องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 833 ผ่านเมืองจี่หนิง
ยิงธนูบนเรือช่างไร้คุณธรรม บนคลองส่งน้ำไม่เหมือนบนท้องทะเล เรือแต่ละลำระยะห่างน้อยมาก เล็งธนูมั่วไปโดนคนอื่นเข้าทำไง
ขบวนเรือหวังทงแขวนก้อนฟางแห้งขึ้น เรือรอบๆ ยังคิดว่าจะทำอะไรกัน พอธนูยิงเข้า ก็พากันตกใจ รีบหาที่หลบกันให้วุ่น คนที่อารมณ์ร้อนก็แอบด่ากัน
ทว่าทุกคนรู้ดีว่า ขบวนเรือใหญ่เช่นนี้ ยังกล้ายิงธนูไม่เกรงกลัว คงมีที่มาไม่น้อย แม้ว่าเป็นขบวนเรือชาวบ้าน แต่อย่าได้ล่วงเกินเป็นดี
พอยิงธนูผ่านไปหลายระลอก เรือรอบๆ ก็เริ่มวางใจ ฝีมือยิงยอดเยี่ยมจริง คลองส่งน้ำแม้ว่าเงียบสงบ แต่เรือบนผืนน้ำก็กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงน้ำอยู่ดี กอปรกับลมพัดมาเอื่อยๆ ก้อนฟางก็เคลื่อนไหวไปมา แต่ระยะห่าง 60 ก้าว ถึงกับยิงเข้าเป้าทุกดอก เป็นยอดฝีมือจริง
เริ่มแรกคนบนเรือลำอื่นยังหาที่กำบังกันแอบมอง ต่อมาก็มายืนกันบนระเบียงเรือ ทางนั้นยิง ทางนี้ก็ร้องเชียร์ดังเป็นระยะ
ยิงไปหมดสิบดอก ก้อนฟางก็ปักเต็มไปด้วยลูกธนู ตรงนี้มีเรื่องหนึ่งที่น่าอัศจรรย์แต่คนรอบๆ ดูไม่ออก ก็คือก้อนฟางนั้นไม่ใหญ่ ปักเข้าไปดอก อีกดอกก็เหลือที่น้อย สิบดอกยิงไปปัก ก็ยิ่งต้องแม่นอย่างมาก
“ม่อยื่อเกินกับปาถูเดิมเป็นพี่น้องกัน พวกเขาเป็นคนในเผ่าเล็กแต่มีปัญหาเพราะปรากฏหญิงงามนางหนึ่งในเผ่า ถูกหลายเผ่ารุมกันแย่ง แม้บอกว่าได้มอบแด่ชนชั้นสูงเผ่าเคอเอ่อชิ่น แต่เพราะแย่งไม่ได้จึงเคียดแค้นมาก ต่อมาเผ่าพวกเขาถูกสังหารหมดสิ้น สองคนขึ้นม้าหนีได้เร็วจึงได้รอดมาได้ ตอนนั้นก็เป็นกองโจรม้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน และยังสายให้กองกำลังเมืองจี้โจว”
หวังทงอยู่บนเรือลำที่สอง มองดูชายหลายคนที่ยืนกันอยู่บนเรือด้านหน้า อู๋เอ้อร์ข้างๆ แนะนำ คนที่ยิงก็คือม่อยื่อเกิน แปลว่ามือธนูเทพในภาษามองโกล
“สืบประวัติชัดหรือยัง? พวกนอกด่านตายในน้ำมือเราเกือบแสนนะ!”
“ขอใต้เท้าวางใจ ตรวจสอบเรียบร้อยจึงได้พามาด้วย เดิมให้เป็นผู้คุ้มกันอยู่โรงบ้าน หลี่เฉิงเหลียงตีตัวหลุนได้ แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านก็กลับไปบ้าคลั่งปราบปรามเข้ม ขอเพียงมีสายสัมพันธ์กับแผ่นดินหมิงเราเล็กน้อยก็จะไม่เก็บไว้ สองพี่น้องอยู่บนทุ่งหญ้านอกด่านต่อไม่ได้ จึงได้มาขอสวามิภักดิ์ เมื่อก่อนเคยมีการค้าไปมากันหลายรอบ ครั้งนี้จึงได้ให้นายกองทหารตรวจสอบพิเศษ”
อู๋เอ้อร์ทำงานได้ครบกระบวนการ หวังทงจึงพยักหน้า หันไปมองก้อนฟางยิ้มกล่าวว่า
“มือธนูเทพจริง!”
