องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 837 พ่ายแพ้ราวไก่ราวสุกร
การต่อสู้เช่นนี้หากเรียกว่าสังหารก้องฟ้าก็เหมือนจะเกินไปสักหน่อย เริ่มแรกสุดหวังทงสังหารไปแค่สอง ก็ไม่มีอันใดให้เขาทำต่อแล้ว
การปะทะกันบนเรืออื่นก็ง่ายดายมาก คนเรือกับลูกเรือไปหลบกันใต้ท้องเรือทันที องครักษ์ของหวังทงในชุดเกราะพร้อมอาวุธก็สังหารศัตรูที่กรูกันมาทิ้งราวกับตัดไม้
เรียกว่าสังหารหมู่ก็ไม่เหมาะ เพราะโจรที่มาถืออาวุธเหมือนกัน เรียกว่าปะทะกันดีกว่า องครักษ์ของหวังทงเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมสุด ทหารข้างกายหวังทงห้านายเบียดตัวเข้าหากันก็เพื่อล้อมหวังทงไว้ เกรงว่าหากเกิดเหตุผิดพลาดใดขึ้น แต่ดูท่าแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดแล้ว
เรือแต่ละลำยกโคมไฟขึ้นสูงเพื่อให้สนามต่อสู้กันสว่างยิ่งขึ้น เริ่มแรกหวังทงกังวลว่า ถูกโจมตีบนเรือ ศัตรูจะลงมือจากใต้น้ำ หรืออาจคว่ำเรือได้ พวกหวังทงแม้ว่าว่ายน้ำเป็น แต่การต่อสู้กลุ่มใหญ่อย่างไรก็ไม่ถนัด ย่อมต้องยุ่งยากมากแน่
คิดไม่ถึงว่าศัตรูเพียงแค่ใช้เรือประชิด จากนั้นก็โดดข้ามมาปะทะ ใต้หล้าทหารราบรบกันอย่างไร การต่อสู้รูปแบบนี้ กองกำลังหู่เวยไหนเลยจะกลัว ทหารติดตามหวังทงออกไปเรียงแถวประจันหน้า
ทางซาตงหนิงกับหลี่เสี่ยวเปียวสู้ได้ดุเดือดที่สุด เริ่มแรกสองมือซาตงหนิงถือดาบยาว ระมัดระวังมาก หลี่เสียวเปียวก็ถือทวนสั้นคอยช่วยข้างๆ
แต่พอสังหารไปได้สองสามคน ซาตงหนิงกลับเปลี่ยนเป็นดาบยาวในมือหนึ่ง ดาบสั้นในมือหนึ่ง สองมือประสานกำลัง นี่เป็นวิธีการต่อสู้ของดาบประเทศวัว ดาบยาวล่อศัตรู ดาบสั้นใช้แทง ใช้การบนเรือได้เหมาะมาก แต่ก็ต้องมั่นใจมากจึงจะทำได้ ฝีมือดาบซาตงหนิงยังไม่ได้สูงเช่นนั้น ยามนี้กล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะศัตรูอ่อนแอเกินไปนั่นเอง
พอเปลี่ยนเช่นนี้ ก็มีสองคนถูกดาบสั้นแทงเข้าที่ท้อง ร่วงลงจากเรือ เดิมซาตงหนิงกับหลี่เสี่ยวเปียวเป็นพวกที่อ่อนแอที่สุดในทหารติดตามหวังทง โจรพวกนี้ก็รู้จักจะเอาเปรียบ คนไม่น้อยบุกมาทางนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเจอตอ ถูกสังหารร่วงราวกับใบไม้ร่วงเช่นกัน
การปะทะมีผลแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว พวกโจรที่เคลื่อนไหวเร็วก็รีบพากันหนีเอาตัวรอดโดดจากเรือกันจ้าละหวั่น แต่ก็กลับมีพลธนูเดินมาตะโกนให้เพื่อนทหารยกเสาโคมส่องให้สูง แล้วก็เริ่มยิง หวังทงเดินมาดู โจรพวกนี้เหมือนว่าไม่ได้เก่งทางน้ำเท่าไร
ไม่ได้มีความสามารถที่จะโดดลงน้ำแล้วดำไประยะหนึ่ง แต่กลับโผล่หัวขึ้นทันที จากนั้นก็ย่อมได้แต่ถูกธนูยิงแบบนับหัวเรียงตัว เห็นเพื่อนที่โดดลงน้ำแล้วไม่รอด โจรที่เหลือก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ได้แต่ตะโกนร้องขอชีวิต
หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จับตัวมาสอบปากคำ ระวังด้วย”
สั่งการไป ก็ถือดายไปอีกทาง เดินไปก็บอกหลิ่วซานหลังข้างๆ ไปว่า
“หากคิดร้ายกับข้า หากคนฝีมือแค่นี้มาเกรงว่าดูแคลนข้าไปสักหน่อยแล้ว หรือว่าพวกเขาคิดว่าความเชี่ยวชาญชำนาญศึกข้านั้นใช้แค่คนฝีมือเท่านี้ก็ได้กัน?”
