องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 834 วาสนาพานพบกัน สุราหนึ่งกา
ล้วนว่ากันว่าพวกมาจากทุ่งหญ้านอกด่านซื่อนัก แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะม่อยื่อเกินสองพี่น้องรู้จักเอาใจทหารติดตามหวังทงไม่น้อย
ซื้อแพะจากเมืองจี่หนิงมา เป็นความคิดพวกเขา เรือมาทิ้งสมอบนท้องทรายกลางทะเลสาบ ม่อรื่อเกินพี่น้องกำลังแสดงความสามารถ ชายทุ่งหญ้านอกด่านมีความสามารถในการจัดการทำเนื้อแพะเนื้อวัว แพะอ้วนสองสามตัว สองคนใช้มีดสั้นจัดการชำและอย่างรวดเร็ว
บนเรือมีครัวและเครื่องปรุง ตักน้ำมาเริ่มต้มทันที แล้วก็จัดการหาที่ว่าง หาฟืนแห้งมาย่างอีกตัว
พวกลูกเรือทั้งหลายก็หาหม้อมาจับปลาที่ต้มลงต้มด้วย แพะและปลาเข้ากันดี พริบตาบนท้องทรายกลางทะเลสาบก็เริ่มส่งกลิ่นหอมอบอวล ผู้คุ้มกันหวังทงที่เคร่งเครียดมาทั้งวันก็เริ่มผ่อนคลาย ส่งเสียงหัวเราะเฮฮา
เมืองจี่หนิงเป็นเมืองรุ่งเรือง ตอนนั้นยังซื้อสุรามาอีกไหหนึ่ง เพราะบนเรือนี้นอกจากหวังทง คนที่เหลือมีหน้าที่คุ้มกัน ไม่อาจดื่มสุราได้ แม้แต่มองโกลสองคนนั้นก็ต้องเทสุราแรงติดกายในถุงหนังทิ้ง มาถึงแผ่นดินหมิง ที่ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับแดนสวรรค์ก็คือสุราดี ที่ต่างกับสุราบนทุ่งหญ้าราวฟ้ากับเหว ที่นี่มีสุราดีที่หมักจากธัญพืชบริสุทธิ์
“อากาศร้อน เจ้าเอาสุราไหหนึ่งไปแช่ในทะเลสาบ อีกสักพักค่อยเอามาดื่มให้ชื่นใจ”
ได้ยินหวังทงสั่ง ถานเอ้อร์หู่ก็นำไหสุราไปหย่อนลงในน้ำ เขาเองก็แปลกใจอยู่ เมื่อก่อนหวังทงนอกจากในงานเป็นทางที่ไม่อาจปฏิเสธจึงจะดื่ม แต่ท่าวันนี้กลับไม่ปฏิเสธสุราดังเดิม
ยามนี้หวังทงสวมเกราะ มือถือทวนยาว เดินกระดานพาดลงไปบนพื้น จัดการหาที่ว่าง เริ่มฝึกฝนกำลังทีละกระบวนท่า
ที่ทำให้ทหารหนุ่มหลายคนทึ่งก็คือ หวังทงยังคงขยันฝึกฝนอยู่เสมอ ไม่ว่าตอนไหน หวังทงก็ต้องฝึกให้ครบกระบวนตามที่ฝึกฝนในค่าย เขาเป็นเช่นนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่อาจละเลย
ในขณะฝึกก็มีคนตะโกนจากบนเรือ ฟ้ามืดแล้ว ทหารที่คุ้มกันอยู่รอบนอกสุดบนเรือที่จอดอยู่รอบท้องทราย แต่ก็ไม่ได้ไกลนัก พวกเขาส่งสัญญาณเตือน พวกหวังทงมองไปเห็นโคมไฟบนเรืออีกทาง
“ผู้ใดกัน!!?”
บรรดาทหารติดตามอารักขากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที คนบนเรือเริ่มยกกระถางไฟมาส่อง จุดไฟใส่หัวธนูที่น้าวไว้พร้อมยิง การต่อสู้บนผืนน้ำ เรือกลัวไฟที่สุด ใช้ธนูติดไปก็ย่อมได้ผลดี
เสียงฝีเท้าบนระเบียงเรือ พวกทาหรหยิบอาวุธปืนไฟเตรียมพร้อม ทางนี้ตะโกน ทางนั้นกลัลเงียบไปนาน สื่อชีบนหัวเรือตะโกนดังไปอีกว่า
“ยังอึ้งอะไรกัน ยิงมารดามันสิ!!”
หัวธนูหุ้มผ้าชุบน้ำมันไว้ จะได้มีระยะเวลาลุกไหม้นาน ยิงไปที่โคมไฟเรือ ยิงไปปักที่เสากระโดงเรือ สองดอกยิงไป ก็เห็นเรือนั้นแล้วว่าไม่ใช่เรือที่โจรชอบใช้กัน แต่เป็นเรือสินค้าบนคลองส่งน้ำทั้งหมดสองลำ
“ไม่ได้มาร้ายๆ คิดจะมาขอค้างสักคืนเท่านั้น!!”
คนบนเรือสินค้ารีบตะโกนดังลั่น เห็นคนแต่งตัวแบบพ่อค้า กำลังกระโดดเหยงๆ ตะโกนดัง หวังทงเดินไปที่หัวเรือมองดูแล้วกล่าวว่า
“ส่งคนขึ้นเรือไปดู หากไม่มีปัญหาอะไรก็ปล่อยไป คืนนี้จับตาดูให้ดีด้วย!”
เรือขนสินค้าหากจะแอบซ่อนคนสักหลายสิบก็ย่อมทำได้ อย่างไรก็ต้องระวัง หลิ่วซานหลังฟังแล้วก็ส่งทหารติดตามสองสามคนกำชับสองสามคำไปจัดการตรวจสอบบนเรือ
หวังทงกลับปลดเกราะออก เกราะนี้ไม่ใช่ของที่ชาวบ้านทั่วไปจะมีครอบครองได้ ไม่เป็นที่สะดุดตาไว้เป็นดี
แม้ว่าหลายวันก่อนมีคนในวงการนักเลงมาดูลาดเลา ทว่าคืนนี้เรือสองลำนี้ไม่ใช่คนชั่ว เป็นพ่อค้ามาจากเมืองหลินชิง
แล่นเรือบนแม่น้ำ ย่อมแยกแยะความเร็วไม่ได้ เรือนี้ได้เห็นการแสดงยิงธนูของเรือหวังทง เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มานาน ย่อมรู้ว่าพวกหวังทงบางทีอาจเป็นตระกูลใหญ่ออกท่องเที่ยวจึงได้ตามมา แม้ว่าไม่ได้ประโยชน์อันใด แต่อย่างน้อยก็ปกป้องคุ้มครองได้
พอเข้าสู่ทะเลสาบเวยซาน เดิมลงใต้ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ต่อมารู้สึกไม่วางใจ จึงได้กลับมาขอตามไปด้วยดีกว่า
เห็นพวกหวังทงแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองวิเคราะห์ถูกแล้ว ไม่ใช่ตระกูลใหญ่จะมีอาวุธและธนูมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ยังมาย่างแพะกันบนฝั่ง นี่มันออกเดินทางท่องเที่ยวชัดๆ
เรือสองลำเข้าใกล้มาล้วนเป็นเรือสินค้า คนผู้นี้เริ่มมากระโดดเหยงๆ บนหัวเรือก่อน จากนั้นก็บอกว่าตนแซ่เนี่ย เป็นพ่อค้าชาวจี่หนาน
ตอนนั้นพวกหวังทงก็ง้างธนูสอบถามดัง ทางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาใด พอยิงไป ทางนั้นก็ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
บอกว่าตนเองแซ่เนี่ย เป็นพ่อค้าจากซานตง อู๋เอ้อร์กับสื่อชีเข้าไปสอบถาม หลิ่วซานหลังนำคนขึ้นไปเดินวนรอบเรือ เป็นพ่อค้าแซ่เนี่ยไม่ได้ปลอมตัวมาแน่นอน