หวังทงเสียงไม่เบานัก ม่อยื่อเกินได้ยินจึงคำนับให้จากตำแหน่งที่ยืนบนเรือด้านหน้า ชายอีกคนก็ยิงตามไป คิดว่าน่าจะเป็นปาถู
การเทียบฝีมือยิงก็ต้องดูจากเป้าธนูเดียวกัน ปาถูได้ยินเมื่อครู่หวังทงเอ่ยชมพี่ชายตน ก็คิดจะแสดงฝีมือบ้าง เขาหยิบธนูขึ้นน้าวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงน้าวต่อ ยิงไปดอกแรก ตัดเชือกแขวนก้อนฟางขาด ดอกสอง ปักอยู่บนเสาแขวนเชือก ดอกสามตอกเข้าที่เสาอีกที ยิงไปติดๆ กัน ล้วนปักเข้าเสาไม้หมด
แสดงให้เห็นความสามารถ หวังทงยิ้มปรบมือ เรือสองข้างก็ส่งเสียงตะโกนชมดังสนั่นไปทั่ว เดินทางบนคลองส่งน้ำ ทิวทัศน์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าเบื่อ บนแม่น้ำมีฝีมือยอดเยี่ยมให้ชม ก็ช่างเป็นเรื่องทำให้ทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
ม่อยื่อเกินกับปาถูสองคนหากไม่มีฝีมือธนูดี มองดูภายนอกก็เป็นชายโรงบ้านตอนเหนือธรรมดา ร่างกายเตี้ยล่ำ ขี่ม้าจนโครงขางอ ผมเปียบนหัว มาถึงแดนหมิงจึงได้ตัดเปียทิ้ง
“เจ้าสองพี่น้องตั้งใจทำงานให้ดี ทุ่งหญ้านอกด่านไม่ดูความสามารถ หากดูสายเลือด แต่ข้านี้ไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ พวกเจ้าทำความชอบได้ ย่อมมีอำนาจวาสนาบนแผ่นดินหมิงนี้ แม้ว่าอยู่ทุ่งหญ้านอกด่าน ก็ย่อมรับประกันได้ว่าจะมีตำแหน่งชนชั้นสูง”
เรียกตัวมากำชับไปสองสามคำ สองคนก็ตื่นเต้นมาก ได้พบหวังทงก็หมอบคุกเข่าลงกับพื้นเรือ สีหน้าตื่นเต้นตระหนกยิ่ง หวังทงเริ่มแรกยังรู้สึกงง ในใจก็คิดว่าสองฝ่ายรู้จักกันไม่นาน เหตุใดสองคนจึงให้ความเคารพมากมายเพียงนี้
อู๋เอ้อร์ข้างๆ อธิบายจึงได้เข้าใจ ตอนนี้ชื่อเสียหวังทงบนทุ่งหญ้านอกด่านนั้นยิ่งใหญ่มาก ตอนนั้นข่านเผ่าอันต๋าดำรงตนเป็นเจ้าผู้ครองอันดับหนึ่งบนทุ่งหญ้านอกด่าน แต่ก็ถูกหวังทงสังหารสิ้นแผ่นดิน หวังทงในใจของชาวนักรบทุ่งหญ้านอกด่านมีสถานะใดก็ย่อมคิดแล้วก็รู้ได้
พอหวังทงให้กำลังใจไป สองพี่น้องก็โขกศีรษะติดๆ กัน หวังทงยิ้มให้พวกเขากลับไปประจำที่เดิม กำลังจะพูดอะไรกับกับอู๋เอ้อร์ ก็เห็นว่าอู๋เอ้อร์กำลังจ้องบนบนผืนน้ำ
มองตามสายตาอู๋เอ้อร์ไป ก็เห็นเรือใหญ่เรือน้อย บนเรือมีใหญ่ตรงกลางกางใบใหญ่แล่นสวนไปอย่างเร็ว บนเรือมีสามคน หนึ่งคนบังคับใบเรือ อีกสองคนกำลังชะเง้อมองอยู่บนหัวเรือคนหนึ่ง ท้ายเรือคนหนึ่ง
เรือลำเล็กแล่นสวนกับเรือหวังทง เรือลำเล็กมีชายฉกรรจ์สองคนมองมาอย่างตั้งใจ พอเรือผ่านไป หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งถามขึ้น
“อะไรกัน? มีอันใดแอบแฝง?”