หลิ่วซานหลังหัวเราะตาม กลับไม่กล้าลดความระวัง ยังคงบังตัวอยู่หน้าหวังทง เดินไปมองซ้ายขวาไป ระมัดระวังอย่างมาก
การปะทะอีกทางไม่ได้ต่างจากทางนี้นัก หากจะบอกว่าไม่มีอันใดเหมือนก็คงเป็นทางบกหนีง่ายกว่าทางน้ำเท่านั้น โยนอาวุธทิ้งใส่ตีนสุนัขมุดรูหนูหนีกันทันที หนีเข้าไปในโรงบ้านชาวบ้านก็ยากจะจับตัวได้
เพิงทางนี้ก็มีชายพร้อมอาวุธมาจากสี่ทิศราวร้อยกว่าคน ทางหวังทง หานกังกับอู๋เอ้อร์สองคนนำกำลัง 30 กว่านายออกรับมือ เฉินต้าเหอกับเป้าเอ้อร์เสี่ยวถือธนูอยู่ท่ามกลางกลุ่มนี้
ทหารราบชุดเกราะสามสิบกว่าออกมาสู้ พวกมือธนูโจรยังไม่ได้ลงมือ ก็โยนอาวุธวิ่งหนีกันไปแล้ว ที่เหลือบุกเข้ามา ก็ต้องอึ้งไป ก่อนจะได้สติแกว่งดาบเข้าสังหาร แต่อาวุธก็ไม่อาจแตะต้องอีกฝ่ายได้ ได้แต่ถูกอีกฝ่ายกำจัดทิ้ง ยิงทะลุเลือดเนื้อ ส่งเสียงร้องโหยหวนดัง
หานกังกับอู๋เอ้อร์ไม่ได้รู้สึกลำบากอันใด ได้แต่รู้สึกว่าตนเองวิ่งไปหั่นแตงหั่นผักไปตลอดทาง
ที่ทำให้โจรกลุ่มนี้ต้องหนาวใจก็คือ อีกฝ่ายในชุดเกราะแต่กลับวิ่งได้เร็วกว่าพวกเขาอีก วิ่งตามมาทัน นอกจากสองสามคนที่หนีไปได้ ที่เหลือก็หนีไม่พ้น
โจรพวกนี้หากสามารถฝึกฝนร่างกายทุกวันได้ มีอาหารที่เพียงพอได้ มีอาวุธชุดเกราะชั้นดีได้ ก็คงไม่ถูกจัดการอย่างกับกระสอบหญ้าเช่นนี้ กองกำลังหู่เวยฝึกหนักทุกวัน หากสวมเกราะแล้ววิ่งไม่ไหว ก็ย่อมไม่ต้องมั่นใจในอันใดแล้ว
“นายท่าน พวกข้าน้อยยากจน ไม่มีทางไปจึงได้ทำเช่นนี้!”
“นายท่าน ข้าน้อยมีมารดาอายุ 80 ลูก 3 ขวบ……”
พอเห็นว่าหนีไม่รอด ชุดเกราะอีกฝ่ายยังอาบไปด้วยเลือดสดๆ กลางคืนดึกดื่นก็ราวกับปีศาจ โจรพวกนี้ก็ปฏิกิริยาไวอยู่ พากันรีบคุกเข่าลง รีบเริ่มส่งเสียงร้องไห้ขอชีวิต
พวกหานกังและอู๋เอ้อร์ก็งง เดิมคิดว่าจะได้สังหารกันเต็มที่สักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะจัดการจบเร็วเช่นนี้ หานกังเปิดหมวกขึ้น ตะโกนไปว่า
“อย่าเอาแต่จับตาวงนี้ ไปดูรอบๆ ยังมีศัตรูเหลืออีกไหม!!”
