องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 844 ใจยังอยู่
“มีคนจากจวนเว่ยกั๋วกงส่งมา ยังมีคนหนึ่งเป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรท่านหนึ่งในเมืองส่งมา นายกองร้อยผู้นั้นหายตัวไปแล้ว คนที่เหลือศาลเมืองอิ้งเทียนยอมรับไปแล้ว บอกว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยใต้เท้าผู้แทนพระองค์”
ผลสรุปจากศาลเมืองอิ้งเทียนมาอย่างเร็ว หลิ่วซานหลังไปศาลเมืองอิ้งเทียนด้วยตนเองก่อนจะกลับมารายงานหวังทง หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ไปดูว่านายกองร้อยนี้เป็นคนของผู้ใด แค่นายกองร้อย ไม่น่ากล้าเพียงนี้ และก็ไม่มีความจำเป็นใด ต้องไปดูให้ได้ว่าเบื้องหลังคือผู้ใด!”
หลิ่วซานหลังพยักหน้ารับ หวังทงพิงพนักเก้าอี้ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ศาลเมืองอิ้งเทียนก็ไว้ใจไม่ได้!”
กล่าวถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนมารายงาน ว่าไห่รุ่ยแห่งหนานจิงขอพบ คนผู้นี้มาขอพบทำให้หวังทงอึ้งไป ให้เข้ามาได้
พอไห่รุ่ยเข้ามาในห้อง ก็ย่อมต้องคารวะยกน้ำชามารับ ทักทายตามมารยาท สองฝ่ายนั่งลง หวังทงยิ้มถามขึ้น
“ใต้เท้าไห่มาดึกเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะว่าข้าจับสายสืบที่ไม่มีตามองกระมัง?”
“ย่อมไม่ใช่ พอท่านโหวจากไป ข้าน้อยมาคิดๆ ดู บางเรื่องใต้หล้านี้มีแต่ท่านโหวทำได้ ข้าน้อยแก่มากแล้ว หากพลาดครั้งนี้ไป หลายเรื่องเกรงว่าคงได้แต่เอาเข้าโลงไปด้วยเท่านั้น”
ขณะกล่าวประโยคนี้ ไห่รุ่ยก็ล้วงเอกสารติดตัวออกมา ส่งให้หวังทงอธิบายว่า
“นี่คือเอกสารที่สืบคดีตระกูลสวีเมืองซงเจียงในตอนนั้น อำเภอหวาถิงและชิงผู่สองอำเภอในเมืองซงเจียงมีฉบับสำรองอยู่อีกชุด ยังมีพยานลงลายนิ้วมือไว้ในคำให้การ”
หวังทงเอื้อมมือไปรับไว้ นับว่าหลักฐานพยานพร้อมมูลแล้ว ไม่รอให้หวังทงเปิดอ่าน ไห่รุ่ยแค่นยิ้มกล่าวว่า
“ท่านโหวอย่าได้คิดว่ามีประโยชน์ หลายปีมานี้ เพราะนโยบายภาษีที่ดินท่านอำมาตย์จาง ทำให้สมุดบัญชีเปลี่ยนไปรอบหนึ่ง และพยานพวกนี้ก็หายตัวไปแล้ว ย้ายหนีไปไม่น้อย ในพื้นที่ก็หาไม่พบ คิดจะหาตัวออกมา คงต้องพึ่งพาโชควาสนาแล้ว”
“ก็ยังมีกว่าไม่มีจุดให้สืบ!”
หวังทงยิ้มตอบกลับ ไห่รุ่ยถอนหายใจยาวกล่าวว่า
“ท่านโหวครั้งนี้อาจสืบไม่ได้อันใด แต่เรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นาไม่ใช่แค่ตระกูลเขาคนเดียว แต่ละตระกูลใหญ่แดนใต้ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ท่านโหวต้องระวังให้รอบคอบ!”
