องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 843 ขุนนางแม้สูงอายุแต่ก็ยังคงเฉียบขาด
ไม่ว่าขุนนางซื่อมือสะอาดเพียงใด ตอนนั้นดื้อดึงเพียงใด ตอนนั้นตั้งใจจริงจังเพียงใด ตอนนั้นไม่รู้ความเพียงใด หลายปีผ่านไป เห็นมามาก ผ่านมามาก แม้จะยังคงยึดมั่นดังเดิม แต่สายตาย่อมมองได้กระจ่างกว่าวันวานมากเป็นแน่
หากกล่าวว่าเมื่อ 20 ปีก่อน หลังไห่รุ่ยยื่นฎีกา เมืองหลวงส่งผู้แทนพระองค์มาจัดการ ไห่รุ่ยย่อมดีใจอย่างที่สุด คิดว่าฝ่าบาทให้การสนับสนุนเขา เขาคงต้องตั้งใจจัดการครั้งใหญ่ สืบให้ถึงที่สุด ไม่ให้ทรงผิดหวัง
แต่ตอนนี้เขากลับเข้าใจกระจ่างแล้ว หวังทงมาในฐานะผู้แทนพระองค์นี้อย่างมากก็คงให้ออกมาเดินเล่นรอบหนึ่ง ไม่ให้อยู่เมืองหลวงนานนัก และไม่ใช่ว่ามาเพื่อสืบคดีนี้
ไห่รุ่ยยังสามารถยิ้มพูดเช่นนี้ได้ ท่าทางแสดงออกแม้เสียไม่ได้ แต่ก็ยังคงนุ่มนวล เดิมตามคาดเดาของหวังทง พอตนเองกล่าวถึงที่มากระจ่าง ไห่รุ่ยคงต้องโมโหมาก จากนั้นก็สะบัดหน้าจากไป แน่นอน รู้ส่วนรู้ หากวาจากลับไม่อาจกล่าวเช่นนี้ หวังทงหัวเราะกล่าวว่า
“ราชโองการให้ข้ามาดูแลคดีตระกูลสวีรุกที่นา นี่คือเหตุที่ข้าออกจากเมืองหลวงมา ใต้เท้าไห่ไยกล่าวเช่นนี้?”
“ถือว่าข้าพลั้งกล่าววาจาไม่สมควรแล้ว ขอท่านโหวโปรดอภัย!”
ไห่รุ่ยก้มตัวขออภัย เงยหน้าขึ้นสบตากับหวังทง สีหน้าหวังทงแปลกใจ ไห่รุ่ยอึ้งไป หลุดหัวเราะออกมา หวังทงอึ้งไป ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม
ไห่รุ่ยนี่ไม่ได้ดูคบหายากเหมือนที่เล่ากัน หวังทงถึงขั้นรู้สึกว่าชายชราร่างผอมนี้มีอารมณ์ขันน่าคบ รับราชโองการออกจากเมืองหลวงมา ใต้หล้าล้วนรู้ว่ามาทำอะไร หวังทงย่อมไม่กลัวจะเอ่ยถึง ทว่าก็ยังต้องรักษาธรรมเนียมไว้ สองฝ่ายสนทนาทั่วไปสักพัก กลับไม่เห็นไห่รุ่ยจะเอ่ยถึงเรื่องในราชโองการ หวังทงจึงกล่าวว่า
“ข้าเป็นขุนนางบู๊ เรื่องการเมืองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก แดนใต้นี้ใต้เท้าไห่คงรู้มากกว่าข้า ข้าไปสืบคดี คิดจะสืบอะไรก็คงไม่ง่ายนัก เรื่องพวกนี้ ข้าคิดได้ ใต้เท้าไห่ก็คงคิดได้ คนอื่นก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะคิดไม่ได้”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง ไห่รุ่ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ยกชาขึ้นจิบ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะรับว่า
“สืบยากจริง ตอนนั้นข้าเป็นผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียน นับว่าเป็นขุนนางท้องที่ ยังมีสภาพเช่นนั้นได้ งานท่านโหวครั้งนี้หากต้องการสืบให้ได้ความอันใดก็คงไม่ง่าย”