ชื่อเนี่ยจิน แปลว่าทอง ก็เหมาะสมกับอาชีพ แม้ว่าแต่การแต่งกายก็ไม่ผิด แต่ตัวอ้วนไปนิด
ตามหลักการหวังทง คนที่ดื่มสุราได้มีแต่หวังทงคนเดียว ย่อมหมดสนุก ในเมื่อมีวาสนาได้พานพบกัน หวังทงจึงเชิญเนี่ยจินมาดื่มสุราด้วยกัน
เนี่ยจินย่อมไม่ปฏิเสธ หวังทงมีเนื้อมีปลาครบ เนี่ยจินคว้าไหผักดองออกมาร่วมด้วย นี่เป็นความเคยชินของพ่อค้าบนคลองส่งน้ำขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่ได้มีความสำราญเหมือนพวกหวังทง กินประทังชีวิตก็พอ
นำผักดองติดตัวมา กินกับข้าวเค็มๆ เก็บรักษาง่าย เป็นชีวิตที่ไม่เลว ก็เหมือนชาวเรือหลายคนกินแป้งแผ่นหลายชิ้นกับปลาเค็ม
เทียบกับเนื้อแพะต้มและย่างเช่นนี้แล้ว ผักดองเนี่ยจินก็เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่ไม่เลว เนี่ยจินย่อมไม่ปฏิเสธร่วมดื่มสุรา สองคนก็เริ่มร่ำสุรากัน
เนี่ยจินเป็นพ่อค้าย่อมรู้จักอ่านสีหน้า กิริยาวาจาท่าทางก็ย่อมมีมารยาท หวังทงดื่มสุราไปหลายชาม บรรยากาศก็เริ่มกรุ่นได้ที่
“เถ้าแก่เนี่ย เรือสองลำนี้ขนสินค้าอันใดกัน ตอนนี้ซานตงลงใต้ เดินเส้นทางทะเลไม่สะดวกกว่าหรือ?”
“คุณชายไม่รู้ สินค้าแดนใต้ไปเหนือสะดวกมาก สินค้าเหนือลงใต้กลับยุ่งยาก”
เห็นหวังทงมีสีหน้าสงสัย เนี่ยจินที่เริ่มเมาได้ที่ก็พูดไม่หยุด กล่าวว่า
“ตอนเหนือเปิดเส้นทางทะเล ไม่ว่าสินค้าใต้หรือต่างประเทศ มาถึงเทียนจินก็กระจายออกขายไปทั่ว แต่สินค้าทางเหนือลงใต้ มีแต่ขนเส้นทางคลองส่งน้ำนี่เท่านั้น หากไปทางทะเลก็เท่ากับขนไปขายประเทศวัว ถูกจับมีโทษหนัก ถึงกับตัดหัวเลยนะ”
หวังทงอึ้งไป ทว่าก็เข้าใจความหมายทันที แดนใต้หากเปิดเส้นทางทะเล ทุกคนย่อมขนสินค้าทางทะเลได้ หากไม่เปิดทะเล การค้าทางทะเลก็มีแต่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ได้ส่วนแบ่งไป ตระกูลใหญ่พวกนี้มีอิทธิพลอย่างมาในวงการขุนนาง ย่อมไม่อยากให้เปิดเส้นทางทะเล
เนี่ยจินหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแพะ ส่งเข้าปากไปเคี้ยวตามด้วยสุรา พึงใจถอนหายใจ ยิ้มกล่าวว่า
“บอกให้คุณชายทราบได้เลยว่า ของบนเรือก็แค่ผลผลิตจากเมืองเหลียวโจวกับมณฑลซานซี เป็นหนังและเขากวางเท่านั้น”
“เอาไปขายทางใต้หรือ?”
กำลังคุยกันนั้น หวังทงก็รู้ว่าเนี่ยจินเป็นคนจากเมืองเจียซิง เนี่ยจินส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่ได้ขาย สินค้าบนเรือพวกนี้ก็แค่ของติดๆ มากันเรือล่ม พอถึงเจียซิง ก็ขายๆ ไป ข้าน้อยขายร้านไปแล้ว เก็บเงินกลับบ้านไปก็เท่านั้น”
“ขายร้านไปแล้วเถ้าแก่เนี่ยจะไปทำอะไร หรือว่ากลับจี่หนานไปนอนกินเงินทองที่หามาสบายๆ?”