กล่าวถึงตรงนี้ ไห่รุ่ยก็ลุกขึ้นยืนขึ้น คำนับอย่างนอบน้อมที่สุด กล่าวจริงจังว่า
“ใต้หล้าขุนนางแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งก็คือ ใต้เท้า สองก็คือ คนอื่น พวกที่มีความชอบก็มักจะรวบรวมที่นามาครอง พอรวบรวมได้ก็อาศัยชื่อยกเว้นภาษี ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข พวกขุนนางมีความชอบก็มากขึ้นเรื่อยๆ การรุกครองที่นาก็ยิ่งมากขึ้น แต่พวกนี้แผ่นดินก็มีให้เบี้ยหวัดอยู่แล้ว พวกเขาต้องการร่ำรวยยิ่งขึ้น ก็ได้แต่ต้องขูดรีดพวกที่เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไร้ความชอบไร้ตำแหน่ง พวกร่ำรวยก็ยิ่งรวย พวกยากจนก็ยิ่งจน หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป พวกชาวบ้านตัวเล็กๆ ก็คงถูกขูดรีดยิ่งมาก สุดท้ายแผ่นดินหมิงก็จะหมดสิ้นเงินทอง สิ้นหนทาง!”
ได้ยินไห่รุ่ย หวังทงกลับยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวเช่นนี้เหมือนจับข้าแยกออกจากชนชั้นสูงใต้หล้า กลายเป็นเหมือนชาวบ้านเหมือนโจรแล้ว!”
เดิมไห่รุ่ยกล่าวถึงคุณธรรมใหญ่ ก้มกายคำนับอยู่ก็ยืดตัวตรง ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็อึ้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงไปมาก
“ใต้เท้าไห่นั่งลงสนทนากัน ข้าฟังก็พอ ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเช่นนี้”
บรรยากาศไม่อาจทำให้เคร่งเครียดจริง ไห่รุ่ยส่ายหน้านั่งลงก่อนจะกล่าวว่า
“เมืองซงเจียงมีตระกูลสวี เมืองฉางโจวเมืองเมืองซูโจวและที่อื่นๆ ก็มีเช่นตระกูลสวีอีก 20 ถึง 30 ตระกูลใหญ่พวกนี้ก็มีคนเป็นขุนนาง พวกเขามีที่นาในครอบครองมาก ทำการค้าในเมืองมาก อาศัยตำแหน่งไม่ต้องจ่ายภาษีทางการ เรื่องนี้ใต้หล้ามีกันทุกแห่ง แดนใต้พิเศษหน่อย หากเป็นตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกเก็บภาษีหนักสุด หากปล่อยเช่นนี้ไป ราชสำนักไม่มีเงิน ก็ย่อมต้องล่มสลาย”
“แม้ว่าตระกูลสวียอมคายที่นาออกมา ก็ยังมีตระกูลจาง ตระกูลหลี่ เมืองซงเจียงไม่มีตระกูลสวี เมืองซงเจียงก็ยังมีอีกหลายตระกูล จะมีประโยชน์อันใด?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง วาจากล่าวจบ ไห่รุ่ยอึ้งไป กำลังคิดอยู่นานก็พบว่าไม่อาจกล่าวอันใดต่อได้ ก่อนหวังทงออกจากเมืองหลวง ก็เห็นเอกสารไห่รุ่ยแล้ว ได้ลองวิเคราะห์แนวคิดไห่รุ่ยมาแล้ว ยามนี้กล่าวอีกว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวได้มีเหตุผล ทว่ามากไปกว่านั้นก็คือยังคิดจะคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่ถูกยึดที่นาไปพวกนั้นกระมัง”
“…ตอนนั้นก็คิดเช่นนี้ ชาวบ้านเล็กๆ ลำบากมาทั้งชีวิต ทำนาสร้างครอบครัว กลับถูกตระกูลสวีใช้อำนาจฮุบที่ดินทำกินไป พริบตาสมบัติหายไปสิ้น แม้แต่ที่จะยืนก็ไม่มี ข้าน้อยอ่านตำราปราชญ์มามาก รู้หลักการคุณธรรมดี ไม่อาจยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ต้องดูแลสักหน่อย!”