เขตปกครองใต้มีสองผู้ตรวจการ หนึ่งผู้ตรวจการเมืองเฟิ่งหยาง สองผู้ตรวจการเมืองอี้งเทียน เหมือนว่าแบ่งแม่น้ำแยงซีเกียงออกเป็นสองส่วน ผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียนเป็นขุนนางท้องถิ่นที่สูงสุดในเขตปกครองใต้ ยังเป็นไห่รุ่ยที่มีความสามารถรู้ทุกเรื่องในพื้นที่อีก ยังประสบเหตุจุดจบเช่นนั้นได้ หวังทงในฐานะผู้แทนพระองค์ที่มาจากทางเหนือ สิ่งที่ทำได้ คิดก็รู้แล้วว่ามีข้อจำกัดมาก
ในเมื่อวาจาเมื่อครู่บอกกระจ่างชัด รู้ว่าหวังทงครั้งนี้มาไม่ใช่เพื่อตรวจสอบที่นา สองฝ่ายก็ย่อมสนทนากับได้สบายใจมากขึ้น
จากนั้นก็ไร้บทสนทนา ดื่มน้ำชาไปอีกสองสามคำ ไห่รุ่ยก็ให้คนยกเอกสารตั้งหนึ่งเข้ามา ตอนวางบนโต๊ะ หวังทงหรี่ตามอง กลับพบว่าเอกสารเหลืองเก่ามาก ขอบๆ มีร่องรอยขาด เห็นได้ว่าเก็บไว้มานานปี ไห่รุ่ยลุกขึ้นกล่าวว่า
“ท่านโหว นี่เป็นเอกสารที่ข้าน้อยรวมรวมมาได้ในตอนนั้น ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์กับท่านโหวหรือไม่ แต่เอกสารพวกนี้เป็นพยานหลักฐานจากเจ้าทุกข์ หาแทบไม่ได้แล้ว ในนี้มีกล่าวถึงหนังสือสัญญาและสมุดบัญชี…ด้วยอิทธิพลตระกูลสวีแห่งเมืองซงเจียง คิดว่าน่าจะเตรียมพร้อมแล้ว อาจช่วยท่านโหวไม่ได้มาก ขอท่านเอาไปตรวจดูก็แล้วกัน!”
หวังทงรับไป อ่านข้ามๆ พยักหน้ากล่าวว่า
“มีอันนี้ดีมาก อย่างไรก็ไม่ถึงกับสืบมั่วราวกับแมลงวันบินอย่างไร้หัว”
หวังทงยิ้มพยักหน้า นั่งต่อสักครู่ แม้ไห่รุ่ยท่าทีอ่อนโยน แต่วาจากลับไม่มาก แสดงให้เห็นว่าไม่อยากคุยให้มากแล้ว หวังทงก็รู้สึกเบื่อแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
พอออกไปก็พบกับเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจสอบหนานจิงมารอพบอย่างเกรงใจ หวังทงขี้เกียจจะไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา จึงได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ อีกฝ่ายไม่รั้งต่อ ออกไปส่งหวังทงกลับ
พอออกจากประตูสำนักตรวจสอบ ทหารติดตามก็พากันออกมารอรับ อำนาจก็มีข้อดีของอำนาจ แม้ว่าแดนใต้ ม้าร้อยกว่าตัวก็ได้รับการดูแลอย่างดี
“ท่านโหว มีหกเป้าหมายลอบดูเรา ตอนนี้ด้านหลังมีอีกสามเป้า”
สื่อชีบนหลังม้ากล่าวเบาๆ หวังทงขมวดคิ้วหันไปมอง กลับเห็นหน้าประตูสำนักตรวจสอบมีร้านข้างทางขายผลไม้อยู่สองร้าน ล้วนตั้งอยู่หน้าร้านสุรา หลายคนกำลังทำเป็นชื่นชมป้ายประกาศเกียรติคุณหน้าร้านสุรา พวกเขามองดูก็รู้ว่าเป็นสองเป้าหมาย
“ไม่ต้องสนใจ กลับไปค่อยพูดกัน!”
หวังทงกล่าวนิ่งๆ เคลื่อนม้าออกไปต่อ คนรอบๆ ก็ตามกันไป ไปได้ไม่ไกล เฉินต้าเหอก็เข้ามารายงาน เขามาจากลานฝึกหู่เวย เทียบกับคนอื่นแล้ว เฉินต้าเหอก็ย่อมวางตัวท่าทีสบายๆ กว่ามาก เขายิ้มถามขึ้น
“ท่านโหวเมื่อครู่ได้พบไห่รุ่ยแล้ว ได้ฟังคนเล่ากันว่าหน้าผากไห่รุ่ยมีปานรูปตะวัน จริงหรือไม่?”
