องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 838 เละเทะไปหมด
ลำน้ำไม่ได้กว้างนัก ฝั่งตะวันออกเกิดเรื่อง ฝั่งตะวันตกก็รู้ได้อย่างรวดเร็ว บนเรือไฟสว่าง คนบนเรือทางนั้นกลับเป็นพวกแต่งกายแบบทางการ เรือทางนั้นห่างจากฝั่งไม่กี่ก้าว ทหารบนเรือก็ย่อมไล่ทหารลงน้ำไป จะได้ขึ้นฝั่งได้เร็ว
โดดลงไปห่างจากฝั่งอีกหลายก้าว ขุนพลทหารบนเรือก็เร่งให้พลทหารโดดลงน้ำ จะได้รีบขึ้นฝั่งได้เร็ว
โดดลงไปทว่าน้ำแค่เอว ลำบากก็แค่ตอนขึ้นฝั่ง ฝั่งตะวันตกเสียงสังหารดังไปทั่ว พอทหารฝั่งตะวันออกขึ้นฝั่งมา ทางนี้ก็เงียบไปแล้ว
บรรดาทหารถูกปลุกมากลางดึก ชุดเครื่องแบบที่ใส่ก็เปียกไปตอนลงน้ำ บนฝั่งมียุงไม่น้อย คนจะทนไหวได้อย่างไร ก็ย่อมยืนกันไม่เป็นกอง ได้แต่หาทางเดินไปริมฝั่ง
ริมฝั่งมีกองไฟจุดไว้หลายกอง เดิมที่เพิงก็ยังมีโคมไฟแขวนไว้อยู่บนราวไม้ เพิงพังไปหมด เก้าอี้โต๊ะม้านั่งก็ไม่เห็นแล้ว
ทหารบนฝั่งเละเทะไปหมด เอาแต่มองหาที่เย็นๆ ยืนหลบ ไม่มีใครสนใจทางนี้จะทำอะไร ยังมีคนท่าทางเหมือนนายกองร้อยมองไปยังศพทางนั้น แล้วก็อึ้งไป เห็นแต่รอยเลือดบนพื้นกับซากศพ อดไม่ได้หนาวสันหลังขึ้นมา ตะโกนขึ้นว่า
“ใต้เท้าอี้ คนทางนี้ดีไม่ดีถูกสังหารไปหมดแล้ว!”
เมื่อครู่อยู่บนแม่น้ำก็เห็นศพลอยแล้ว เดิมคิดว่าบนฝั่งอาจยังมีคนรอด แต่ก็ยังเป็นศพกองทั่วบริเวณ อดไม่ได้นับจำนวนดู ได้แต่ตะโกนโหวกเหวกนับดัง
เรือสองสามลำสุดท้ายเข้าเทียบท่า ทหารแต่งกายเรียบร้อยและร่างกายแข็งแรงก็ลงจากเรือ ชายร่างอ้วนพุงโตถูกประคองลงมาจากเรือ
ชายร่างอ้วนสวมชุดนายกองพัน สีหน้าโมโหมาก กล่าวว่า
“โจรเล่า!?”
บนฝั่งทหารนับพันได้ยินนายกองพันอี้ผู้นี้ตะโกนดัง ก็เริ่มมองซ้ายมองขวา คิดหา ‘โจร’ ที่ว่า แต่มองไปรอบๆ กลับเห็นแต่ด้านหน้าพื้นที่ที่พวกเขาขึ้นฝั่งมามีกำแพงเตี้ยๆ อยู่
กลางดึกเช่นนี้มองอันใดไม่เห็นกระจ่างนัก มองดูให้ดี ก็เหมือนว่าใช้เพิงกับโต๊ะเก้าอี้ก่อขึ้น หรือว่า ‘โจร’ อยู่ทางนั้น ทุกคนคิด แต่ไม่มีคนอยากไปดู
“ยืนเซ่อกันทำไมเล่า ส่งคนไปดูสิ!”
