องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 836 สังหารโจรง่ายดายยิ่ง
ถูกอู๋เอ้อร์กล่าวว่า ดวงมาแล้ว เหลียงเจี๋ยก็ยังงงอยู่ แต่พอเห็นท่าทางหวังทง ก็พอเดาได้บางส่วน จึงได้หันกลับไปคำนับ
ของฝากก็เป็นพวกผลไม้ตามฤดูกาลกับพวกของแห้งต้มซอส พอขึ้นเรือมา หวังทงก็สั่งการไปก่อนจะเอาแต่นั่งอยู่ในห้องเรือคิดครู่หนึ่ง จากนั้นส่งคนไปตามคนสนิทมาสองสาม
“จะส่งคนมาปล้นฆ่าหรือไม่?”
เฉินต้าเหอกล่าวถึงความเป็นไปได้ก่อน เขาติดตามหวังทงเห็นอะไรมาไม่น้อย เรื่องพวกนี้ไวมาก อู๋เอ้อร์กลับส่ายหน้า กล่าวจริงจังว่า
“หากปล้นฆ่า ไม่ควรจะเลือกเมืองพีโจว บนแม่น้ำหรือทะเลสาบเป็นโอกาสดีกว่า เมืองพีโจวทางนั้นไม่ติดอะไรเลยสักอย่าง
หลิ่วซานหลังเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ใต้เท้า หากเตรียมการไว้ก่อน รู้ว่าใต้เท้าเป็นผู้ใด คงไม่ง่ายเช่นนั้น และก็คงไม่ง่ายที่จะให้ตระกูลเหลียงพบร่องรอย น่าจะไม่ได้มีคนส่งมา”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“น่าจะไม่ใช่ เมืองพีโจวทางน้ำเป็นอย่างไร?”
หลิ่วซานหลังอึ้งไป ออกไปด้านนอกห้องก่อนกลับมากล่าวว่า
“เมื่อครู่ข้าน้อยถามคนเรือ ว่าเมืองพีโจวเป็นเส้นทางแม่น้ำธรรมดา ระดับน้ำไม่สูงมากในเวลานี้ เรือแล่นได้ไม่เร็ว เรื่องอื่นก็ไม่มีอันใดพิเศษ”
“พวกเจ้าคิดว่าคนที่ข้านำมา 120 เป็นอย่างไร?”
“ย่อมเป็นทหารกล้า กอปรกับอาวุธเรากับเกราะเราย่อมเป็นทหารเก่งกล้าอันดับหนึ่งใต้หล้า พี่น้องเราออกสู้กับพวกนอกด่านมาแล้ว ทหารเช่นนี้แม้ว่าทหารส่วนตัวขุนพลแผ่นดินหมิงก็สู้ไม่ได้”
หานกังตอบอย่างมั่นใจมาก หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตอนนี้ยังมีคนกล้านำกำลังกลางวันแสกๆ มาโจมตีเรา หากไม่เคลื่อนกำลังมาทั้งกอง ตลอดเส้นทางนี้ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่ากำลังใครจะคุกคามเราได้”
ทุกคนแสดงสีหน้าเห็นด้วย ทหารกองกำลังหู่เวยเป็นทหารเก่งกล้าระดับใด พวกเขาเองรู้ดี และก็มั่นใจมาก
“เมืองพีโจวไม่ใช่ที่อันตรายน้ำลึกอันใด และไม่ใช่พื้นที่ลอบซุ่มโจมตีอันใด และยังไม่ใช่เคลื่อนกำลังทหารมา ข้าอยากรู้จริงว่า หากซุ่มสังหาร แท้จริงแล้วใช้วิธีการใดสังหารพวกเรา เพื่อเงินหรือมากกว่านั้น พรุ่งนี้ต้องรอดูสักหน่อย จับเป็นมาสักสองสามคน”
หวังทงกล่าวจบ หานกังกับเฉินต้าเหอก็คำนับออกไป หลิ่วซานหลัง สื่อชี อู๋เอ้อร์ สามคนสบตากัน หลิ่วซานหลังกลับกล่าวว่า
“ร่างกายดังทองคำ ไม่อาจนั่งเสี่ยงภัยบนคานฉันใด ท่านโหวตอนนี้สถานะใด พรุ่งนี้อย่างไรก็เป็นที่อันตราย หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน….”