“เรียนใต้เท้า เมื่อครู่มีคนลอยเรือมาดูสินค้าแล้ว!”
อู๋เอ้อร์มองไปยังด้านหลังเรือลำเล็ก กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ คลองส่งน้ำไม่สงบสุข และบนแม่น้ำก็มักเกิดคดี สังหารคนฝังริมฝั่ง เรือเปลี่ยนสีใหม่ หากเจ้าของหาไม่เจอ ก็ย่อมเป็นคดีไร้ที่สืบต่อ ค่าน้ำร้อนน้ำชาบนแม่น้ำมีมาก คนการค้ามีไม่น้อย
สงบสุขมาหลายปี อิทธิพลบนคลองส่งน้ำก็ค่อยๆ ลดลง การปล้นสังหาร ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ได้กำไรไม่มาก ยุ่งยากไม่น้อย อิทธิพลบนแม่น้ำก็มักจะจึงทุ่มเทไปในด้านการแอบขนสินค้าผิดกฎหมายมากกว่า เช่นค้าเกลือเถื่อน
แต่โจรก็ยังเป็นโจร หากมีเนื้อก้อนโตอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมไม่อาจไม่กิน พวกเขาดูแลกุมอำนาจที่นี่ อย่างไรก็ต้องออกลาดตระเวนบนแม่น้ำเป็นระยะ
พอเห็นขบวนเรือใหญ่ ก็ย่อมมาดูว่ามีเบื้องหลังอิทธิพลหนุนหรือไม่ แล้วค่อยแอบลงมือ ร่ำรวยกันแบบเทพไม่ทันรู้ตัว ผีไม่ทันตื่นตัว จึงมีคนรับจ้างสังหารคนปิดปากคนสมคบคิด เรื่องเช่นนี้ก็มี
อู๋เอ้อร์ชะเง้อมองไป เรืออีกฝั่งที่มีสื่อชี สื่อชีขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ ยกมือป้องมองไปไกลๆ ด้วยประสบการณ์เขาย่อมรู้ว่าพวกนี้มาทำไมกัน
หวังทงไม่ทันรู้ตัว แต่อิทธิพลเช่นนี้ในวงการนักเลงก็ย่อมไม่ใช่เรื่องต้องให้ความสนใจของทางากร แสงหิ้งห้อยต่างกับแสงตะวัน ไม่มีค่าควรสนใจ
แต่พวกผู้คุ้มกันของเขากลับไม่อยู่นิ่ง หวังทงสถานะสูงส่ง หากเกิดเหตุใดระหว่างทาง ทุกคนย่อมมีความผิด
“นายท่าน หากเป็นเรือทางการผู้แทนพระองค์ คนบนแม่น้ำพวกนี้ไม่กล้าทำอะไร หรือว่าพวกเรากลับเมืองจี่หนิง ไปเปลี่ยนเรือทางการก่อนดี”
คนที่เข้ามาเตือนก็คือหลิ่วซานหลัง เขากับสื่อชีเป็นพวกมากประสบการณ์ที่สุดในกลุ่ม วาจานี้พวกเขาสามารถกล่าวได้ แต่หวังทงกลับยังคงยืนยันว่า
“หรือว่าพวกเจ้าไม่มีความมั่นใจที่จะคุ้มกันข้า หรือว่าผ่านเมืองจี่หนิงลงใต้ไป แผ่นดินหมิงก็ไร้กฎหมาย ข้ามาที่นี่เพื่อสอบคดี ไม่ใช่มาเพื่ออวดบารมีผู้แทนพระองค์ ไม่เปลี่ยน!!”
