องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 831 ตระกูลสวีวิจารณ์ผู้แทนพระองค์
‘ท่านไต้’ กล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านกลับไม่รับคำ ยิ้มกล่าวว่า
“วันนี้โรงบ้านมีแขกมาไม่น้อย นายท่านปลีกตัวมาไม่ได้ ไม่ได้มารับด้วยตัวเอง ขอท่านไต้โปรดอภัย”
ท่านไต้เดินลงจากรถม้า ดึงชุดให้เรียบร้อยแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า
“มีเจ้าคนเก่าคนแก่มาคอยรับถึงที่นี่ ก็เรียกได้ว่ามีเกียรติแล้ว จะกล่าวโทษอันใดกัน”
ได้ยินเสียงฝีเท้ามาดังมา มีคนตะโกนดัง มีคนมาอีกแล้ว พ่อบ้านใหญ่กลับไม่สนใจแขกที่มา หากเดินเข้าไปพร้อมกับท่านไต้
พอเข้าประตูไปได้สิบก้าวเดินไปตามระเบียงคด สร้างอยู่ข้างสระน้ำใหญ่ สระน้ำนี้หากบอกว่าเป็นทะเลสาบก็ไม่เกินไปนัก ขนาดใหญ่มาก จากระเบียงคดมองลงไป ก็จะได้เห็นปลาแหวกว่ายน้ำ อีกฝั่งยังมีนกเป็ดน้ำว่ายน้ำเล่นอยู่ ราวกับภาพวาด งดงามหาใดเทียม
ท่านไต้ไม่ได้มาเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังค่อยๆ เดินชม มองซ้ายมองขวาอย่างชื่นชม เห็นได้ชัดว่าหลงใหลในความงามนี้ เดินไปสักพัก ด้านหน้าก็มีสาวใช้เดินมาเป็นกลุ่ม คุยกันกระซิกๆ หัวเราะไม่หยุด สวมชุดธรรมดา แต่หน้าตารูปร่างเรียกได้ว่าอรชรอันดับหนึ่ง
“มีแขกอยู่ พวกเจ้าทำอะไรกันเนี่ย!”
พ่อบ้านหน้าตึงสั่งสอนไป สาวใช้ก็รีบก้มหน้าเดินผ่านไป ท่านไต้หรี่ตามองหัวเราะเล็กน้อย พอสาวใช้เดินผ่านไป ก็กล่าวอย่างรื่นรมย์ว่า
“หญิงสาวเข้าฉากงาม ฉากงามยิ่งงดงาม ฉายโฉมสามัญ ภาพยิ่งงดงาม โฉมฉายยิ่งงดงาม วันนั้นท่านอำมาตย์กล่าวเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่านายกองสวีทำได้”
“ท่านไต้ล้อเล่นแล้ว ในจวนมีผู้รอปรนนิบัติ รอท่านไต้ชื่นชม!”
สวีเจี้ยตอนนั้นเป็นมหาอำมาตย์ บุตรชายคนโตสวีพานเป็นนายกองกรมโยธา รับหน้าที่ก่อสร้างพระตำหนักในพระราชวังต้องห้าม พอออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด ระดับตำแหน่งก็ยังคงเดิม คนคุ้นกันย่อมเรียกขานตำแหน่งเหมือนเดิม
ว่าไปแล้วก็น่าขัน สวีเจี้ยโค่นเหยียนซง เหยียนซงเองก็มีบุตรชายชื่อเหยียนซื่อฟาน ตำแหน่งก็เป็นนายกองโยธาเช่นกัน ตระกูลเหยียนกับตระกูลสวีก็เหมือนมีอันใดที่เหมือนกันอยู่
ตั้งแต่ประตูใหญ่มา ตลอดทางก็เสียเวลาไปไม่น้อย จวนตระกูลสวีใหญ่มาก ครองพื้นที่มากมาย ท่านไต้บ่นว่า
“หากไม่ใช่จวนเจ้ามีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ล่ะก็ เดินมานี่คงเมื่อยจนขาแทบหักไปแล้ว เจ้าลองว่ามาหน่อยว่าแขกแต่ละคนที่มา นอกจากข้าแล้ว ยังมีผู้ใดอีก?”