ไห่รุ่ยจมเข้าสู่ห้วงความคิด หวังทงส่ายหน้ากล่าวอีกว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวเหตุผลมามากมาย กลับไปสู่จุดเริ่มต้น ก็ยังต้องการให้ข้าน้อยจัดการตระกูลสวี ให้คายที่นาคืนเจ้าทุกข์”
ไห่รุ่ยพยักหน้า กลับไม่กล่าวอันใด หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“วันนี้ใต้เท้าไห่กับข้าสนทนากันมากมายเช่นนี้ ข้ามีวาจาขอใต้เท้าไห่อย่าได้กล่าวออกไป”
ด้วยคุณธรรมไห่รุ่ย ในเมื่อหวังทงกำชับก็ย่อมไม่พูดออกไป หวังทงรู้ดีจึงกล่าวอีกว่า
“ธรรมเนียมบรรพชนตั้งไว้ พวกมีคุณความชอบมีตำแหน่งย่อมได้รับการเว้นภาษี พวกนี้ได้กำไรมาก กลับไม่จ่ายภาษี ไม่มีภาระหน้าที่อันใด แต่ราชสำนักยังมีเงินที่ต้องใช้จ่าย จะหาเงินมาได้อย่างไร ย่อมต้องอาศัยการเก็บภาษี แต่คนทำกำไรมากกลับไม่ต้องจ่ายภาษี คนทำกำไรน้อยกลับต้องรับภาระภาษีของคนทำกำไรมาก ตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่เก็บภาษีได้ถึงหกส่วนในใต้หล้า เพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีการค้าอีกมากมาย และเพราะรวยทำให้คนก็พลอยมีคุณภาพ มีพรรคพวก ขุนนางทางนั้นได้ตำแหน่งกันก็ยิ่งมาก คนรับหน้าที่จ่ายภาษีก็ยิ่งน้อยลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วก็ย่อมต้องเดินเข้าสู่ทางตัน”
“นโยบายภาษีที่ดินจางจวีเจิ้งไม่ดีหรือ?”
“นโยบายภาษีที่ดินแค่ประวิงเวลาระยะหนึ่ง ไม่อาจได้ตลอดชาติ ขุนนางยิ่งมาก พวกเขาแม้ไม่ฮุบที่นา กิจการพวกเขาปลอดภาษี ก็ย่อมทำให้ผลประโยชน์แผ่นดินหมิงลดลง นโยบายภาษีที่ดินที่ข้ารู้มาถึงตอนนี้กลายเป็นวิธีการเพิ่มภาษีราษฎรแทนแล้ว เรื่องใต้เท้าไห่คงไม่ใช่ว่าไม่รู้กระมัง!?”
หวังทงกล่าวจบก็ทำเอาไห่รุ่ยอึ้งไปนาน ถอนหายใจยาว กล่าวว่า
“ที่ท่านโหวว่ามาเป็นความจริง แต่แก้ไขอย่างไร ลงมืออย่างไร จะให้คนมีตำแหน่งไม่ได้ประโยชน์ในการงดภาษี ก็ย่อมเป็นนโยบายดี แต่จะจัดการอย่างไร ทำอย่างไร ก็ย่อมเท่ากับเป็นศัตรูกับบัณฑิตใต้หล้า เป็นศัตรูกับขุนนางใต้หล้า แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่แน่ว่าไม่อาจทำได้”
กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป ไห่รุ่ยส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า
“ไม่ใช่ทุกคนเป็นเช่นข้าน้อย ที่บ้านทำนา ให้หญิงในบ้านทอฟ้า ฟังท่านโหวว่ามาเช่นนี้ ข้าน้อยอยู่ๆ ก็คิดได้ ทำหรือไม่ก็เหมือนกัน ช้าเร็วก็คงต้องเดินไปสู่ทางตัน”
หวังทงพูดได้มีเหตุผล แก้ไขสถานการณ์ก็ง่ายมาก ยกเงินสิทธิพิเศษของพวกมีตำแหน่ง พวกบัณฑิตสอบได้พวกนั้นให้หมด แต่หากทำแล้ว ก็เท่ากับทำลายระบบการสอบรับราชการ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับบัณฑิตใต้หล้า เป็นศัตรูกับขุนนางใต้หล้า มีคำกล่าวว่า ฮ่องเต้และบัณฑิตร่วมบริหารงานใต้หล้า ใต้หล้านี้ต้องพึ่งพาบัณฑิตมาจัดการ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับใต้หล้า
