องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 841 แอบเคลื่อนไหว ผู้ใดรู้
สวีจื้อเทาออกคำสั่งไปเสร็จ ทหารก็รับคำสั่งหันหลังออกไปจัดการ เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีรุ่งเรืองอำนาจมาสองร้อยปี ย่อมต้องวางตัวสูงส่งไม่ธรรมดา ทว่าการวางตัวสูงส่งนี้ยังต้องรักษาความเป็นตระกูลขุนพลทหารไว้ด้วย จึงทำให้แตกต่างจากคนอื่น
ชนชั้นสูงเมืองหลวงพวกขุนนางบู๊ที่ได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ก็ล้วนพยายามทำตัวเป็นบัณฑิตมีความรู้ ลูกหลานในตระกูลก็ย่อมเลียนแบบท่าทางวางตัวเป็นบัณฑิตชั้นสูง นี่เป็นเรื่องทำให้ผู้คนขบขัน
ทหารติดตามคนสนิทออกไป เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาก็ยืนขึ้น เดินไปมาในห้องหนังสือ ยามนี้ด้านนอกมีสามคนเข้ามา คำนับแล้วก็นั่งลง
สวีจื้อเทากลับไม่นั่ง หากหันไปถามคนหนึ่งในนั้นว่า
“น้องสาม เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร?”
สามคนที่นั่งอยู่ หน้าตาล้วนคล้ายกับสวีจื้อเทา อายุน้อยกว่า ความเป็นความตายตระกูลสวีย่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องนี้ก็ย่อมต้องเชิญสายตระกูลมาหารือ
ได้ยินหัวหน้าตระกูลถาม น้องสามสวีจื้อเทาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า
“คนของเราที่เมืองหลวงยังพึ่งพาได้ สายในวังหลายคนนั้นก็คบหากันมานานหลายสิบปี การมาปฏิบัติหน้าที่ของหวังทงในการตรวจสอบตระกูลสวีเมืองซงเจียงเราครานี้ ไม่น่ามีวัตถุประสงค์อื่น”
กล่าวถึงตรงนี้ น้องสามสวีจื้อเทาก็หันไปเบะปากลงพื้น ยิ้มด่าว่า
“เราแซ่สวี พวกเขาก็แซ่สวี ช่างน่ารังเกียจจริงพับผ่าสิ”
“น้องสามอย่าได้กล่าวเช่นนี้ หลายปีนี้ในเมืองหนานจิงมีผู้ใดจำพวกเราได้บ้าง คนพวกนั้นวันๆ ก็เอาแต่พูดว่าตระกูลสวีเมืองซงเจียงนี่นั่น บอกว่านั่นควรเป็นอันดับหนึ่งในแดนใต้!”
“เหลวไหลสิ้นดี สถานะตระกูลเราได้มาเพราะรุ่นปู่รุ่นบิดาเราเสี่ยงตายต่อสู้มา เขาแค่ใช้พู่กัน จะบอกว่า…”
สวีจื้อเทาขมวดคิ้วกระทืบเท้า ขึ้นเสียงว่า
“พูดแล้วได้อันใดเล่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้”
คนที่เงียบแต่ต้นยามนี้กลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“พี่ใหญ่ พี่ๆ ทุกท่าน หลายปีนี้ ฮ่องเต้ไม่ว่ามีราชโองการใดมา ในวังก็มักจะมีข่าวมา พวกเรามีข่าวใดบ้างไม่รู้กัน แต่กลับมีครั้งนี้ เรื่องในจดหมายนี้พวกเราไม่รู้สักอย่าง พี่ๆ ทุกท่าน หวังทงมีความชอบใหญ่เช่นนี้ ทรงมีสมรสพระราชทานก่อน จากนั้นก็สั่งให้เขาที่ยังปักหลักในเมืองหลวงไม่แน่นต้องออกจากเมืองหลวง ประเด็นหลักก็เพื่อกำราบหวังทง ไม่ใช่มาตรวจสอบพวกเรา”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนพยักหน้า ท่านนี้กล่าวต่ออีกว่า
“ทว่าจดหมายกล่าวเช่นนี้ ระวังไว้อย่างไรก็มีเหตุผลอยู่ ขอให้พี่ใหญ่สั่งการ ให้คนของเราและแต่ละร้านค้ากิจการให้สงบเสงี่ยมหน่อย หากถูกผู้แทนพระองค์จับผิดได้ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี จากนั้นรอดูปฏิกิริยาตระกูลอื่น ชนชั้นสูงอื่นๆ ในหนานจิงให้เราตระกูลสวีเป็นผู้นำ แต่ในบรรดาพวกนี้ก็มีระดับป๋อ ระดับโหวไม่น้อย ย่อมไม่ได้แจ้งแค่เรา ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รู้”
“เหล่าเสียน ทำตามวิธีการของเหล่าเฉิง ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน!”