เดิมหวังทงอารมณ์ไม่นัก พอได้ยินก็กลับอึ้งหลุดหัวเราะออกมา ปานบนหน้าผาก หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับปานรูปจันทร์เสี้ยวของเปาบุ้นจิ้นที่มีหน้ากากวางขายในตลาด เป็นขุนนางซื่อสัตย์เหมือนกัน จะมีเรื่องเล่าก็ยากจะเลี่ยง
“ตลกจริง คนดีๆ เหตุใดจะมีของอย่างนั้นปรากฏบนหน้าได้กัน”
ได้ยินหวังทงสัพยอก เฉินต้าเหอก็หัวเราะตาม กล่าวอีกว่า
“ท่านโหวครั้งนี้ลงใต้มีเรื่องยากไม่น้อย เรื่องสืบคดีคิดแล้วก็ไม่อาจไปตามความต้องการของไห่รุ่ย ไห่รุ่ยแต่ไรมาเถรตรงมาก เมื่อครู่ทำให้ท่านโหวลำบากใจหรือไม่?”
“ต้าเหอ ต่อหน้าท่านโหวระวังมารยาทหน่อย!”
หลิ่วซานหลังข้างๆ ตำหนิ เฉินต้าเหอกำลังจะขออภัย หวังทงยิ้มโบกมือ สะบัดแส้กล่าวว่า
“ใจไห่รุ่ยราวกับตายไปแล้ว ยื่นฎีกากล่าวเรื่องพวกนั้น ก็เหมือนว่าได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของตนสำเร็จแล้ว ส่วนเรื่องจัดการได้หรือไม่ เขาไม่สนใจแล้ว!”
ทอดถอนใจเสร็จ ก็เร่งม้าให้วิ่งกลับที่พัก คนรอบๆ ได้แต่อึ้งรีบตามไป
**************
อยู่ตอนเหนือมานาน อากาศร้อนหนานจิงตอนนี้ไม่ชินเอาเสียเลย ชุดขุนนางหวังทงชุ่มไปด้วยเหงื่อ พอกลับถึงโรงเตี๊ยมก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่งตัวง่ายๆ แล้วหวังทงก็ออกมาสั่งการว่า
“สื่อชี ไปดูว่าคนสืบข่าวข้างนอกยังอยู่หรือไม่ หากยังอยู่ ก็ให้จับตัวเข้ามา อย่าปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
สื่อชีรีบรับคำ ตะโกนตามพวกอู๋เอ้อร์ออกไปด้วยกัน หวังทงนั่งลง หลิ่วซานหลังลังเลครู่หนึ่ง ก็เข้ามากล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“ท่านโหว นี่เป็นหนานจิง หรือว่า?”
“ข้าเป็นผู้แทนพระองค์ ข้าคือติ้งเป่ยโหว ข้าคือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร พวกหนานจิงส่งคนมาจับตาดูข้าเหมือนไม่มีข้าในสายตา ก็ย่อมไม่เคารพราชสำนัก ไม่สั่งสอนพวกเขาเสียบ้าง เกรงว่าคงจะขึ้นมายืนบนหัวข้าแล้ว”
หลายบทบาทที่จับตาดูอยู่ด้านนอกทำได้มืออาชีพมาก บ้างก็ทำเป็นเลือกของที่ร้านริมทาง บ้างก็ทำเป็นตะโกนขายผลไม้ให้เป็นที่สะดุดหน้าหน้าสำนักตรวจสอบ ทว่าทางโรงเตี๊ยมนี้ปกติยิ่ง ยังมีคนขี่ม้าผ่านไปมา ทำเป็นเตรียมมาขอพักแรมที่โรงเตี๊ยม
คนพวกนี้แม้สถานะแตกต่างกันไป แต่ก็ล้วนมีจุดหมายเดียวกัน ล้วนจับตาดูโรงเตี๊ยมอยู่ คนพวกนี้มักเป็นคนคุ้นเคยกัน พอพบกัน ก็จะยิ้มให้เล็กน้อย แม้หวังทงมีสถานะเช่นนี้ แต่เจ้ามาพื้นที่หนานจิง เจ้าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใดทั้งนั้น
