องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 840 นี่คือแดนใต้แผ่นดินหมิงหรือ
“ไม่รู้ว่าเบื้องหลังนายกองพันอี้คือผู้ใด ทว่าตอนข้าถึงหนานจิงต้องได้เห็นหัวคนผู้นี้!”
หวังทงก่อนไปกล่าวไว้เพียงแค่นี้ หากทุกย่อมไม่กล้ารอช้า เกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนก่อนหวังทงไป ขุนพลเมืองสวีโจวเปาหรูซานแนะนำว่าไม่ควรนั่งเรือนี้ต่อ ควรไปเปลี่ยนเรือทางการที่เมืองพีโจว
แต่หวังทงยังคงยืนยันว่าจะนั่งเรือนี้ต่อ ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า
“หากระหว่างทางยังมีโจรเช่นนี้อีก ก็ไม่ได้น่ากลัวอันใด!”
วาจานี้ฟังแล้วไม่น่าฟัง แต่กลับเป็นวาจาจริง กองกำลังนับพันถูกคนหวังทงเพียงร้อยกว่าจัดการสังหารราวกับใบไม้ร่วง ช่างไม่น่ากลัวอันใดเอาเสียเลย
************
“ท่านโหว พวกหน่วยตรวจค้าเกลือนั่นโดนไล่ไปแล้ว ป้ายนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรพวกเขาไม่รู้จัก ดึงป้ายนายกองพันออกมา ยังจะขึ้นมาตรวจเรือ ดีที่พี่น้องเราป้องกันแน่นหนา พวกเขาเห็นว่าไม่อาจล่วงเกินจึงได้จากไปแล้ว”
หานกังมารายงาน เห็นสีหน้านิ่งเรียบหวังทงก็อดไม่ได้โมโหกล่าวว่า
“ท่านโหว ตั้งแต่ผ่านเมืองพีโจวมา ด่านก็มาก แม้แต่ป้ายประจำตัวขุนนางทางการก็ไม่ได้ทำให้พวกวางอำนาจอย่างเช่นพวกตรวจค้าเกลือพวกนี้เกรงใจ นายกองร้อยกองพันองครักษ์เสื้อแพรเอาไม่อยู่ ถึงกับกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่เราเช่นนี้ได้”
“หานกัง เจ้ารู้ไหมว่าการค้าเกลือแม่น้ำนี้มีคนใต้หล้ากินเท่าไร?”
หวังทงกลับถามเช่นนี้ หานกังงงส่ายหน้า หวังทงกล่าวว่า
“แผ่นดินหมิง ประชากรราวสองในสามกินเกลือจากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ที่นี่ เพื่อให้แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้มีฟืนพอที่จะต้มเกลือ จึงไม่ให้ประชาชนบุกเบิกที่รกร้าง ปล่อยให้หญ้ารก เจ้ารู้ไหมแผ่นดินหมิงท้องพระคลังหลวงมีรายได้เท่าไรมาจากภาษีเกลือ? มีเท่าไรที่ได้จากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นี่?”
หานกังย่อมไม่รู้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ช่วงเวลาที่มากที่สุด ภาษีเกลือมีถึงหกส่วน ในนี้สี่ส่วนล้วนเป็นภาษีเกลือจากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นี่”
เห็นหานกังยังงง หวังทงกล่าวว่า
“อัตราเช่นนี้ แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้จึงเป็นฐานแห่งราชสำนัก การปราบการค้าเกลือเถื่อนแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ย่อมได้รับการปกป้องจากราชสำนัก จะวางอำนาจบาตรใหญ่ก็ควรอยู่”
หลิ่วซานหลังข่างๆ เงียบไป กล่าวแทรกขึ้นว่า
“ข้าน้อยได้ยินคนเล่าว่า ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ภาษีเกลือลดลงเรื่อยๆ มาจนสมัยจางจวีเจิ้งกุมอำนาจบริหาร ภาษีเกลือจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น สองปีมานี้ก็น้อยลงอีกแล้ว คิดให้ละเอียด เทียนจินเรากว้างใหญ่เพียงนั้น เทียบกับแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ที่กว้างใหญ่ ไม่ได้ต่างกันเท่าไร!”