สวีจื้อเทาพยักหน้า สองคนข้างๆ กลับวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“พวกตระกูลจูนั่นระแวงขุนนางตนเอง นิสัยเช่นนี้หลายปีมาแล้วก็ยังเหมือนเดิม ช่วยพวกเขาสู้รบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา สุดท้ายจุดจบไม่ดีสักคน ช่างน่าเจ็บปวดใจ ได้ยินว่าหวังทงกับฮ่องเต้เล่นกันมาแต่เด็ก ยังเคยช่วยฮ่องเต้ไว้ด้วย ถุยๆ ยังสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ เทียบกับต้นตระกูลเราแล้วก็ต่างกันไม่เท่าไร!”
“บรรพชนเรายังถูกจัดการซะราวกับห่านนึ่งตัวหนึ่ง…….”
“น้องหก คนข้างนอกพูดเหลวไหลกันก็พอแล้ว ตระกูลสวีสายหลักอย่างเราจะตามเหลวไหลไปด้วยทำไม บรรพชนเราตอนนั้นถูกปลดกำลังที่เมืองหลวง เกี่ยวอันใดกับห่านนึ่งหนานจิง กล่าวเช่นนี้ จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้”
ตอนนั้นสวีต๋าเป็นขุนนางบู๊ในปฐมฮ่องเต้จูหยวนจาง หมิงไท่จู่ ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางสังหารขุนนางมีความชอบ และมีข่าวลือว่าสวีต๋ามีฝีที่หลัง อาการป่วยหากกินห่านนึ่งจะต้องตาย แต่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางยังพระราชทานห่านนึ่งให้ สวีต๋ากินทั้งน้ำตา คืนนั้นป่วยตายกะทันหัน แต่ทว่าข่าวลือในหมู่ชาวบ้านว่า ตอนนั้นสวีต๋ากำลังอยู่ในเมืองเป่ยผิง ก็คือเมืองหลวงตอนนี้ อาการกำเริบตายในค่ายทหารเอง
สวีจื้อเทาตำหนิไป แต่ก็ควักจดหมายออกมา ในจดหมายเขียนง่ายๆ ว่า หวังทงลงใต้ครานี้ อ้างภารกิจว่าตรวจสอบที่นาจวนสวีเมืองซงเจียง แต่ในทางลับนั้นกลับต้องการสืบเรื่องผิดกฎหมายของบรรดาชนชั้นสูง ……
เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีเมืองหนานจิงมาเกือบสองร้อยปี หูตามากมาย อิทธิพลครอบคลุมเต็มพื้นที่ การข่าวก็ย่อมไวอย่างมาก ในพื้นที่เกิดเรื่องใด ตระกูลเขาย่อมต้องรู้เป็นคนแรก
บรรดาตระกูลชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลต่างได้รับจดหมายเช่นนี้ จดหมายล้วนกล่าวว่า หวังทงลงใต้ครานี้ อ้างภารกิจว่าตรวจสอบที่นาจวนสวีเมืองซงเจียง แต่ในทางลับนั้นกลับต้องการสืบเรื่องผิดกฎหมายของบรรดาชนชั้นสูง เพื่อรวบรวมเงินทองที่นาของชนชั้นสูงกลับคืนไปสู่ราชสำนัก
กล่าวเช่นนี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างตกใจ แต่คิดให้ดีก็รู้สึกไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดหวังทง อันผิงโหวก็ถูกประหารล้างตระกูล อู่ชิงโหวก็ถูกกดไว้หนักมาก ชนชั้นสูงเมืองหลวงสงบเสงี่ยมกว่าเมื่อก่อนมาก แม้ว่าสองเรื่องล้วนมีเหตุ แต่หากตามไปถึงที่สุด ก็เหมือนว่าเป็นภาพสะท้อนการจัดการชนชั้นสูงของฝ่ายใน
เจตนาหวังทงลงใต้มานั้นมีค่าควรหารือ ฮ่องเต้ว่านลี่มีสมรสพระราชทานแก่หวังทงเรื่องนี้ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร แต่ก็ล้วนเป็นการแอบทดสอบและกำราบขุนนางมีความชอบวิธีหนึ่ง กระบวนการอย่างไรแสดงถึงอะไร ผลอย่างไรก็ย่อมแสดงสิ่งนั้น หวังทงยังคงแต่งภรรยาเอกที่งามพร้อม เขายังคงเป็นติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นี่ก็คือผล ชนชั้นสูงในเขตปกครองใต้เห็นกันก็คือผลเช่นนี้
