให้มาเป็นพวกหวังได้ระยะหนึ่ง หวังทงก็ให้หยุด ทว่ารอบทิศต่างก็คิดมาเป็นพวกไม่น้อย ปฏิเสธกลับไป ก็ทำลายสัมพันธ์ จึงรับไว้เองเสียอย่างนั้น
อู๋ต้าไม่ได้อยู่รังโจรที่ซานตง หากตอนนี้ทำการค้าสัตว์เลี้ยงจากเมืองจี้โจวมายังเทียนจิน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาหารเนื้อสัตว์และการค้าหนัง ยังมีแรงงานสัตว์ไถนาตามโรงบ้าน เป็นการค้าที่เรียกว่ากำไรก้อนโต ทว่าการค้าขายสัตว์เลี้ยงพวกนี้ แม้ว่าทุ่งหญ้านอกด่านไร้ระเบียบกฎหมาย แต่เดินทางไปมาก็ต้องคอยระวังคนปล้นชิง โจรขโมยม้าวัวก็มาก คิดจะคุ้มครองให้ปลอดภัยก็ต้องเลี้ยงคนไว้พอสมควร
คนที่มาขอสวามิภักดิ์ล้วนจัดการให้อยู่ในกองคาราวานนี้ ยังมีส่วนหนึ่งส่งไปเทียนจินทางโรงบ้านตอนเหนือ คนพวกนี้วันๆ ใช่ว่าต้องการแต่เงินทองและอาหารดี สามารถมีงานที่มีชีวิตที่เป็นสุข ก็มีคนไม่น้อยต้องการทำ แต่คนที่ทำได้ดีก็จะได้เข้าร่วมกองทัพหรือไม่ก็ได้ตำแหน่งทางการที่เทียนจิน ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจ
************
ตอนนี้อู๋ต้าร่ำรวยกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ไม่ว่าทำอะไรก็ดูมีบารมีไม่น้อย อย่างไรก็เป็นงานองครักษ์เสื้อแพร ที่นักเลงในวงการให้การยกย่อง ทำอะไรก็ย่อมไม่เหมือนเดิม อู๋เอ้อร์ก็เหมือนจะนิ่งกว่าแต่ก่อนมาก
“ท่านโหว โรงบ้านเราใช้แรงงานนักโทษจากที่ต่างๆ ล้วนเป็นพวกมือไวรักสบาย ทำแต่เรื่องผิดกฎหมายมา ยากจะควบคุม ยังต้องใช้พวกนักเลงในวงการพวกนั้นที่รับมาคอยกำราบไว้ ก็เรียกได้ว่าใช้พวกเดียวกันกำราบพวกเดียวกัน”
หวังทงขี่ม้ามาถึงโรงบ้าน เห็นภาพรอบๆ ไม่เหมือนกับทุ่งนาสองข้างทางบนเส้นทางหลวงที่สวยงามทำนากันอย่างมีความสุข แต่ที่นี่ทุกคนสวมชุดผ้าป่านตัวสั้นกำลังทำงานกัน ยังมีชายฉกรรจ์คอยถือแส้กำราบ มีเสียงตะโกนด่าทอเป็นระยะ ถึงกับโบยก็มี หวังทงกลับยิ้ม กล่าวว่า
“สมควรๆ คนพวกนี้ใช้แรงงานแล้วก็จะแก้ไขตัวเองได้ จึงจะตั้งใจเป็นคนดีได้ พวกเจ้าทำได้ไม่เลว”
พอเข้าไปในโถงโรงบ้าน ก็ย่อมมีคนยกน้ำชามา หวังทงเอ่ยไม่อ้อมค้อมทันทีว่า
“อู๋ต้า เจ้าอยู่ที่นี่จัดการการงานต่อ ส่วนอู๋เอ้อร์ตามข้าลงใต้ เจ้าสองพี่น้องรู้จักพื้นที่ดี ไปนำทางหน่อย จะได้ไม่ต้องคลำทาง”
อู๋เอ้อร์รีบคำนับรับ หวังทงกล่าวกับอู๋ต้าว่า