พอพูด แม้แต่เฉินต้าเหอกับหานกังก็เคร่งเครียด รีบกล่าวว่า
“ขอท่านโหวไตร่ตรอง!!”
หวังทงโบกมือ กล่าวว่า
“ที่ควรเตรียมก็ไปเตรียมให้ดี แต่อย่างไรก็ต้องไป นี่เป็นคำสั่ง!”
พอพูดออกไป ทุกคนได้แต่เคร่งเครียด หากก็คำนับตามระเบียบทหาร
***************
เลือกลงมือที่เมืองพีโจวก็พอมีเหตุผล น้ำไม่สูงมาก เรือแล่นได้นิ่งและช้า อีกอย่าง จากอำเภอเพ่ยมาเมืองพีโจวตลอดเส้นทางไม่มีท่าเรือให้เข้าเทียบได้ เรือคิดจะเติมเสบียงใดก็ต้องเข้าเทียบท่าที่เมืองพีโจวเท่านั้น จากนั้นจึงจะลงใต้ต่อหรือพักแรก
ขบวนเรือหวังทงเหมือนไม่ต่างจากเมื่อวาน ยังคงลงใต้ไป ทว่าข้างกายลูกเรือและคนงานทุกคนบนเรือทุกลำ ล้วนมีทหารข้างกายหนึ่งนาย
หากมีการปะทะอาวุธกันจริง บรรดาทหารติดตามย่อมไม่กลัว แต่คนเรือและลูกเรือก็ไม่แน่ บนแม่น้ำ หากเรือสูญเสียการควบคุม ก็ย่อมยุ่งยากยิ่ง
คำนวณว่าก่อนฟ้ามืดจะถึงท่าเรือเมืองพีโจว เดินทางแต่เช้า ตลอดทางระมัดระวังรอบคอบ แม้แต่อาหารกลางวันก็กินแผ่นแป้งกับผักดองบนเรือ แต่มาจนฟ้ามืดเทียบท่าแล้ว ก็ไม่เห็นมีอันใดผิดปกติ
มีความเป็นไปได้หลายอย่าง คนที่คิดลงมือได้เห็นเหลียงเจี๋ยมาแจ้งข่าวเมื่อวาน พวกเขารู้ว่าข่าวเล็ดรอดออกไปแล้ว ไม่กล้าลงมือแล้ว
หวังทงกับลูกน้องรู้สึกผ่อนคลายความระวังลงบ้างแล้ว เรือเทียบท่าสนิทแล้ว ย่อมหาที่ว่างจอดเรือ ถึงตอนนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมาเก็บเศษเงิน ไม่เก็บก็ได้ แต่เจ้าต้องซื้อของพื้นเมืองไปด้วย
“ไปทางนั้นๆ เรือพวกเจ้ามากมายมาอุดอยู่ตรงนี้ อีกสักครู่จะมีเรือทางการมาเทียบท่า!!”
ขบวนเรือเพิ่งเข้าเทียบ บนฝั่งก็มีคนตะโกนดัง พวกหวังทงต้องการที่จอดเรือ เห็นๆ ว่าพื้นที่กว้างพอ และในตอนนี้ประตูเมืองก็ใกล้ปิดแล้ว เรือทางการจะมาเวลานี้ได้อย่างไร
อู๋เอ้อร์กับสื่อชีสบตากัน หลิ่วซานหลังหันเดินเข้าไปในห้องหวังทง พอเข้าไปแล้วออกมาก็พยักหน้า คนเรือก็ไปตามที่ชายบนฝั่งชี้ทางอีกทางหนึ่ง
เมืองพีโจวอยู่ทางตะวันออกของคลองส่งน้ำ เรือที่จอดท่าตะวันออกย่อมมาก ท่าตะวันออกแน่นขนัด มีบางส่วนจอดท่าตะวันตก ทว่าไม่มาก ชายบนท่าตะวันออกแต่งกายเหมือนคนงาน ยังมีเรือเล็ก นำขบวนเรือหวังทงไปอีกทาง ยังตะโกนไปว่า
“เพราะข้าใจดีหรอก หากข้าไม่ใจดี พวกเจ้าคงหาที่จอดไม่ได้ แม้จอดได้ ก็คงต้องถูกเรือไปมาชนเอา”
หัวหน้าคนเรือตะโกนขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ยังควักเงินพวกหนึ่งส่งให้ไป เงินทองแดงพวงหนึ่ง อย่างน้อยก็ซื้อหาเหล้าและเนื้อได้มื้อหนึ่ง สำหรับเจ้าหน้าที่พวกนี้แล้วเรียกได้ว่าเป็นรายไม่เลวแล้ว ทว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้ชั่งน้ำหนักในมือสักครู่ ก่อนจะโยนเข้าอกเสื้อ
หวังทงสวมเกราะพร้อมแล้ว มองไปด้านนอกกล่าวว่า
“เจ้าหน้าที่คนนี้ปลอมตัวมา หรือเป็นเจ้าหน้าที่จริง ?”