ในเมื่อหวังทงยังคงเป็นติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร อำนาจก็ยังคงไม่อาจแตะต้อง หวังทงรับราชโองการออกจากเมืองหลวงก็คงไม่ใช่เพื่อให้เขาต้องออกจากเมืองหลวงในขณะที่อำนาจยังไม่มั่นคง
ราชโองการนี้อาจไม่แน่ว่าเป็นแค่หาเหตุผล หวังทงลงใต้มาย่อมมีเหตุจากในวังคิดสิ่งใด ต้องการมาทำอะไรกันแน่
อยู่ในวงการขุนนางเป็นชนชั้นสูงกันมานาน การเมืองเล็กน้อยก็ย่อมพยายามหาทางวิเคราะห์ หนานจิงสามารถ เมืองหลวงก็สามารถ
คนที่ได้รับจดหมายไม่ใช่ว่าจะเหมือนจวนเว่ยกั๋วกงที่รับมืออย่างนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าลูกน้องในจวนใต้หล้าประสบเรื่องนี้แล้วจะนำไปส่งมอบในทันที ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็นจดหมายนี้จะต้องถูกส่งไปขังที่โรงบ้านนอกเมือง
หลายตระกูลที่รู้เรื่องนี้ก็รีบส่งคนไปตามญาติสนิทมาหารือรับมือ คนในจวนก็ไม่ได้ว่างกัน หากนำสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมากระจายข่าวไปทั่ว
เรื่องเช่นนี้ทุกคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนชอบกระจายข่าว ไม่นาน ทั้งหนานจิงก็รู้กันทั่ว ตามแบบการจัดการที่เคยเป็นมา ทุกคนอย่างไรก็ต้องไปรวมตัวกันที่จวนเว่ยกั๋วกง ยังต้องเชิญขันทีใหญ่ประจำหนานจิงกับเสนาบดีกรมทหารหนานจิงมา ขอให้ทุกคนได้ร่วมออกความเห็น
“ทุกท่าน ราชโองการได้บอกความกระจ่างไว้ในจดหมายแล้ว เป็นไห่รุ่ยแห่งหนานจิงยื่นฎีกาฟ้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นา ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ใต้เท้าหวังออกจากเมืองหลวงมาทำคดีนี้ จดหมายทุกคนก็ได้เห็นแล้ว หรือว่ายังมีเนื้อหาสาระอื่นอีก? พวกเราทำไมไม่ได้อ่านกัน?”
ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงหูจื้ออันถามกลับเสียงเย็น คำถามนี้ ทำให้เสียงนกกระจอกเงียบไป ทุกคนไร้สำเนียง
“ทุกท่าน อย่างไรก็เป็นพระเมตตาของฝ่าบาท ราชโองการเช่นไรไม่ใช่เรื่องที่เราและท่านจะมาคาดเดา ในเมื่อราชโองการว่าไว้กระจ่างแล้ว เหตุใดยังต้องทำเรื่องไร้สาระให้มากความเช่นนี้อีก หากแพร่ไปเมืองหลวง เกรงว่าคงไม่ดีกระมัง!”
หูจื้ออันเดิมเป็นขันทีในสำนักส่วนพระองค์ เพราะปฏิบัติหน้าที่ดี จึงได้มีโอกาสมาประจำหนานจิง เขาเป็นคนไม่รับสินบน ทำให้ชนชั้นสูงหนานจิงเกรงกลัวอยู่ พอเห็นท่าทีเย็นชาเช่นนี้ เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาก็ได้แต่ยืนขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ
“หูกงกงกล่าวได้ถูกต้องๆ เว่ยกั่วกงก็กล่าวได้ถูกต้อง”
ทุกคนตอบรับเช่นนี้พร้อมกัน แต่ในใจคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ หากความวุ่นวายภายนอก ก็ถูกกดให้นิ่งลงได้ในวันเดียวนี้ หากจะแอบนินทาหารือกันในที่ลับก็ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ได้
****************
“เป็นท้องฟ้าแยงซีเกียงจริง เหตุใดจึงกว้างสิบกว่าลี้ได้ขนาดนี้กัน?”