“เรียนท่านไต้ เจ้าอาวาสแห่งวัดผู่หยวน เขาฮุ่ยซาน เมืองฉางโจว ตระกูลหงแห่งชิงผู่ นายกองร้อยเหยียนแห่งป้อมชวนซา นายกองพันฉีแห่งกองกำลังชิงชุน ยังมีตระกูลจั่วจากหนานเฉียว คนรู้จักจากเมืองซูโจวและฉางโจวก็มีมาไม่น้อย”
ท่านไต้ได้ยินชื่อคนเหล่านี้ก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า
“ระวังมากไปแล้ว ทำอย่างกับจะยกทัพ หากมีคนคิดหาความ ใช่ว่าคงเอาไปกล่าวกันเป็นเรื่องแล้วหรือ”
“เรียนท่านไต้ตามตรง เมืองหลวงส่งผู้แทนพระองค์มาท่านนั้น นายท่านเรายิ่งสืบข่าวก็ยิ่งกลัว คนผู้นี้ไม่เหมือนไห่รุ่ยตอนนั้น อันนี้…”
ด้านหน้าเป็นโถงรับแขก มีคนรับใช้วิ่งเข้าไปเตรียมการ ตามธรรมเนียม เจ้านายอย่างไรก็ต้องออกมารอต้อนรับที่นี่ ท่านไต้ส่ายหน้ากล่าวว่า
“มีอันใดต้องกลัวกัน มิน่าท่านอำมาตย์สวีกลับมาบ้านเกิด จึงต้องนำครอบครัวกลับมาเมืองซงเจียงหมด หากคิดเช่นนี้ คงเสียเปรียบแล้ว”
พ่อบ้านกลับไม่กล่าวอันใดต่อ ชายวัยกลางคนในชุดขุนนางนอกราชการออกมาต้อนรับประสานมือคำนับยิ้มกล่าวว่า
“ไม่เจอท่านไต้หลายปี บารมีเพิ่มพูนกว่าเดิมอีก ดังคำกล่าวว่า เทพเซียนในหมู่มนุษย์เป็นเช่นนี้เอง เชิญด้านใน รีบเข้ามาๆ”
“หากไม่ได้ตระกูลท่าน ก็ไม่อาจมีวันเวลาราวเทพเซียนนี้ได้ นายกองสวีเกรงใจไปแล้ว”
“เราเรียกขานกันพี่น้อง ไยต้องเป็นทางการเช่นนี้ด้วย หากท่านเรียกข้าว่านายกองอีก ข้าก็จะเรียกท่านว่านายกองแล้วเช่นกัน”
สองฝ่ายหัวเราะดังลั่น จูงกันเดินเข้าไปในห้องโถง ในห้องมีคนไม่น้อยนั่งอยู่ คนเหล่านี้แต่งกายกันหลากหลาย มีแบบนักบวชด้วย อยู่ทางด้านซ้ายตำแหน่งแรก พระอาจารย์ใหญ่นั่งอยู่ สีหน้ากระจ่างบารมี คางมีเนื้อสองชั้น สวมจีวรที่ถึงกับทำจากด้ายทองคำ หรูหรามาก
มองไปเช่นนี้ พระรูปนี้ดูสะดุดตาที่สุด ด้านขวาคนสุดท้ายเป็นชายฉกรรจ์นั่งหลังตรงอยู่คนหนึ่ง ชายฉกรรจ์สวมชุดยาวพื้นแดงลายทอง เสื้อผ้านี้อยู่บนตัวเขาแล้วดูไม่เข้ากัน ด้านนอกลมพัดเข้าไป พัดเอาชายเสื้อเปิดขึ้น ด้านในเขาถึงกับสวมกางเกงขาสั้นและรองเท้าฟาง ช่างดูแปลกมาก
ชายฉกรรจ์ผู้นี้รูปร่างผอมเกร็ง ทว่ากลับมีกล้ามเนื้อแน่น ดูแข็งแรงมาก ด้านขวานอกจากพระรูปนั้นกับชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว ที่เหลือก็เป็นขุนนางบู๊ ดูชุดแล้วแม้ว่ามีลายสัตว์ป่า แต่ดูแล้วระดับไม่สูงนัก ก็คงแค่นายกองร้อยหรือนายกองพันของจวนขุนพลในพื้นที่เท่านั้น
เทียบกันแล้ว คนหัวแถวด้านซ้ายดูดีกว่า มีหลายคนแต่งตัวเหมือนสวีพานและท่านไต้ ดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูงคหบดีใหญ่
พอสวีพานกับท่านไต้เข้ามา เห็นทุกคนมองมา สวีพานยิ้มกล่าวว่า