กำลังจับตาดูอย่างสบายใจก็กลับพบว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องนัก ทหารติดตามหวังทงกรูกันออกมาจากโรงเตี๊ยม พวกที่จับตาดูอยู่ก็ส่งสัญญาณเตือนกันทันที รู้ว่าเปิดเผยสถานะแล้วก็จะพากันหนี แต่เพิ่งจะเดินออกไปสองข้างถนน ก็เห็นหัวถนนสองทางมีทหารหวังทงกั้นไว้หมดแล้ว
คนขายผลไม้ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะเดินผ่านไป คำนับนอบน้อมกล่าวว่า
“นายท่านทั้งหลาย ขอทางให้ข้าน้อยผ่านไปหน่อยขอรับ”
องครักษ์ของหวังทงสบตากัน กลับพากันยิ้มกล่าวว่า
“หนานจิงไม่เหมือนที่อื่นจริงนะ ที่อื่นนี่ พ่อค้าเล็ก ๆ เห็นขุนนางก็ต้องให้ขุนนางไปก่อน เจ้านี่ใหญ่โตไม่เบานะ”
คนขายผลไม้อึ้งไป รู้ว่าสถานะเปิดเผยแล้ว กำลังจะพูดบางอย่าง กลับถูกทหารเข้ามาจับแขนไว้ ชกเข้าที่ท้องน้อยทีหนึ่ง คนขายผลไม้นั่นไม่ทันได้ป้องกัน กุมท้องล้มคุกเข่าลงกับพื้น อีกคนเข้ามาใช้เชือกมัดไว้อย่างรวดเร็ว
สายสืบที่เหลือพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ลนลาน คนขี่ม้าเตรียมเข้าพักโรงเตี๊ยมก็รีบโดดขึ้นม้า เตรียมตะบึงหนี เขาเคลื่อนไหวเร็ว แต่ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าทหารหวังทง พอขึ้นมาได้ คนข้างๆ ก็โดดเข้ามาลากตัวเขาลงจากหลังม้าทันที
ก็ไม่ได้ยุ่งยากอันใด เพียงแค่ส่งเสียงเจ็บตัวนิดหน่อย ถูกจับกุมหมดแล้ว คนพวกนี้ถูกจับ ดูแล้วยังมีสายคนอื่นอีก สามารถเห็นพวกไกลๆ หลายคนพากันวิ่งหนี ไม่จำเป็นต้องไปสนใจแล้ว
คนจับกลับมาได้แล้ว สื่อชีกับอู๋เอ้อร์กลับมารายงาน จากนั้นก็รีบวิ่งมา เห็นคนแปดคนถูกจับกองที่พื้น สื่อชีกล่าวว่า
“บอกที่มาของตนเองกับคนบงการมา รักษาชีวิตปลอดภัย ไม่เช่นนั้น…”
“พวกข้าเป็นชาวบ้านบริสุทธิ์ ขอใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย…”
อู๋เอ้อร์ด่าไป ตะโกนกล่าวว่า
“จูงสุนัขในโรงเตี๊ยมมา”
มีคนรับคำ ไม่นานสุนัขโรงเตี๊ยมก็ถูกจูงมาถึง อู๋เอ้อร์ชักดาบที่เอวออกมา จับหัวสายสืบคนหนึ่งไว้ สะบัดมือ ได้ยินเสียงร้องดังโหยหวน หูข้างหนึ่งขาดหลุดลงมา อู๋เอ้อร์เก็บใบหู โยนให้สุนัข
ของที่มีเลือดสดๆ สุนัขโรงเตี๊ยมย่อมกลืนลงไปทันที บาดเจ็บไม่ถึงชีวิต แต่พริบตาทุกคนก็ขนหัวตั้ง อู๋เอ้อร์หยิบมีดสั้นออกมาอีก เสียงเย็นเยียบกล่าวว่า
“หากยังไม่ยอมพูด จะตัดเลี้ยงสุนัขอีก ข้าไม่มีเวลามาเสียเวลากับพวกเจ้านะ!!”
งานจับตาไม่ใช่งานพลีชีพ คิดไม่ถึงว่าคณะผู้แทนพระองค์จะมีกำลังเข้มแข็งเก่งกล้าเช่นนี้ ทุกคนพากันหวาดกลัวพูดออกมาหมด ไม่กล้าปิดบังอันใด
ที่พวกเขาพูดมา ก็แค่ว่าผู้ใดส่งมา ไม่รู้มากกว่านี้ หวังทงก็รับมือง่ายๆ บอกว่าพวกเขาคิดการไม่ดีต่อผู้แทนพระองค์ ส่งตัวให้ศาลเมืองอิ้งเทียนจัดการ
พอฟ้ามืด ไห่รุ่ยมาเยือนถึงที่…