ไห่รุ่ยสามารถคิดได้ว่าการเติบโตของตระกูลใหญ่เป็นการรุกทำลายแผ่นดินหมิง คงไม่ใช่ว่าคิดเหตุผลนี้ไม่ได้ เพียงแต่เขากล้าจะคิด หากได้แต่กล้าจ้องมองแค่สิทธิพิเศษของตระกูลสวี
อย่างไรไห่รุ่ยเองก็เป็นบัณฑิตเรียนตำรามา ก็อาศัยการสอบขุนนางค่อยๆ ก้าวสู่วันนี้ เขาสามารถคิดได้ทำได้อย่างมาก็คือแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ตอนนี้ไห่รุ่ยยึดมั่นก็ยังคงเป็นการเอาเรื่องตระกูลสวีให้ได้ ที่เขาเอ่ยถึงคุณธรรมและหลักการนั้นล้วนคิดให้หวังทงไปตรวจสอบตระกูลสวีเท่านั้น
คนยึดมั่นถือมั่นอายุมากแล้ว และไม่อาจทำใจให้สงบได้ และไม่อาจปล่อยวางได้ ย่อมเป็นเช่นนี้ ทว่าหวังทงคิดมากกว่านั้น
ไห่รุ่ยทอดถอนใจเสร็จ ก็นั่งเงียบไปนาน หวังทงนั่งจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ ไม่ส่งเสียง ผ่านไปครู่หนึ่ง ไห่รุ่ยคิดจะยืนขึ้น อาจเพราะนั่งนานไปหน่อย พอยืนขึ้นจึงโงนเงนจนต้องใช้มือท้าวพนักเก้าอี้ ยกมือจัดชุดให้เรียบร้อยก่อนกล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ท่านโหวกล่าวได้ดี กล่าวได้กระจ่าง ดูท่าตระกูลสวีไม่จำเป็นต้องสืบคดีอันใดแล้ว สืบตระกูลสวีก็ต้องแตะโดนตระกูลอื่น ราษฎรยังคงต้อง…”
“อย่างไรก็ต้องสืบ หลังใต้เท้าไห่ยื่นฎีกา จากเมืองหลวงมาหนานจิง ทุกแห่งได้เห็นการกระทำของตระกูลสวี บนแผ่นดินหมิงนี้ มีคนไม่ต้องจ่ายภาษี กลับสามารถสั่งการราชสำนักได้ เป็นโชคหรือเป็นภัยแผ่นดินกัน ขุนนางใต้หล้าแดนใต้ร่วมมือกัน ส่งเสียงประสานกัน คิดการคุมอำนาจราชสำนัก ในราชสำนักก็จะมีแต่ขุนนางที่พวกเขาต้องการใช้งาน ราชสำนักทำได้แต่ออกนโยบายเป็นประโยชน์กับพวกเขา ตั้งแต่ฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์มาระยะหลัง 20 ปีถึงตอนนี้ เกือบ 50 ปีแล้ว สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้น ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ หรือว่าเป็นของขุนนางใต้กันแน่ สืบตระกูลสวีก็เท่ากับเคาะภูเขาตักเตือนพยัคฆ์”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าไห่รุ่ยก็ผ่อนคลายลง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าไห่ วาจาคืนนี้ไม่ใช่ราชโองการฝ่าบาท แต่เป็นการคาดเดาของข้าคนเดียว ไม่ได้เป็นดังคำกล่าวของทางการ!”
ไห่รุ่ยส่ายหน้าเบาๆ ลังเลครู่หนึ่ง ถามขึ้น
“เมืองหลวง สมรสพระราชทาน ข้าน้อยได้ยินมาบ้าง ท่านโหวยังเป็นเช่นนี้ ช่าง…”
“ข้าเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ทุกอย่างทำไปก็เพื่อแผ่นดินหมิง จะว่าไป ข้าก็ไม่ได้เสียอะไรไป”
หวังทงยิ้มตอบ พูดกันถึงตรงนี้ ไห่รุ่ยก็ย่อมไม่มีอันใดกล่าวต่อ ได้แต่ลุกขึ้นอำลา หวังทงไปส่งก็อดไม่ได้ถามว่า
“ใต้เท้าไห่ทำมาทั้งชีวิต เพื่อชาติเพื่อประชา ไม่มีคิดเพื่อตนเองสักนิดบ้างเลยหรือ?”
“เริ่มแรกก็มีอยู่ แต่ต่อมาข้าก็ลืมไปหมด ทว่าถามใจตนเอง ที่ทำมาไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใด ล้วนเพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อปวงประชา!!”