“ที่มาต่างกัน เขตปกครองใต้มีบัณฑิตมากมายอาศัยเงินจากการค้าเกลือจุนเจือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ขุนนางเมืองหลวงกับขุนนางท้องที่ล้วนมีพ่อค้าเกลือพวกนี้เลี้ยงดู สายสัมพันธ์ลึกซึ้งมากมาย มีอำนาจเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่”
หวังทงกล่าวต่อ คนในห้องเรือทุกคนล้วนเงียบกริบ ก่อนจะออกไปทำงานตน หวังทงมองไปยังจดหมายบนโต๊ะ ก่อนนำจดหมายใส่ลงในกล่องเหล็ก
เรื่องที่หลูต้าคนนำทางรู้มานั้นไม่น้อย เช่นว่า ผู้ตรวจค้าเกลือเมืองเมืองพีโจวแซ่ลู่ อายุ 20 กว่า เมื่อก่อนเป็นนักเลงชั่วอันดับหนึ่งในเมืองพีโจว พอได้เป็นผู้ตรวจค้าเกลือ เห็นๆ ว่ามีเงินค้าเกลือเถื่อนเข้ากระเป๋าได้ก้อนโต แต่ยังกลับอยากปล้นเรือ เห็นชัดว่าเห็นการสังหารคนอื่นเป็นเรื่องสนุก คนแซ่ลู่ผู้ตรวจค้าเกลือนี้ค่ำวันนั้นถูกทหารติดตามหวังทงสังหารแล้ว ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากลดลงไม่น้อย
แต่เจ้าคนแซ่ลู่นี้ฟังจากหลูต้าเล่ามา เป็นบุตรชายลับของลู่กุ้ยพ่อค้าเกลือใหญ่แห่งเมืองหยางโจว ลู่กุ้ยเป็นหนึ่งในพ่อค้าเกลือใหญ่ในเมืองหยางโจว กิจการยิ่งใหญ่แต่ไร้ผู้สืบทอด แต่ภรรยาน้อยสิบกว่าคน กลับมีเพียงลูกสาวสี่ คนแซ่ลู่นี้เป็นลูกที่ตอนนั้นไม่รู้ไปเจ้าชู้แล้วเกิดขึ้นที่ไหน
ลู่กุ้ยกับกิจการใหญ่ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดจับจ้องอยู่ มีลูกชายไม่เปิดเผยสักคน ลูกเขยหลายคนก็เกรงว่าคนต้องลงมือสังหารทิ้ง ลู่กุ้ยอายุเกือบ 70 ย่อมรู้ดี จึงได้ให้ลูกชายคนนี้มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการค้าเกลือที่เมืองพีโจว บ้านเกิดตนเองเช่นนี้
ให้เข้าเป็นขุนนางได้เรียนรู้การทำงาน ก็จะได้เป็นเครื่องป้องกันตนเองได้ ลู่กุ้ยมีอิทธิพลมากบนแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้แถบนี้ บุตรชายลับของเขาเหิมเกริมก่อเรื่องก็ย่อมปกป้องไว้ได้ ผลจึงได้ลืมตัวจนเหิมเกริมก่อเรื่องไปแตะต้องเอาเข้ากับหวังทงได้
“แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ทางนี้ ทหารเทียบกับพวกเมืองพีโจวเป็นอย่างไร?”
“เมืองพีโจวไม่นับว่าดี แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย หากสามารถนำออกมาต่อสู้กันได้จริง ก็คงเป็นพวกพ่อค้าเกลือเถื่อนพวกนั้น พวกคุ้มกันร้านค้าเกลือก็เก่งกล้าไม่เบา”
หลูต้าเป็นคนละเอียด รู้จักพูดไปดูสีหน้าไป หวังทงถามเรื่องนี้ เขาย่อมรู้ว่าจะตอบอย่างไร
“พื้นที่แดนใต้ ใครเก่งการต่อสู้ที่สุด?”