หวังทงสัพยอก เนี่ยจินโบกมือติด ๆ กัน ยิ้มกล่าวว่า
“ร้านทางใต้ปิดแล้วค่อยไปเปิดร้านที่เทียนจิน เทียนจินเทียบแล้วดีกว่าทางใต้นี่มาก เหมือนว่าการค้ามีโอกาสกำไรมากกว่า”
“แดนใต้ร่ำรวยใต้หล้า เทียนจินเกิดใหม่ เถ้าแก่เนี่ยเหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า!?”
ฟังที่เนี่ยจินเล่ามา หวังทงก็เริ่มสนใจ ดื่มมากไป เนี่ยจินไม่ได้ระวังตัวเหมือนตอนแรก ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยเป็นคนนอกพื้นที่มาทำการค้าที่แดนใต้นี้นับว่าไม่ง่าย การค้าทำไม่ดีก็ขาดทุน ก็เรียกว่าความสามารถด้อยเองโทษใครไม่ได้ แต่การค้าดี ก็ยุ่งยากอีก เจ้าทำกำไรได้ ก็จะถูกพวกตระกูลใหญ่จับจ้อง ต้องหาทางซื้อหน้าร้านเจ้าให้ได้ เจ้าไม่ขายไม่ได้ ไปฟ้องทางก็ก็ไม่มีทางชนะ เจ้าหน้าที่ทางการก็ล้วนเป็นลูกน้องของพวกนั้น เจ้าไม่ขายได้หรือ?”
กล่าวถึงตรงนี้ เนี่ยจินเองก็รู้สึกไม่ดีนัก ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เตรียมการเปิดทางไว้หมดแล้ว ยังมีเรื่องบัดซบได้ เมืองฉางโจวมีวัดผู่หยวน ในวัดมีพระนามว่าไต้ซือผู่หยวน ชอบบอกว่าเด็กบ้านไหนมีวาสนาพุทธะ เห็นแล้วก็จับตัวขึ้นเขาไป หากเจ้าคิดเอาเด็กคืนมา ก็ต้องบริจาคเงินก้อนโต บอกว่าอะไรนะ ไถ่ตัวจากพุทธะ …….ข้าน้อยโชคดี ไม่ได้เจอเรื่องพรรค์นี้ ทว่ากลับมีคนรู้จัก น้องสาวสวย ไม่รู้ว่าถูกตาผู้ใดเข้า เมื่อวานนั่งเรือออกไป ทั้งบ้านก็หายไปทั้งบ้าน บอกว่าราชามังกรรับตัวไปแล้ว เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ ผู้ใดจะไปเชื่อเล่า……”
“ช่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หรือว่าทางการไม่สนใจ?”
เนี่ยจินเล่าได้เปะปะมาก แต่หวังทงกลับฟังรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ราชามังกรรับตัวไป เกรงว่าสิบกว่าชีวิตคงไปหมดแล้ว เด็กมีวาสนาพุทธะ กับลักพาตัวเด็กนั้นต่างอันใดกัน ทางการถึงกับนั่งดูพฤติกรรมเหิมเกริมนี้เฉยเสียได้
“ทางการไม่จัดการ? ตั้งแต่ที่ปรึกษาไปยันมือปราบล้วนเป็นลูกน้องตระกูลใหญ่เสียดได้ พวกเขาพูดจาหากไม่ตรงตามที่ตระกูลใหญ่ต้องการ วาจาพวกเขาก็คงไม่ได้ออกมาจากประตูใหญ่พูดอีก หากยังไม่รู้สำนึก ถูกปล้นไปก็ไม่น้อย….ล้วนบอกว่าแดนใต้เป็นสวรรค์บนดิน นั่นมันของคนตระกูลใหญ่เท่านั้น คุณชายหวัง พวกท่านท่าทางเป็นขุนนางคงไม่รู้ว่า….”
กล่าวถึงตรงนี้ เนี่ยจินกลับดื่มมากไปแล้ว โงนเงนไปมาก่อนจะล้มฟุบไป หวังทงจิบสุรา ยิ้มกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“น่าสนุก….”