“น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จริง เฮ้อ แต่ในสมุดบัญชีรายชื่อทางการไม่มีคนทำหน้าที่นี้ แปดเก้าส่วนคงเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ หรือไม่ก็ญาติเจ้าหน้าที่ทางการ แอบยืมชุดมาหากินที่นี่”
หลิ่วซานหลังรู้เรื่องแนวนี้ดีมาก อธิบายเบาๆ ขึ้น เขาเองก็อยู่ในชุดเกราะ ทว่าเขาเดินไม่สะดวกนัก ขาหนึ่งเดิมควรเป็นแผ่นเกราะจึงใช้เป็นแผ่นหนังแทน หลิ่วซานหลังมองไปทางฝั่งตะวันตกพลางอธิบายเบาๆ
หวังทงยิ้ม ยกดาบพัวเตาในมือขึ้นกล่าวว่า
“หากหวังทรัพย์สินเงินทอง หากได้ก้อนโตไป เขาย่อมมีส่วนแบ่ง เงินก้อนนี้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ก็ยังเรียกว่ามากอยู่”
ทางนั้นก็ช่างบังเอิญ หัวท้ายมีเรือจอดอยู่ เหลือที่ตรงกลางไว้ และตำแหน่งก็พอดีกับให้ขบวนเรือหวังทงจอด
“ทำตามพวกเขาว่าก็พอ!”
พอเรือจอด ก็เห็นเพิงชั่วคราวบนฝั่ง ในเพิงนั้นมีคนแต่งกายแบบพ่อค้าและคนเรือกำลังนั่งพักร่ำสุรากันอยู่ พวกหวังทงจอดเรือเสร็จ ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวผิดปกติใด ไม่นาน ก็มองเห็นฝั่งตะวันออกมีเรือมา เรือพวกนี้กลับไม่ได้เข้าจอดที่ท่า แต่หากมาล้อมอยู่รอบนอกเรือหวังทงและทิ้งสมอ
“อืม ยังมีกลยุทธ์ด้วย รู้ว่าจักใช้เรือบังรอบนอกไว้ ในเมื่อระวังตัวกันเช่นนี้ ก่อนฟ้ามืดน่าจะยังไม่ลงมือ!”
หวังทงกล่าว การคาดเดาเรื่องเป็นดังที่เขาคิด ฟ้าใกล้มืดแล้ว เดิมเรือที่จอดท่าตะวันตกก็ค่อยๆ ทยอยออกไป ไปจอดทางตะวันออก หรือไม่ก็ไปที่อื่น
มีเรือเดียวที่ไม่ขยับ ก็คือเรือที่จอดอยู่รอบขบวนเรือหวังทง พอดีห่อขบวนเรือหวังทงไว้ตรงกลาง เมืองพีโจวเล็กๆ ทุกคนกินอาหารค่ำเสร็จไม่ซื้อของก็ไปพักเร็วหน่อย ฟ้าเพิ่งเริ่มมืด ก็เงียบไปหมด
เพิงบนฝั่งพวกนั้นก็จุดโคมไฟและคบไฟสว่าง แขกด้านในก็เหลือไม่มากแล้ว มีคนขี่ม้ามาจากอีกทาง วิ่งมาทางเพิงแล้วก็ตะโกนสองสามคำ คนในเพิงก็พากันยืนขึ้น
“ท่านโหว ด้านนอกเรือมีคนออกมาแล้ว!”