คำถามกำกวม หลูต้าอย่างไรก็เป็นเพียงชาวบ้าน ไปมาหลายที่ก็จริง แต่ก็ยังไม่รู้ หากก็ยังตอบไปว่า
“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ทว่าทุกคนล้วนว่า คนของเว่ยกั๋วกงตระกูลสวี เป็นทหารเก่งกล้าอันดับหนึ่ง คนที่ข้าน้อยได้เคยพบมาล้วนกล่าวเช่นนี้”
เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีมีทหารราว 500 กว่า มีคนในจวนอีกเกือบพัน คนพวกนี้เก่งกล้าสามารถ สามารถเรียกกำลังนับหมื่นมาได้ นี่ไม่ว่าในเอกสารองครักษ์เสื้อแพร หรือว่าบรรดาขุนพลทหารวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนเป็นเช่นนี้
ตลอดทางลงใต้มา เรื่องใจกล้าเทียมฟ้ามีเพียงเรื่องเดียวที่เกิดในเมืองพีโจว ที่เหลือตลอดทาง แม้ว่าทหารเทียบท่า ให้หน่วยตรวจค้าเกลือขึ้นมาตรวจหลายครั้ง ก็ไม่ได้มีเหตุอันใด
ทว่าจะว่าไป บนใจกลางแผ่นดินหมิงมีเจ้าหน้าที่ตรวจการค้าเกลือสมคบกับทหารสังหารเรือพ่อค้าที่ผ่านมา ถึงกับลงมือกับขุนนางอีก เรื่องเช่นนี้มีครั้งเดียวก็เกินพอให้ตกใจแล้ว หากมากกว่านี้ ก็ย่อมไม่ทำให้ประเทศไม่เหมือนว่าเป็นประเทศแล้ว
เมืองไหวอันส่งคนไปตรวจ คดีนี้ ผู้ตรวจการเขตปกครองใต้สองคน หรือแม้แต่กรมอาญาเมืองหลวงก็ตกใจมากแล้ว ยังต้องคิดว่าต้องสืบไปถึงขั้นไหนกัน หวังทงก็ขี้เกียจจะสนใจ
ที่เขาเห็นก็คือ เมืองไหวอันและหยางโจวสองเมืองนี้ อิทธิพลพวกค้าเกลือเทียมฟ้า หลายครั้งเห็นพวกตรวจการค้าเกลือบนฝั่งสั่งสอนเจ้าหน้าที่ที่ท่าเรือ พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือไม่เท่าไรในสายตากองกำลังหู่เวย แต่เทียบกับทหารในพื้นที่แล้ว เรียกได้ว่าเก่งกล้ากว่ามาก
พ่อค้าเกลือในพื้นที่ต้องดูแลทุกอย่าง คนในมือก็ต้องมีกำลังพอเพียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแหล่งที่มาเงินทองเช่นนี้ พื้นที่แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ก็ย่อมเป็นเอกเทศที่แข็งแกร่ง
หากกล่าวว่าการรักษากิจการค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ ก็เพื่อเงินทองของแผ่นดินหมิง แต่ตอนนี้บรรดาพ่อค้าเกลือกลับค้าเกลือเถื่อน กำไรจากการขายเกลือเพื่อบริโภคนั้นไหลเข้ากระเป๋าอย่างกับสายน้ำไหล ที่แผ่นดินหมิงได้กลับน้อยลงเรื่อยๆ การค้าเช่นนี้คงอยู่ ก็คงได้แต่เป็นดังหนอนชอนไชแผ่นดินหมิง ไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย
หลูต้ากล่าวกับเขาเช่นนี้ รู้เรื่องอิทธิพลแต่ละแห่งไม่น้อย เช่นว่า นายอำเภออันตงมารับตำแหน่ง นอกจากรับสินบนแล้ว ยังคิดตักตวงเงินทองก้อนโต ให้คนสนิทตนไปตั้งด่านตรวจเกลือเถื่อนในเมือง แค่สามวัน ทั้งครอบครัวก็ถูกตัดหัวทิ้ง ที่น่าแปลกก็คือ หัวที่ถูกตัดคืนนั้นถูกโยนไว้ในห้องนอนนายอำเภอ นายอำเภอตกใจจนหมดสติไปทันที
นี่ยังไม่จบ ไม่กี่วัน ก็มีคนไปที่ที่ทำการร้องเรียนนายอำเภอกินสินบน ตำแหน่งนี้อยู่ต่อไม่ได้ ได้แต่ถูกจับเข้าคุกไป
มีเรื่องน่าแปลกเรื่องหนึ่ง เมืองหยางโจวมีทหารค่ายหนึ่งล่องเรือบนแม่น้ำ ปรากฏอยู่ๆ ล่มตกน้ำตายหมด แต่ที่จริงแล้วค่ายทหารนี้ใช้ทหารขนเกลือเถื่อน ปะทะกับพวกตรวจการค้าเกลือเถื่อน เป็นทหารทางการแท้ๆ กลับสู้เจ้าหน้าที่ตรวจการค้าเกลือไม่ได้ โดนตีตกน้ำกันไปตายอนาถบาดเจ็บหนัก จากนั้นทหารค่ายนั้นยังถูกนายด่า สุดท้ายถูกลดตำแหน่งจบเรื่อง คนที่ตายไปก็ตายไปเปล่าๆ ได้แต่บอกว่าจมน้ำตายตอนปฏิบัติหน้าที่
“ทางตะวันออกของแม่น้ำค้าเกลือ ทางใต้แม่น้ำเป็นตระกูลใหญ่ ทางเหนือแม่น้ำพวกพ่อค้าเกลือแม้วางอำนาจเหิมเกริม แต่ก็ยอมก้มหัวให้คนตระกูลใหญ่ทางใต้แม่น้ำ เกรงใจยิ่ง ทุกปีการค้าเกลือตอนเหนือแม่น้ำก็ต้องส่งของขวัญไปให้ตระกูลใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำ ก็เพราะว่าต้องการให้การค้าของตนเองราบรื่น ส่วนทางการนั้น ทางใต้ของแม่น้ำไม่มีขุนนางในสายตา ราษฎรมีเรื่องขึ้นศาลน้อยมาก ไปหาตระกูลใหญ่ออกหน้าให้ความเป็นธรรมเสียมากกว่า!”