“ขอแนะนำทุกท่าน ท่านนี้คือท่านไต้เฟิ่งเสียน เจ้าบ้านเซียงหยวนแห่งเมืองซูโจว ท่านไต้เป็นสหายเก่าแก่ตระกูลสวีเมืองหลวงส่งคนมาครานี้ อย่างไรก็ต้องเชิญท่านไต้มาหารือ”
รู้จักหรือไม่ไม่ว่ากัน แต่ทุกคนก็ย่อมลุกขึ้นยิ้มแย้มทักทาย ท่านไต้เองก็ยิ้มพยักหน้า หากนั่งลงบนหัวแถวด้านซ้าย
มีคนแอบกระซิบกันว่า “ท่านไต้คือ..” คนรู้จักก็มี รีบมีคนตอบว่า
“ก็คนที่รับเงินแล้วโค่นไห่รุ่ยนั่นไง”
เสียงเบามาก ทว่าพูดถึงเรื่องนี้ทุกคนก็นึกขึ้นมาได้ทันที ตอนนั้นไห่รุ่ยเป็นผู้ตรวจการมายังแดนใต้ตรวจสอบ ตระกูลสวีเจี้ยยึดครองที่นามาก ทำให้ไห่รุ่ยกัดไม่ปล่อย ว่ากันว่าตระกูลสวีใช้เงินสามหมื่นตำลึงทองซื้อตัวไต้เฟิ่งเสียนแห่งกรมปกครองไต้เฟิ่งเสียนยื่นฎีกาไห่รุ่ยบีบบังคับภรรยาน้อยจนตาย ทำให้ไห่รุ่ยถูกปลด ทำให้ตระกูลสวีรอดมาได้
ไต้เฟิ่งเสียนเห็นเงินก็รับ รับเงินก้อนโตแล้วก็ไม่ได้อยู่รับใช้ราชสำนักต่อ หากปีต่อมาก็ลาออกกลับบ้านเกิด มาสร้างเรือนมีสวนในเมืองซูโจว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เห็นทุกคนนั่งลงแล้ว คนรับใช้ก็ยกชาและขนมเข้ามารับรอง สวีพานโบกมือ คนรับใช้ในห้องพากันออกไป พ่อบ้านไปปล่อยม่านที่หน้าประตูลง ตนเองออกไปเฝ้าด้านนอกไว้ สวีพานจึงได้กระแอมไอเริ่มกล่าวว่า
“ทุกท่าน ข่าวจากเมืองหลวงคิดว่าทุกท่านคงทราบแล้ว บิดาข้ากับท่านอาข้าสร้างกิจการมา ก็หวังให้ลูกหลานตระกูลสวีได้มีกินมีใช้ไปชั่วลูกหลาน แต่อย่างไรก็มีมารมาผจญ อิจฉาความร่ำรวยตระกูลสวีเรา ไปใส่ร้ายที่เมืองหลวงต่อหน้าพระพักตร์ ตอนสมัยอดีตฮ่องเต้ ไห่รุ่ยต้องการสร้างชื่อจึงได้มาหาเรื่องเรา เดิมคิดว่าสิบกว่าปีแล้ว หมดเรื่องแล้ว ผู้ใดจะคิดว่ากลับมีหวังทงมาอีก เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เชิญทุกท่านมาก็เพื่อขอให้ทุกท่านออกความเห็นหน่อย”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนในห้องก็สบตากัน ตระกูลสวีสร้างกิจการเรื่องใดกัน พื้นที่แดนใต้ คนที่พอมีสถานะมีผู้ใดบ้างไม่รู้กัน ทว่าเรื่องเช่นนี้รู้แก่ใจก็พอ อย่าได้พูดออกไป
สวีพานกล่าวเช่นนี้ ชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยทางซ้ายก็ลุกขึ้นกล่าวว่า
“นายท่านสวีพูดได้มีเหตุผล พวกเราพ่อค้าแดนใต้ ประหยัดอดออมมาแต่รุ่นปู่ก็เพื่อสร้างกิจการ อาศัยรายได้เลี้ยงครอบครัวให้กินอิ่มนอนอุ่น ให้ลูกหลานได้ร่ำเรียนสอบขุนนาง แต่ทางเหนือพวกนั้นไม่เคยเห็นเรายากลำบากมา กลับเอาแต่จับจ้องเรื่องเล็กน้อยไม่ยอมปล่อย นายท่านสวี ผู้ที่มาจากเมืองหลวงครานี้ไม่ประสงค์ดีแน่ หากตรวจสอบตระกูลท่าน ต่อไปก็เกรงว่าคงมาถึงพวกเราด้วย….”