“ปีนี้รบกับทุ่งหญ้านอกด่าน เผ่าเคอเอ่อชิ่นกับตั่วเหยียนก็มีชีวิตที่ยากลำบาก เดาว่าก่อนหน้าหนาวก็คงมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากกับพวกอาหารหมักเกลือส่งมาขายจำนวนมาก เนื้อวัวและแพะที่แช่แข็งวางใต้ท้องเรือหน้าหนาวอย่างนี้ได้หลายเดือนไม่ละลาย พวกเรากำลังหาโอกาสขายเนื้อพวกนี้ออกไปให้ไกลอีกหน่อย ไปทางแถบเหอหนานและซานตง เขตปกครองใต้ทั้งหลาย หากการค้าดี วันหน้าย่อมเป็นแหล่งกำไร”
อู๋ต้าครุ่นคิดไปมา สองมือตบกัน คำนับสรรเสริญว่า
“ท่านโหวช่างคิดได้ เนื้อวัวแพะหน้าหนาวมาเกินความจำเป็น เมืองหลวงและเทียนจินราคาตกมาก พวกเราคิดค่าหญ้าและอาหารเลี้ยงแล้วก็กำไรไม่เท่าไร แต่ที่อื่นๆ ราคาสูงอยู่ หากเรือบรรทุกไปได้มาก ก็ย่อมทำกำไรก้อนโต ข้าน้อยได้ยินคนบนท้องทะเลเล่าว่า พวกเราพอถึงหน้าหนาว ไม่มีสินค้าอันใดไปขายทางใต้ วิ่งเรือเปล่าไม่ค่อยคุ้ม วิธีท่านโหวช่างสะดวกยิ่ง”
หวังทงยิ้มพยักหน้า วิธีนี้ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ ๆ ก็คิดเองได้ แต่เป็นอาปาก้งเคยเอ่ยถึงเมื่อก่อน ว่าทางยุโรปหลายประเทศเป็นเช่นนี้ หน้าหนาวขนปลาและเนื้อแช่แข็งลงไปขายตอนใต้ เป็นการค้าชิ้นโต พอดีกับที่หวังทงสร้างระบบการค้าขึ้นมาก็มีของพวกนี้อยู่ด้วย ได้ใช้งานพอดี
กล่าวจบ หวังทงก็เคาะโต๊ะ ชี้ไปทางอู๋ต้าว่า
“ลูกชายคนโตเจ้า 11 แล้ว ครอบครัวเจ้าชายอายุ 15 ก็ไม่น้อย หากเจ้าคิดให้เข้าทำงานกับข้าก็ไล่รายชื่อมา รอกลับมาก็จะจัดการให้เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามความสามารถ”
ได้ยินเช่นนี้ อู๋ต้าอึ้งไป เอื้อมมือไปกระชากอู๋เอ้อร์ข้างๆ สองพี่น้องพากันคุกเข่าลง กล่าวอย่างตื้นตันว่า
“ความเมตตาของท่านโหว พวกเราพี่น้องชาติหน้าเป็นวัวเป็นควายรับใช้ก็ตอบแทนไม่หมด….”
“ไม่ชาติหน้าเป็นวัวเป็นควายรับใช้ ชาตินี้ตั้งใจทำงานให้ดีก็พอ!”
หวังทงสัพยอก ทุกคนพากันหัวเราะดังลั่น ลูกหลานได้ติดตามหวังทง ได้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานทางการหรือไม่ ก็ขึ้นกับเจ้ามีความมุ่งมั่นพอไหม ตระกูลอู๋ทำงานให้หวังทงมาหลายปี สถานะมีอยู่ เงินทองกำไรไม่น้อย แต่อย่างไรก็เชิดหน้ายืดอกกับผู้ใดไม่ได้เต็มที่นัก ก็เพราะขาดเหตุนี้
ตอนนี้หวังทงรับปาก ก็เท่ากับให้คำมั่นสัญญาแก่ครอบครัวเขาทั้งสองว่าจะมีแต่ความรุ่งเรือง ทำให้อู๋ต้าและอู๋เอ้อร์ซาบซึ้งยิ่ง
เขาสองคนเมื่อก่อนเป็นดังกบในกะลา มาอยู่รังโจรที่ซานตง ได้สมคบกับทางการคิดว่ายิ่งใหญ่แล้ว แต่พอถูกหวังทงจับมาทำงานด้วย จึงได้รู้ว่าโลกนี้อะไรคือยิ่งใหญ่ อะไรคืออำนาจแท้จริง
*************
“ขออวยพรท่านโหวเดินทางโดยสวัสดิภาพ!!”