นายกองพันอ้วนตวาดด่าดัง กำลังตวาดนั้นก็ได้ยินเสียงด้านหลังกำแพงเตี้ยๆ มีคนตะโกนขอความช่วยเหลือดังมาว่า
“ขุนพลอี้ช่วยด้วย……”
กล่าวจบ ก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน ทหารที่ขึ้นฝั่งก็ไวพอ กระชับอาวุธในมือ ทว่าทุกคนไม่อยากก้าวไปดู พากันถอยหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว พอได้ยินเสียง ‘ตูม’ ก็พบว่ามีคนถอยหลังไม่ดี ลื่นหล่นลงน้ำไป
พอได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย นายกองพันอี้ก็ร้อนใจทันที ตะโกนดัง
“โจรอยู่ทางนั้น รีบไปทางนั้นเร็วๆ !!”
พอเขาตะโกนดัง ทหารข้างกายก็จะส่งทหารไปดู พวกนายกองร้อยที่ถูกเรียกชื่อก็ไม่อยากนำทหารไปกัน เดินไปได้สิบกว่าก้าว ก็ช้าลงเรื่อยๆ ให้ทหารข้างกายโยนคบไฟเข้าไปดู ยังให้พลธนูยิงธนูติดไฟเข้าไป
มีไฟจากโคม ทางนั้นสว่างขึ้นมาหน่อย เห็นว่ามีร้อยกว่าคนอยู่หลังกำแพงเตี้ยนั่น ด้านหนึ่งของกำแพงเตี้ย มีคนของหน่วยงานค้าเกลือหลายสิบคนถูกมัดอยู่
เห็นคนทางนี้น้อย ความกล้ากองพันทหารก็เริ่มมากขึ้น ไม่รอให้นายสั่งก็บุกเข้าไปแล้ว
บุกไปได้หลายสิบก้าว ก็มีเสียงปืนไฟดังหนาแน่นขึ้น พวกที่อยู่ด้านหน้าล้มลงทันที ถึงกับมีปืนไฟ คนด้านหลังพากันรีบหยุด แต่ด้านหลังก็ยังเบียดมา ทำให้อย่างไรก็ยังเดินหน้า เละเทะไปหมดกว่าจะหยุดได้ ปืนไฟดังอีกแล้ว
มีคน 20 กว่าล้มลง ที่เหลือก็ไม่กล้าขึ้นหน้าอีกแล้ว เสียงเอะอะโหวกเหวกดังขึ้นก่อนหันหลังวิ่งหนีทันที
************
“ดูท่าพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือกับทหารสมคบกันเพื่อสังหารชิงทรัพย์แล้ว!”
หวังทงกล่าว มือถือดาบใหญ่ลุกขึ้นยืนหลังกำแพงเตี้ย พลทหารส่วนตัวสามสิบพร้อมปืนไฟบรรจุพร้อม หวังทงมองไปยังตรงหน้าที่มีแต่คนทางการไร้ระเบียบ ออกคำสั่งว่า
“ทุกคนบุกเข้าไป จัดการทหารเหลวไหลพวกนี้ลงน้ำให้หมด!”
ทุกคนรับคำสั่งพร้อมกัน หวังทงไม่กล่าวมากความ หากเดินออกจากกำแพงไม้ ทหารติดตามแม้ว่าร้อยกว่าคน แต่รับมือบนฝั่ง การเคลื่อนไหวก็ยังระมัดระวังอย่างมาก
พวกอู๋เอ้อร์กับหานกังถือทวนยาวเดินอยู่หน้าสุด พลปืนไฟแยกเป็นสองปีก ทหารที่เหลือล้อมรอบหวังทงไว้เป็นรูปกรวยแหลม
ทหารนายกองพันอี้กำลังคุมสถานการณ์กลุ่มทหารที่ไร้ระเบียบวุ่นวาย ไม่คิดเลยว่าทหารร้อยกว่าเมื่อครู่จะมุ่งมาทางกองพันทหาร
“บุก!!”