“เศษสวะพวกนี้ไม่เหมือนว่าเป็นโจร!”
หานกังตะโกนออกไปด้านนอกและยังกล่าวกับอู๋เอ้อร์ข้างๆ อู๋เอ้อร์พยักหน้า ยกดาบในมือวางพาดตบข้างหน้าอย่างแรง ทำให้คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นโดนเต็มแรง ด่าไปว่า
“อย่าคิดลูกไม้ หรือยังคิดว่าไม่กล้าสังหารพวกเจ้า?”
พอถูกด่าก็ตกใจ พวกโจรก็พากันโยนมีดสั้นที่พกไว้ในตัวออกไปกันหมด อู๋เอ้อร์หันไปกล่าวว่า
“หากเป็นโจรลงมือ ย่อมไม่มองตาค้างกันเช่นนี้ และดูคนพวกนี้แล้ว ไม่มีพวกดูเลวร้ายรับไม่ได้ ทุกคนก็เหมือนๆ กัน จับอาวุธก็เหมือนกัน บุกเข้ามาก็บุกพร้อมกัน ก็พอมียุทธวิธี”
“พวกเศษสวะนี้ อู๋เอ้อร์พูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะใช่นะ แต่ตอนสู้กันทำไมเหมือนกระสอบหญ้าได้”
หานกังถามอึ้งๆ อู๋เอ้อร์ส่ายหน้า ยิ้มสัพยอกกล่าวว่า
“ไม่ใช่อวดตัวเองนะ พวกเราถูกท่านโหวฝึกมา ไปที่ไหนในใต้หล้าก็ไม่ด้อย เทียบเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อาจสู้เราได้”
กล่าวอยู่นั้น ทางหวังทงก็ลงจากเรือ ทหารบนเรือก็จับตัวเชลยโยนขึ้นฝั่ง หวังทงขมวดคิ้ว ถามว่า
“ดูบนฝั่งพวกนี้ก็เละเทะไม่ได้เรื่อง ไร้สามารถ ทั้งหมดมีโจรมากันเท่าไร?”
“บ้างก็ตายในน้ำนับไม่ได้แน่นอน ก็น่าจะราว 150 -170”
ได้ยินหลิ่วซานหลังตอบ หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“เราทั้งหมด 120 อีกฝ่ายส่งมา 170 ยังเป็นดังเศษสวะ ทำอะไรเราได้ ช่างน่าสงสัยมาก เริ่มสอบปากคำได้ ผู้ใดส่งพวกเขามา มาทำอะไร ไม่พูดก็สังหารทิ้งไปเลย!”
ทหารรับคำสั่ง หวังทงยืนบนฝั่งมองไปรอบทิศ เงียบมาก ไม่มีความผิดปกติใด
การสอบปากคำก็ง่ายมาก พวกโจรที่คุกเข่าบนฝั่งตกใจขวัญหนีดีฝ่อ พอถามก็พรั่งพรูราวกับถั่วเทออกจากระบอกไผ่
คนพวกนี้เป็นพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือทางการทำหน้าที่ตรวจสอบการค้าเกลือ มีไว้ตรวจดูการลอบขนเกลือเถื่อน เมืองพีโจวเป็นพื้นที่แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ การค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ร่ำรวยสุดในใต้หล้า ทุกปีเป็นแหล่งนำส่งเงินเข้าท้องพระคลังหลวงที่สำคัญ แต่การค้าเกลือเถื่อนไม่อาจเก็บภาษีได้ พื้นที่ค้าเกลือก็ย่อมมีพวกค้าเกลือเถื่อนมาก ดังนั้นทางการรอบ ๆ แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ก็ย่อมแอบส่งคนมาตรวจสอบไม่น้อย
ฉากหน้าเป็นเช่นนี้ แต่ใต้หล้านี้ผู้ใดก็รู้ว่าพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือก็คือพวกค้าเกลือเถื่อน พวกค้าเกลือเถื่อนที่รุนแรงที่สุดก็คือคนพวกนี้นั่นเอง ลูกน้องพวกเขามักจะเลี้ยงแต่พวกโหดเหี้ยมราวกับหมาป่าเอาไว้เพื่อใช้คุ้มครองการค้าเกลือเถื่อนของตน ยังมีการสมคบกับพวกค้าเกลือเถื่อนกลุ่มอื่นอีก อิทธิพลการค้าริมสองแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นั้นมาก แม้ว่าเกิดเรื่องใด ก็มักจะปกปิดไว้ได้