ได้ยินเสียงคนบนฝั่งตะโกนส่ง หวังทงกลับกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องเรือ ห้องทำงานเหมือนย้ายมาตั้งบนเรือ ห้องรับแขก ห้องหนังสือ ห้องนอนก็ครบครัน
“ผู้บัญชาการ เมืองหลวงมีเอกสารมาวันนี้ เมื่อครู่ส่งขึ้นฝั่งไปแล้ว”
เฉินต้าเหอประคองถุงหนังเข้ามา หวังทงพยักหน้าเปิดถุงหนังออก ด้านในมีเอกสาร องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักรักษาความสงบรายงานเรื่องใหญ่ในเมืองหลวงกับเรื่องที่ต้องระวังให้เขารู้ สำหรับหวังทงแล้วเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่อาจไปสองสามเดือน ก็ไม่รู้เรื่องอะไรในเมืองหลวงเลย
พอหยิบเอกสารออกมาพลิกอ่านไปสองสามหน้าก็ดึงจดหมายหนึ่งออกมา มองชื่อบนซองก็ยิ้มกล่าวว่า
“สวีกว่างกั๋ว มีความสามารถในการสังเกตการณ์อยู่เหมือนกัน เสียดายมักช้าไปหนึ่งก้าว”
เฉินต้าเหอยิ้มมองมา หวังทงโบกจดหมายในมือ กล่าวว่า
“คนผู้นี้รอให้ข่าวข้าออกจากเมืองหลวงปฏิบัติหน้าที่เป็นที่แน่นอนจึงได้ส่งจดหมายนี้มา หากข่าวนี้ไม่แน่นอน ข้าไม่รู้ยังเป็นที่ทรงโปรดหรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่รู้ได้ เขาก็ย่อมไม่อยากถูกข้าดึงลงต่ำไปด้วย หากข่าวแน่นอนแล้ว ก็แค่คลื่นลมเล็กน้อย…..”
พูดอยู่นั้น ก็เปิดจดหมายออกอ่าน กวาดตาอ่านคร่าวๆ ยกมือดีดจดหมาย สัพยอกกล่าวว่า
“เตือนได้เป็นกลางดีมาก ให้ข้าระวังให้มาก อย่าได้ล่วงเกินตระกูลสวีเมืองซงเจียง ไม่เช่นนั้นจะยุ่งยาก”
เฉินต้าเหอรับคำหยอกว่า
“ท่านโหว เตรียมการอย่างไร?”
“เรือออกจากท่าแล้ว ยังจะทำอย่างไรได้ ก็ตรวจสอบไปก็แล้วกัน”
ขณะหวังทงพูดวาจานี้ ท่าเรือของโรงต่อเรือทางนั้น ก็ปล่อยเรือปืนใหญ่สองลำออกจากท่า
**************
ใต้หล้านี้ที่ร่ำรวยที่สุดก็คือสามเมืองใหญ่อย่างซูโจว อู๋ซีและซงเจียง หากไม่ใช่หกอำเภอของเมืองซูโจวขนาดใหญ่แล้ว เมืองซงเจียงก็ย่อมเป็นที่ร่ำรวยสุดในใต้หล้า ทว่าเมืองซงเจียงมีแค่สองอำเภออย่างหัวถิงกับชิงผู่เท่าน้น ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก
เมืองซงเจียงมีที่ทำการหลักอยู่ที่อำเภอหัวถิง คนที่มาหัวถิงใหม่ๆ มักรู้สึกงง แท้จริงแล้วเป็นเมืองใหญ่ทีเดียว เพราะเป็นที่ตั้งของตระกูลสวีตระกูลใหญ่ในเมืองซงเจียง จวนตระกูลสวีเป็นศูนย์กลางอยู่นอกเมือง เป็นพื้นที่รุ่งเรือง จากบ้านเรือนไปถึงร้านค้า หอสุราไปจนหอคณิกา มีครบ เหมือนเป็นเมืองๆ หนึ่ง ในเมืองกลับเหมือนว่าสู้กับที่นี่ยังไม่ได้ แม้แต่จวนที่ทำการก็ดูสภาพย่ำแย่ยิ่ง