นี่ไม่เหมือนกับความเป็นหวังทง แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็หารือกัน เรื่องยังคงไม่ใหญ่โต เรือสิบกว่าลำก็ร่วมร้อยคนของเรา คนเรือเราก็เป็นคนเรือมาประสบการณ์บนคลองส่งน้ำ ระวังน้อยก็พออย่าได้กังวลมากนัก
แต่พอผ่านเมืองจี่หนิงไปได้วันหนึ่ง เรือบนท้องน้ำอื่นๆ ก็เหมือนพักร้อนพากันหายตัวไปหมด ทุกคนเริ่มเคร่งเครียด ตามหลักการรบแล้ว ทุกวันต้องจัดผู้คุ้มกันเฝ้าระวัง หวังทงคิดไม่ถึงว่าทหารตนนั้นมีหลายคนว่ายน้ำเป็น ซาตงหนิงไม่ต้องพูดถึง เป็นลูกหลานชาวท้องทะเล ถานต้าหู่ถานเอ้อร์หู่แต่เล็กก็ถูกถานเจียงจับว่ายน้ำ เป้าเอ้อร์เสี่ยวก็เป็นพี่ใหญ่บนคลองส่งน้ำ ว่ายน้ำแข็งอยู่
อย่างไรทางนี้ก็ไม่ใช่ทางบก พวกว่ายน้ำไม่เป็นมักเป็นจุดอ่อน แม้ว่าเป็นทหารเก่งกล้าแต่อย่างไรก็ไม่อาจแสดงความสามารถตนเองได้ แน่นอนอู๋เอ้อร์กับสื่อชีก็ว่ายน้ำเป็น หลิ่วซานหลังกับชาวมองโกลสองคนนั้นไม่เป็น ม่อยื่อเกินบางทียังแอบเมาเรือ เรื่องนี้จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมืองจี่หนิงรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลินชิง ทำให้หวังทงรู้สึกตื่นตะลึงมาก แต่เล็กหวังทงไปมาเก๊าทางทะเล พอโตหน่อยก็ไปเขตปกครองเหนือมณฑลซานซีกับทุ่งหญ้า ลงใต้มานี่เป็นครั้งแรก คลองส่งน้ำเป็นพื้นที่รุ่งเรืองที่สุดของแผ่นดินหมิง หวังทงได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เมืองหลินชิงและเมืองจี่หนิงอาจไม่รุ่งเรืองเท่าเทียนจิน แต่ยุคสมัยนี้นั้น ยังคงเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมอยู่ ตลอดทางลงใต้มา สองข่างทางล้วนมีแต่ความรุ่งเรือง ทว่าพอผ่านเมืองจี่หนิงกลับเปลี่ยนไป
ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพร เมืองจี่หนิงถึงเมืองสวีโจว เมืองสวีโจวถึงเมืองซานหยาง คลองส่งน้ำสองข้างทางแถบนี้สงบสุข มีโจรทางน้ำมาก ชาวบ้านก็โหดเหี้ยม ตระกูลใหญ่มักจะเลี้ยงคนของตนเองไว้สบคบคิดกับพวกโจร ทว่าเรื่องพวกนี้ก็เข้าใจได้ แต่ทำอะไรไม่ได้
พอผ่านเมืองจี่หนิง เดินทางอีกวันก็เข้าสู่ทะเลสาบเวยซาน ยุคนี้ทะเสสาบเวยซานใหญ่กว่าสมัยต่อมาหลายสิบเท่า เรือล่องบนทะเลสาบ รอบทิศมองไม่เห็นฝั่ง
ลอยไปตามแรงลม วันครึ่งก็จะออกจากทะเลสาบเข้าสู่เขตเมืองสวีโจว ทว่าฟ้ามืดแล้วต้องทิ้งสมอลอยอยู่กลางทะเลสาบ กลางคืนแขวนโคมไฟเดินทางก็ยังได้ แต่การทิ้งสมอพักกลางน้ำเป็นวิธีที่ดีกว่า
ต่งช่วงสี่ส่งคนเรือมาให้หวังทงนั้นเป็นพวกมีประสบการณ์ดีมาก ก่อนฟ้ามืดก็หาท้องทรายกลางทะเลสาบที่มีต้นหญ้าหลูเหว่ยเข้าทิ้งสมอได้
ตอนอยู่ท่าเรือเมืองจี่หนิง พวกทหารบนเรือไปซื้อหาแพะและไก่เป็ดมา ยังหาปลามาได้อีกหลายตัว ก็มาจัดการทำกินกันบนท้องทรายนี่ ให้ความรู้สึกเหมือนท่องป่า สร้างความบันเทิงได้ดี คนสังเกตการณ์บนเรือตะโกนขึ้นว่า
“มีเรือมา!!”