การค้าเกลือเถื่อนทำกำไรไม่น้อย พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือย่อมไม่ใช่คนดีอันใด ไม่รู้ใครออกอุบาย เริ่มสมคบกับโจรทางน้ำ เริ่มสมคบกันสังหารคนชิงสินค้า
บนคลองส่งน้ำมีคนดูต้นทางลาดเลาก่อน แต่กลุ่มการค้าบนคลองส่งน้ำใช่ว่าจะทำการค้านี้ คนที่ต้นทางมามักขายข่าวให้กับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ จากนั้นพวกนี้ก็จะสร้างสถานการณ์มาสังหารที่เมืองพีโจว ถึงตอนนั้นค่อยแบ่งสรรกำไรกัน
พวกโจรย่อมไม่แตะต้องเรือทางการ พวกหวังทง คนที่สายตาแหลมคมย่อมดูออกว่าเป็นทางการปลอมตัวมา แต่พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือที่เมืองพีโจวกลับไม่กลัว พวกเขากลับรู้ว่ายิ่งเป็นเรือทางการก็ยิ่งมีสินค้าทรัพย์สินมาก และพวกเขาอย่างไรก็เป็นทางการเช่นกัน ย่อมเข้าใจกันดี ทางการพวกนี้ ปล้นแล้วก็ปล้นไป ถึงตอนนั้นก็ส่งคนไปสังหารให้หมด เรือก็จัดการให้ดี ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องที่เมืองพีโจว และก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าพวกหน่วยตรวจค้าเกลือจะทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้
“…….หวังทงเป็นใคร?”
ย่อมสอบปากคำว่าเกี่ยวกับหวังทงหรือไม่ ผู้ใดจะคิดว่าพอถามไป กลับถูกคนถามกลับ ไม่รู้จริงๆ ดูท่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหวังทง
“ช่างเหิมเกริมเทียมฟ้า บ้าระห่ำเสียสติ น่าประหลาดใจสิ้นดี!”
หวังทงส่ายหน้าพูดสำนวนสัมผัสทีเดียวสามสำนวน ดูท่าแล้วเป็นแค่โจรที่หวังเงินทองอย่างเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสถานะผู้แทนพระองค์ ขณะพูดอยู่นั้น บนเสากระโดงเรือก็ตะโกนลงมาว่า
“ท่านโหว ฝั่งตรงข้ามส่งสัญญาณมา!!”
หวังทงหันไปมอง เห็นเมืองพีโจวที่เงียบแล้วกลับมีคบไฟหลายอันจุดขึ้น และยังได้ยินทางนั้นตะโกนมากำลังจะมาตรวจสอบเรืออีกฝั่ง
เดิมเชลยที่ถูกควบคุมนั้นกำลังร้องไห้หวาดกลัว พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอีกฝั่ง ก็พากันตื่นเต้นยินดี มีคนที่เมื่อครู่ยังร่ำไห้ ตอนนี้กลับตะโดนได้ใจดังว่า
“รีบปล่อยพวกข้าไปนะ เดี๋ยวจะให้พวกเจ้าได้ไปสบายเร็ว….”
“ใครส่งเสียงฟันทิ้งเลย!”
หวังทงสั่งเสียงเย็น ทหารติดตามถือดาบเดินเข้าไปในกลุ่มเชลย ยกดาบฟัน ทางนั้นก็พากันเงียบทันที หวังทงกล่าวว่า
“ทุกลำทิ้งไว้หนึ่งคน เรือเตรียมขึ้นใบเรือไว้ ที่เหลือตามข้าไปปลายน้ำ นำปืนไฟไปด้วย!!”
หวังทงสั่งการเสียงเย็น ทหารรับคำสั่งดัง แต่ละคนวิ่งออกไปจัดการ ตะโกนบอกคนบนฝั่ง ทางนั้นมีแต่เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงฝีเท้า แม้ว่าอีกฝ่ายมีคนมากกว่า หวังทงกลับไม่รู้สึกร้อนใจสักนิด
พื้นที่เขตปกครองใต้เล็กๆ ถึงกับมีคลื่นลมแรงเช่นนี้ได้