ใต้หล้านี้ใช่ว่าในเมืองรุ่งเรืองกว่านอกเมืองหรือ นอกจากเมืองไม่มากนักที่มีคลองส่งน้ำแล้วเจริญว่าในเมือง
เมืองซงเจียงนี้ เจ้าหน้าที่ที่ทำการหรืออำเภอไม่ได้สบายเหมือนคนงานตระกูลสวีอย่างแน่นอน ขุนนางกับเจ้าหน้าที่ทางการเป็นแค่คนรับใช้ที่มีเกียรติของตระกูลสวีเท่านั้น
นี่เป็นธรรมเนียมแดนใต้ คนรับใช้ตระกูลสูงอัดแน่นเต็มที่ทำการทางการ ขุนนางที่มาจากการสอบพวกนั้นเป็นแค่คนโดดเดี่ยว คิดจะปฏิบัติหน้าที่ ก็ล้วนต้องอาศัยคนงานของตระกูลเหล่านี้จัดการให้ พวกเขาก็ย่อมกลายเป็นหุ่นเชิดของตระกูลใหญ่ในพื้นที่ไป
เดือนเจ็ด เมืองซงเจียงก็ร้อนมาแล้ว ตอนกลางวันคนบางตา ทว่าหน้าประตูตระกูลสวี มีคนดูธรรมดาสามัญสิบกว่าคนกำลังรอคอยอยู่
คนที่คุ้นเคยกับตระกูลสวีเห็นเข้าก็อ้าปากค้าง พ่อบ้านใหญ่ตระกูลสวีอยู่หน้าประตู นี่เป็นพ่อบ้านที่ปรนนิบัตินายท่านใหญ่สวีเจี้ย ปกติแม้แต่ผู้ว่าเมืองซงเจียงมาก็ใช่ว่าจะพบ อยู่ ๆ มาคอยอยู่หน้าประตูจวน แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดจะมากัน หาได้น้อยมาก
ม้าสิบกว่าตัวขี่นำรถม้าคันหนึ่งมาถึง รถม้าหยุดลง พ่อบ้านใหญ่สวีก็รีบเดินลงมาจากขั้นบันไดหน้าประตู มีคนยกม้านั่งมาจ่อที่รถม้าให้เดินลง พ่อบ้านใหญ่เลิกม่านออก
“อากาศอย่างนี้ ไยต้องทรมานข้าด้วย ข้าอายุมากแล้ว”
ชายชราวัยห้าสิบกว่าเดินลงจากรถมา ในมือมีผ้าเช็ดหน้า สวมชุดบัณฑิตแขนกว้าง พร้อมหมวกและรองเท้าเรียบร้อย พอเห็นก็รู้ว่าเป็นขุนนางที่ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้านเกิด ชายชราผู้นี้พูดจาน้ำเสียงนิ่งเรียบทำให้คนฟังแล้วยิ่งเคารพนบนอบ ในใจก็คือนี่เป็นบัณฑิตใหญ่ลัทธิขงจื๊อผู้มีความรู้ยิ่งจากที่ใดกัน
“ท่านไต้ลำบากท่านแล้ว ในจวนมีน้ำบ๊วยใส่น้ำแข็งเย็นไว้รอรับท่านแล้ว เชิญเข้าไปดื่มดับกระหายเถิด”
ชายชราถูกประคองไป ก็ยิ้มกล่าวว่า
“แดนใต้นี้ก็คงมีแค่เมืองหนานจิงกับตระกูลสวีเจ้าที่มีถ้ำน้ำแข็งแล้ว พวกเจ้านี่นะ นายท่านเจ้าก็ใจร้อน เจ้าก็เตือนหน่อย ไยปล่อยให้เขาต้องกังวลเช่นนี้?”
“ท่านไต้ ครั้งนี้เรื่องใหญ่แล้ว คนที่เมืองหลวงส่งมา…”