มีคนรายงาน หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“พอพวกเขาเดินมา ก็ให้ตะโกนตามที่บอกไว้ก่อนหน้า”
ตามคาด คนในเพิงนั้นเดินมาทางนี้ เรือรอบนอกพวกนั้นก็มีคนเดินออกมาจากท้องเรือ ล้วนเป็นชายมีอาวุธในมือ ดูแล้วไม่เหมือนโจรกระจอก เพราะถือดาบยาวและขวานสั้น ถึงกับมีหอกสั้นยาวห้าฉื่อ คนในเพิงพักหลายคนก็เหมือนมีธนูในมือ
“พวกเจ้าคิดทำอะไร นายท่านเราเป็นขุนนางใหญ่หังโจว นายน้อยเราเป็นขุนนางมีตำแหน่ง !”
ชายที่เดินมาพวกนั้นระเบิดเสียงหัวเราะฮาลั่น ฝีเท้ากลับไม่หยุด มีคนยิ้มกล่าวว่า
“หากไม่มีตำแหน่งจะมีเงินทองได้อย่างไร บนเรือมีคุณหนูอรชรอ้อนแอ้นไหมเล่า!”
หวังทงในห้องเรือพยักหน้า กล่าวว่า
“สังหารได้!”
กล่าวจบก็คว้าดาบพัวเตาวิ่งไปที่หัวเรือ เขาไปที่หัวเรือ เรือข้าง ๆ ก็มีคนสองคนโดดข้ามมา พอเห็นคนในชุดเกราะพร้อมดาบใหญ่ ก็อึ้งค้างทันที หวังทงถอยไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะรอให้สองคนถึงพื้นเรือ ดาบก็แทงเข้าไปที่คนหนึ่ง ก่อนจะชักออกมาฟันไปอีกคนหนึ่ง อีกคนยกดาบกันไว้ แต่ก็ถูกหวังทงฟันแขนทิ้ง ยังไม่ได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวด ดาบก็ฟันเข้าอีกทีแยกหน้าอกออกเป็นสองท่อน
“ลงมือ!!”
คนบนเรือกับบนฝั่งได้ยินวาจานี้ก็ได้สติรีบเร่งฝีเท้า แต่มีคนรู้สึกผิดปกติ นี่ไม่ใช่เสียงตะโกนทางฝั่งตน
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น เรือที่จอดอยู่เทียบท่า มีคนสวมเกราะพร้อมดาบใหญ่ทาวนยาวราวกับนักรบทยอยกันขึ้นฝั่ง ยังมีคนว่องไวก้าวขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ
นี่มันอะไรกัน ทุกคนตกใจจนก้าวขาค้าง ได้ยินเสียงเฟี้ยวๆ แหวกอากาศมา เสียงร้องโหยหวยเริ่มดังจากคนบนฝั่ง
“เป็นผู้ใดกัน ถึงกับมีธนูได้!”
“หยุดก่อน ๆ พี่น้องอย่าได้สังหารคน พวกเจ้าจับตาพวกพลธนูไว้ก็พอ!”
หานกังตะโกนดัง ยกทวนยาวในมือขึ้นแนวราบ ก้าวเท้าบุกขึ้นไป บรรดาทหารติดตามหวังทงก็ตามไป การต่อสู้บนเรือนั้นง่ายมาก หวังทงฟันไปสองที ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาอยู่หน้าเขาอีก ซาตงหนิงร่างผอมตัวเล็ก ก็มีหลายคนคิดเข้าไปเอาเปรียบ
ปรากฏซาตงหนิงใช้ดาบฟันไปสอง แทงไปอีกสอง คนที่ห้าไม่กล้าลงมือต่อ หันไปโดดลงน้ำไป โผล่หัวขึ้นมา ก็ถูกหลิ่วซานหลังเขวี้ยงขวานจามหัวแบะ หวังทงอยู่บนเรือได้แต่ส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“นี่มันพวกสวะหรือไง?”