หวังทงออกคำสั่ง ทหารทุกคนยกอาวุธราบ ก้าวเท้าเดินหน้า แสงไฟกระทบตา ทหารบนฝั่งจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดเกราะนักรบ เสื้อเกราะกระทบกันส่งเสียงดัง ฝีเท้าก็หนักแน่นพร้อมเพรียง บารมีข่มนี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ปืนไฟยิงพร้อมกัน เสียงร้องดังโหยหวน ล้มระเนระนาด บรรดาทหารติดโยนปืนไฟไปคว้าดาบขึ้นมาเข้าปะทะกับกองทหารใหญ่
ทหารพันกว่านายเริ่มเละเทะไม่เป็นรูป ทหารติดตามนายกองพันอี้ยามนี้ไม่อาจทำอันได้ ได้แต่ป้องกันนายกองพันอี้ขึ้นเรือ ตะโกนให้เรือออก
ทหารแข็งแกร่งร้อยนายปะทะทหารอ่อนแอพันนาย ที่จริงแล้วทหารร้อยนายนี้ปะทะทหารทีละร้อยนาย ตีพ่ายไปร้อยนาย ก็ตีพ่ายอีกร้อยนาย เป็นเช่นนี้ไปจนหมด
ทว่าทหารทางการพวกนี้สู้ไม่ไหว ทวนยาวหานกังกับอู๋เอ้อร์แทงใส่ไปสองคน ทั้งขบวนก็แตกพ่าย ทิ้งอาวุธหนีตายกันจ้าละหวั่น กระจัดกระจายกันไปรอบทิศ คนส่วนใหญ่เบียดหน้าเบียดหลังไปทางแม่น้ำ ถึงกับมีคนลงมือสังหารกันเอง
เดิมพวกหวังทงเตรียมสังหารใหญ่อยู่ก็ถึงกับงง เดิมคิดว่าพวกโจรนี่มาเพราะหวังทง แต่เห็นทหารพวกนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าโจรเป็นเพียงเหยื่อล่อ แต่ทหารพวกนี้ก็เป็นพวกขยะ หรือว่าทั้งเรื่องนี้ก็แค่ทหารและโจรสมคบกัน เพื่อหวังสังหารชิงทรัพย์เท่านั้น?
“เสียงฝีเท้าม้า!”
มองโกลสองคนที่ลงจากเรือมาก็ตะโกนขึ้น ก้มตัวลงฟังเสียงที่พื้นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นกล่าวว่า
“แถวนี้พื้นดินชื้น ข้าน้อยเดาจำนวนได้ไม่แน่นอน แต่ไม่น้อยกว่า 400!”
พอได้ยินจำนวนเช่นนี้ ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่สนใจทหารทางการที่ร้องเรียกหาบิดามารดากันแล้ว หวังทงขมวดคิ้ว หรือว่านี่เริ่มสังหารของจริง แต่ไม่น่าใช่ ปากกลับกล่าวว่า
“ขึ้นเรือ บนบกพวกเรารับมือ 400 คนลำบาก ขึ้นเรือ พวกเขาทำอะไรเราไม่ได้!”
ลูกน้องรับคำสั่ง จับหัวหน้าโจรสองสามคนนำขึ้นเรือไปด้วย ทางการอยู่อีกด้าน ถึงกับไม่มีคนกล้าขวางทาง
ดีที่เรือแต่ละลำทิ้งทหารไว้หนึ่งนาย ไม่เช่นนั้นการสังหารบนฝั่งคงตกใจจนแล่นเรือหนีกันไปแล้ว พอพวกหวังทงขึ้นเรือมา ทางนั้นก็มีเสียงม้ามา เห็นหลายร้อยมุ่งมาทางท่าริมฝั่ง ทหารม้ามาจากทางตะวันตก
หากซุ่มโจมตี ย่อมไม่อยู่ดีๆ ก็ชักธงแล่นเรือมาจากฝั่งตะวันออกข้ามแม่น้ำมา ดังนั้นหวังทงจึงงุนงงอย่างมากกว่าทหารพวกนี้มาทำไมกัน ทหารม้าอยู่ฝั่งตะวันตก เป็นพื้นที่ราบ ก็อาจกำลังรอซุ่มโจมตีได้
คนก็ขึ้นเรือหมดแล้ว เรือเรียงแถวหน้ากระดาน อยู่กลางลำน้ำ จากนั้นก็เริ่มยกใบเรือ ไปได้ไม่ไกล ก็มีทหารม้ามาถึงริมฝั่ง มีคนชูคบไฟแกว่งไปมาบนฝั่งตะโกนว่า
“ติ้งเป่ยโหวอยู่บนเรือไหม ขุนพลเมืองสวีโจวเปาหรูซานรับคำสั่งมาขอพบ!!”
หวังทงบนเรือ ทหารทุกคนถือปืนไฟกับธนูไว้เตรียมพร้อมบนเรือ พอได้ยินริมฝั่งตะโกน ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด
“ท่านโหว ข้าน้อยซุนอี้ นี่คือใต้เท้าเปากับลูกน้องรับคำสั่งมาจริง!”