หลูต้าเล่าเป็นเรื่องเล่าทั่วไป แต่หวังทงกลับฟังแล้วสนใจมาก ไม่รู้ว่าเขตปกครองใต้ยังเป็นแผ่นดินหมิงหรือไม่……
*************
หากไม่ได้เจอเรื่องที่เมืองพีโจว หวังทงเดินทางลงใต้ครานี้คงไม่มีผู้ใดพบเจอร่องรอย แต่พอเกิดเหตุที่พีโจว ข่าวก็กระจายไปทั่ว หวังทงมาถึงเขตปกครองใต้แล้ว คนที่ควรรู้ข่าวต่างก็รู้ข่าวนี้
ในเมื่อตรวจสอบคดีตระกูลสวีครองที่ดิน ยังมีไห่รุ่ยยื่นฎีกา หวังทงควรจะไปพบไห่รุ่ยที่หนานจิงก่อน จากนั้นค่อยไปเมืองซงเจียง
ขุนนางหนานจิงกำลังรอการมาของหวังทง แต่ตั้งแต่เมืองหลินชิงมา ข่าวผู้แทนพระองค์ก็เหมือนหายไป ขณะทุกคนกำลังงงกันอยู่ ก็กลับได้ยินข่าวรายงานจากเมืองพีโจว ทุกคนบ่นไปก็จัดการต้อนรับระหว่างทางไป หากยังเกิดเรื่องอีก ตนเองคงรับผิดชอบไม่ไหวแล้ว
ข่าวที่หนานจิงได้มาเมื่อหลายวันก่อน คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลสวีเมืองซงเจียงก็ล้วนรู้กันทั่ว สำหรับตอนเหนือแม่น้ำแล้ว ตระกูลสวีเมืองซงเจียงจึงจะเป็นบุคคลที่พวกเขาควรให้ความเคารพแท้จริง
*************
ชนชั้นสูงในเมืองหนานจิงที่ชื่อเสียงบารมีดังที่สุดก็คือเว่ยกั๋วกงแห่งตระกูลสวี ต่างจากบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ ในเมืองหลวงที่ไร้อำนาจมาก ขุนพลหนานจิงก็เหมือนสืบทอดจากตระกูลสวี ขุนพลที่อื่นก็เป็นขุนนางบู๊ที่ไร้เกียรติ แต่ที่หนานจิงนี้สถานะไม่ต่างจากผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวง อำนาจทหารมีมาก
ใต้หล้ากล่าวกันว่า ตระกูลสวีคุมตะวันออกเฉียงใต้แทนฮ่องเต้ แม้ว่าเกินความจริงไปมาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลตระกูลสวีไม่ธรรมดา
ผู้แทนพระองค์หวังทงลงใต้มา เว่ยกั๋วกงตอนนี้คือสวีจื้อเทา หากเกรงใจ ก็ไปพบได้ แต่หากไม่อยากพบก็ไม่มีผู้ใดตำหนิได้
เรือหวังทงพอแล่นเข้าเมืองหยางโจวได้ราวหนึ่งชั่วยาม จวนเว่ยกั๋วกงก็มีจดหมายมา
ในห้องหนังสือเว่ยกั๋วกง ทหารติดตามกำลังรายงานเบาๆ ว่า
“น่าจะเป็นจดหมายที่โยนเข้ามาเมื่อคืน วันนี้คนงานเราเก็บได้ จึงได้รายงานพ่อบ้าน จากนั้น……”
เว่ยกั๋วกงขมวดคิ้วแน่น โบกมือกล่าวว่า
“คนที่พบเห็นจดหมายนี่ให้ไล่ออกไปโรงบ้านนอกเมืองให้หมด ขังไว้!”