กล่าวไปกล่าวมา ชายผู้นั้นก็เริ่มน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าแดงก่ำเสียงดังขึ้นว่า
“เจ้าคนเหลวไหลที่ข้าจ่ายเงินไปให้อย่างกับน้ำ พอเจอเรื่องนี้ก็กลับไม่เห็นพูดอะไร ก่อนมาข้าได้ส่งข่าวไปแจ้งเขา แม้ต้องหลุดจากตำแหน่งขุนนาง ก็ต้องยื่นฎีกาขอให้ฝ่าบาทได้ทรงเข้าใจความยากลำบากของชาวใต้เรา”
“ท่านสือเองก็ลำบากไม่น้อย ใจเย็นๆ ทุกคนมาที่นี่ ก็เพื่อหารือเรื่องนี้กัน”
สวีพานปลอบใจ ท่านสือจึงได้หอบหายใจนั่งลง คนข้างๆ กลับกล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เมืองซงเจียงกับเมืองเจียซิงที่หังโจวมีเรือไปเทียนจินไม่น้อย ทางนั้นนำข่าวเกี่ยวกับหวังทงกลับมาไม่น้อย หวังทงอายุยังน้อยก็มาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ใช่อาศัยว่าเป็นคนโปรด แต่เพราะคนผู้นี้มีความสามารถจริง ไม่เหมือนพวกบัณฑิตที่เอาแต่กล่าววาจาประจบสอพลอพวกนั้น!”
“จริง เดิมคิดว่าหวังทงเป็นเพียงเด็กน้อย หรือไม่ก็เบื้องหลังมีผู้ใดหนุนหลัง แต่ตอนนี้ดูแล้ว เทียนจินเปิดทะเล คลองส่งน้ำตั้งด่าน ยังค้าผงฟู ไม่ต้องพูดถึงชัยชนะใหญ่หลายครั้งพวกนั้น ล้วนเป็นเขาใช้สองมือสองเท้าต่อสู้มา คนเช่นนี้มาที่นี่….”
“กังวลเรื่องนี้ทำไมกัน หรือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องสมรสพระราชทานกัน?”
“ราชโองการสมรสพระราชทานเก็บคืนอีก ตอนนี้เรื่องนั้นเป็นที่โจษจันกันสนุกในเมืองหลวง ตอนนี้ไห่รุ่ยยื่นฎีกา ก็รีบส่งหวังทงออกจากเมืองหลวง …….”
เห็นทุกคนออกความเห็น สวีพานขมวดคิ้ว ไต้เฟิ่งเสียนกลับยกชาขึ้นจิบช้าๆ พอจิบไปกำทำท่าเหมือนพึงใจว่าชาดี ชื่นชมรสชาอยู่คนเดียว
ขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ พระอ้วนกลับอยู่ๆ เสียงดังขึ้น เสียงเขาดังมาก เสียงคนในห้องถูกกลบมิด
“ประสกทุกท่าน ตอนนี้คลื่นลมแรง บนแม่น้ำก็ไม่สงบสุข ท่วมคนตายไปก็มี เหล่าเมี่ยวพอรู้จักผู้กล้าบนท้องทะเล…….”
“ไต้ซือผู่หยวน ๆ ระวังวาจาด้วย”
นายกองร้อยหนึ่งข้างๆ รีบแทรกวาจาขึ้น ทุกคนมองไป นายกองร้อยผู้นั้นหยุดไปก่อนจะกล่าวว่า
“หากเกิดเรื่องจริง คงมีเรื่องตามมาไม่หยุด องครักษ์เสื้อแพรหนานจิงก็ไม่ค่อยถูกกัน จะว่าไป หลายวันนี้คลื่นลมสงบดี แล่นเรือบนแม่น้ำไหนเลยจะมีคลื่นลมกระหน่ำได้”
ชายฉกรรจ์ที่นิ่งเงียบมาตลอดกลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตอนข้ามแม่น้ำ หรือทะเลสาบ ทางนั้นคลื่นใหญ่มาก”
กล่าวถึงตรงนี้ ขุนนางบู๊หลายคนกลับเงียบกริบ พระอ้วนกลับสนใจถามขึ้น
“เหล่าเมี่ยว เจ้าพูดมาให้กระจ่างหน่อย อย่าเอาแต่อมพะนำ”
“เหลวไหล เหลวไหลจริง!”
ทางนี้กำลังคุยกันออกรส อยู่ๆ ก็ได้ยินไต้เฟิ่งเสียนปาจอกชาลงบนโต๊ะ