*****************
อำเภอเพ่ยได้ข่าวมาว่า หวังทงเตรียมการสองอย่าง หนึ่ง เดินทางอย่างระมัดระวังไปทางเมืองพีโจวดูว่าเป็นผู้ใดใจกล้าเหิมเกริม สอง ส่งคนไปเมืองสวีโจวขอกำลังเสริมมาช่วย
อย่างไรก็มีสถานะเป็นผู้แทนพระองค์ มีคนคิดจะสังหารผู้แทนพระองค์ยามเดินทางลงใต้ ไม่ว่าเพื่ออันใด หรือมีแผนร้ายใด ไม่รู้ก็แล้วไป หากรู้แล้ว และหากเกิดเรื่องอันใดจริง ก็ย่อมมีโทษหนัก
เมืองสวีโจวเป็นพื้นที่สำคัญ แต่ไรมาก็มีทัพใหญ่ตั้งอยู่ จดหมายหวังทงไปถึง ผู้ว่าเมืองสวีโจวย่อมไม่อาจคิดอันใดมาก ได้แต่ต้องเร่งส่งขุนพลคุมกำลังมา เปาหรูซานได้รับข่าว ทั้งด่าว่าผู้ใดไม่มีตาคิดปล้นติ้งเป่ยโหว ไม่อาจสนใจระเบียบ ได้แต่ รวบรวมกำลังคนตน เร่งเดินทางมาพีโจวทันที
หากไม่ใช่ว่าทหารติดตามซุนอี้ก็อยู่บนฝั่งตะโกนมา หวังทงคงไม่จอดเรือ แต่แม้เช่นนี้ เรือก็ยังไม่เข้าเทียบท่า สองฝ่ายตะโกนสื่อสารกัน
จับตัวพวกนายกองพันอี้เมืองพีโจวไว้ จากนั้นก็จับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ คำสั่งนี้สั่งด้วยการตะโกนจากบนเรือ
ขุนพลเปาหรูซานบนฝั่งย่อมรู้ว่าหวังทงไม่เชื่อใจเขา มองเลือดชโลมพื้นตรงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมต้องระวังตัวไว้ก่อน เปาหรูซานตอนนี้ทำตามทุกอย่าง วันหน้าจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก
พอจับนายกองพันอี้สอบปากคำได้ ทุกเรื่องกระจ่าง เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนอันใด ก็แค่ทหารเมืองพีโจวกับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือสมคบกัน คิดปล้นสังหาร หากเกิดเรื่องกับทางการก็ให้นายกองพันอี้ออกหน้า บางครั้งจัดการไม่ได้ ยังต้องให้ทหารทางการลงมือ
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ต้องมาเจอกับหวังทง และยังเป็นถึงผู้แทนพระองค์ โชคร้ายที่หวังทงเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน ผู้แทนพระองค์เดินทาง ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็เห็นกันแต่ในงิ้ว ผู้ใดจะคิดว่าจะมีคนทำเช่นนี้จริงๆ และขบวนผู้แทนพระองค์ยังมีอาวุธชุดเกราะปืนไฟครบมือ สู้กันก็ย่อมแข็งแกร่งกว่า
******************
ต้นเดือนแปด เมืองผูโจวมณฑลซานซีไม่ได้ร้อนเหมือนเขตปกครองใต้ จวนตระกูลจางใหญ่สุดในเมืองผูโจวก็เงียบเชียบผิดปกติ
นายท่านใหญ่จางจากไป ฮูหยินนายท่านใหญ่จาง ก็คือมารดาเลี้ยงของจางซื่อเหวยก็ป่วยจากไปด้วยเพราะเสียใจหนัก ในจวนมีงานศพสองงาน ก็ย่อมไม่อาจครึกครื้น
ผมและเคราจางซื่อเหวยขาวลงไปมาก สีหน้าก็ซีดเซียว คืนนี้หวังทงปะทะโจรที่คลองส่งน้ำในเขตปกครองใต้ จางซื่อเหวยอยู่ในห้องหนังสืออ่านจดหมาย อ่านไปส่ายหน้าไปหัวเราะกล่าวว่า
“เจ้าเด็กนี่ก็ช่างกล้า…….”