ตลอดทางลงใต้มา จากเจียงตูเข้าสู่แม่น้ำแยงซีเกียง สำหรับชาวเหนือแล้ว ยากที่จะได้มาแดนใต้ ยากที่จะได้ล่องแม่น้ำแยงซีเกียง จะต้องดูไว้เพิ่มประสบการณ์เสียหน่อย
แม่น้ำผืนกว้าง น่าตกใจจริง ระยะทางนั้นหวังทงเคยลองคาดเดาอยู่ แต่ความกว้างแท้จริงทำให้หวังทงยังต้องตกตะลึง
“ครึ่งเดือนมาแล้วที่ไม่มีฝนตก ตอนฝนตก หากนายท่านได้เห็น จะเห็นกว้างกว่านี้อีก”
คนเรืออธิบาย หวังทงส่ายหน้า ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้กล่าวต่อ ตอนล่องแม่น้ำแยงซีเกียงในยุคโลกก่อน แม่น้ำกว้างก็ราวกับหนึ่งในสี่ของที่ตาเห็นในตอนนี้ หลายร้อยปีผ่านไป ผืนดินแผ่นฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจริง
ผืนน้ำที่กว้างนี้ ในการสงครามยุคนี้ก็เรียกได้ว่าอันตรายจริง แน่นอน ที่จริงแล้วก็ย่อมไม่อาจขวางจิตใจมั่นคงของกองทัพที่จะเอาชนะได้
หวังทงทอดถอนใจ ทหารติดตามเขาไม่ต้องพูดถึง ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่สองพี่น้องแม้ว่าเคยมาเจ้อเจียง แต่ตอนนั้นยังเล็ก จำอะไรไม่ได้ วันนี้ได้เห็นก็ย่อมต่างจากครั้งแรก ล้วนอ้าปากค้างตกตะลึงเช่นกัน
ก่อนข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง เรื่องราวหนานจิงต่างๆ หวังทงก็รู้หมดแล้ว เรื่องพวกนี้หลิ่วซานหลังกล่าวว่า
“ท่านโหว เรื่องมาถึงขั้นนี้ เบื้องหลังย่อมมีคนคิดหาเรื่อง แต่คนหาเรื่องนี้ใช่ตระกูลสวีเมืองซงเจียงหรือไม่ เรื่องนี้กล่าวได้ยาก”
*************
“เรื่องเช่นนี้เป็นผู้ใดกระทำกัน!?”
ณ จวนสวี เมืองซงเจียง สวีพานสอบถามสีหน้าจริงจังต่อหน้าทุกคน คนเบื้องหน้าเขาทุกคนก้มหน้านิ่ง ไม่มีคนตอบ เงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีคนหนึ่งข้างๆ ตอบขึ้นเบา ๆ ว่า
“นายท่าน เรื่องเช่นนี้ ให้ชนชั้นสูงหนานจิงเป็นปรปักษ์กับหวังทง ให้คนทางใต้เป็นศัตรูกับหวังทง ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เกรงว่าเป้าชี้คงกลับมาที่เราทางนี้หมด”
“เหลวไหล!! ทำให้คนคิดหลงไปคนละทางวิธีการพวกนี้ ยังเกี่ยวพันไปถึงราชโองการกับชนชั้นสูงหนานจิง ต้องนำภัยใหญ่หลวงมาแน่ !!”
“นายท่าน หากเป็นพวกเราทำ ก็ย่อมนำภัยมาถึงตัว หากไม่ใช่ มีประโยชน์ต่อเรา ไยต้องคิดมากด้วย?”
สวีพานแค่นเสียงเย็น โบกมือให้คนเบื้องหน้าถอยออกไป เงียบไปพักหนึ่งก็กล่าวว่า
“มอบให้ท่านไต้ไปห้าหมื่นตำลึง สถานการณ์หนานจิงเช่นนี้ ให้เขาดูว่ามีโอกาสใดไหม!”