องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 846 อำเภออู๋ริมคลองส่งน้ำ
ที่ทำการเมืองซูโจวอยู่ในอำเภออู๋ เป็นพื้นที่สำคัญบนคลองส่งน้ำ รุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้า การข่าวที่นี่ย่อมต้องแม่นยำฉับไวมาก
ราชสำนักส่งผู้แทนพระองค์มาตรวจเมืองซงเจียง ผู้แทนพระองค์ก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ข่าวนี้เริ่มแพร่ไปทั่วเมืองซูโจวก่อนหน้านี้แล้ว ข่าวหายไประหว่างทางตอนเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน จากนั้นก็เกิดเหตุโจรเหิมเกริมไร้ตาที่เมืองพีโจว จึงได้เปิดเผยเส้นทาง ทุกคนในเมืองซูโจวรู้เรื่องนี้ดี
ผู้แทนพระองค์มาถึงหนานจิง กำลังสนทนากับไห่รุ่ยหรือไห่ชิงเทียน ชื่อที่ชาวบ้านตั้งให้ว่าเสมือนขุนนางมือสะอาดดังเปาชิงเทียนหรือเปาบุ้นจิ้น ใกล้จะถึงเมืองซงเจียงแล้ว ข่าวนี้เริ่มแพร่ไปยังทุกตรอกซอกซอยในเมืองซูโจวแล้ว
หนานจิงถึงเมืองซงเจียงนั่งเรือก็ราวสามวัน หากลมดีก็ยังเร็วกว่านั้นได้ เช่นนี้ หวังทงเข้าเขตเมืองซูโจวไปเมืองซงเจียงก็อีกไม่กี่วันแล้ว
“หวังทงได้พบไห่ชิงเทียนแล้ว ไห่ชิงเทียนยังชี้ด่าหวังทงว่าเป็นขุนนางชั่วช้าแห่งแผ่นดิน วันนี้มาก่อความเดือดร้อนให้แดนใต้ คิดว่าแผ่นดินหมิงไร้ผู้กล้าจัดการเจ้าหรือไร? หวังทงเป็นมารร้ายกลับชาติมาเกิด ก็แสดงนิสัยชั่วร้ายทันที มือก็คว้าดาบ คิดไม่ถึงว่าไห่ชิงเทียนจะเป็นดาวบุ๋นมาเกิด แสงทองส่องประกาย ทำให้ภูติผีเกรงกลัวมาก หวังทงได้แต่รู้สึกว่าพอฟันลงไป ก็ล้มลงกับพื้น ตกใจเรียกหาบิดา ส่งเสียงร้องขอชีวิต!!”
เมืองซูโจวร่ำรวยสุดในใต้หล้า ไม่พูดถึงการเก็บเกี่ยวที่เรียกได้ว่าอันดับต้นๆ ในใต้หล้า กิจการการค้าที่นี่ก็เป็นหนึ่งในแผ่นดินหมิง มีโรงช่างมากมาย แต่ละร้านค้าแต่ละกิจการเต็มแน่นขนัด ไม่เช่นนั้นเมืองมากมายบนแผ่นดินหมิง ภาษีเมืองซูโจวก็คงไม่ใช่อันดับหนึ่งในใต้หล้านี้
ชนชั้นสูงมาก และยังไม่มีงานให้ต้องทำอันใด ย่อมว่างกันอยู่มาก ชนชั้นสูงร่ำรวยส่วนใหญ่ย่อมเดินเล่นหาความสำราญในสวนบ้านตน บางครั้งก็อาจออกไปหาร้านน้ำชานั่งดื่ม
เมืองซูโจวเป็นเมืองมีสายน้ำทะเลสาบมาก ร้านน้ำชาก็มักตั้งติดน้ำเพื่อชมวิวแม่น้ำ บอกว่าดื่มชา หากด้านในยังมีงิ้วร้องให้ชมอีกด้วย น้ำชาขนมของว่างไม่ต้องพูดถึง แม้จะจัดเลี้ยงก็ยังทำได้ เทียบกับสวนในบ้านตนเองแล้ว ความครึกครื้นนี้ก็เป็นความสำราญหนึ่ง
มีพวกคหบดีชนชั้นสูงมากมายหลายคนที่ไม่อยากดูสวนงดงามของตนเอง ทิ้งสาวงามในเรือนตนเอง ออกไปนั่งเล่นสำราญตามร้านน้ำชา
ร้านน้ำชาเมืองซูโจวอันดับหนึ่งก็อยู่ที่ริมคลองส่งน้ำ ที่นี่ครึกครื้นกว่าที่อื่นๆ ในเมืองซูโจวมาก สามารถเห็นพ่อค้าไปมามากมาย และยังได้เห็นความงามแปลกตา ยังมีสินค้าแปลกใหม่ที่สุด สภาพการค้ารุ่งเรือง ยังมีนางคณิกาขับร้องร่ายรำมีชื่อจากทางใต้หนานจิงและทางเหนือเมืองซงเจียง ให้ความสำราญกันอยู่ที่นี่
ทุกวันตอนเช้ามา ก็จะชงชามากาหนึ่ง จากนั้นก็มีขนมประณีตหลายอย่าง ล้อมวงนั่งกับสหายสนิท คุยสัพเพเหระไปเรื่อย ชีวิตช่างมีความสุข
เรื่องที่คุยกัน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่บ้านเมืองและเรื่องนินทาชาวบ้านทั่วไป ทุกคนคุยกันน้ำลายแตกฟอง เห็นๆ ว่าเป็นแค่บัณฑิตร่ำเรียนตำรามา แต่เรื่องที่คุยกันกลับเหมือนขุนนางทำงานนานปี ไม่มีเรื่องใดไม่รู้ หากเป็นคนที่ไม่รู้อันใดมาได้ยินเข้า ย่อมคิดว่าบ้านเมืองไยไม่ใช้คนพวกนี้เป็นมหาอำมาตย์และเสนาบดี ช่างน่าเสียดายความสามารถโดยแท้
คนแรกที่พูดนั้นเป็นเรื่องน่าแปลก ทุกคนย่อมไม่เชื่อ พากันหัวเราะดังลั่น กลับมีคนกล่าวว่า
“ตระกูลสวีเมืองซงเจียงระดับไหนแล้ว ผู้นำชาวใต้เราเลยนะ อย่างไรบัณฑิตทั้งหลายก็ต้องอาศัยตระกูลสวีจึงจะมีอนาคต มีคนมากมายเท่าไรที่พึ่งพาอาศัยตระกูลสวี ขุนนางเมืองก็มีหลวงหลายคน แต่เพราะวาจาไม่กี่คำของขุนนางนั่นก็ส่งหวังทงขุนนางชั่วมาจัดการคดีนี้ ช่างเหลวไหลจริง!”
“ข้าว่านะ คงเป็นเพราะคนทางเหนือเห็นเราคนทางใต้แล้วขัดตา คิดว่าทางใต้เราสมบูรณ์ดี ยังร่ำรวยอีก เลยอิจฉาริษยาเรา เลยชอบมาหาเรื่องไร้สาระกับพวกเรา เสียดายตระกูลสวีที่ต้องมาประสบเรื่องเช่นนี้!”
“ทุกคนก็อย่ามองโลกแง่ร้ายไป ฮ่องเต้ทรงให้หวังทงออกจากเมืองหลวง ก็เท่ากับไล่เขาออกมา ให้คนชั่วไม่อาจทำชั่วต่อที่เมืองหลวง ไห่รุ่ยนั่นอย่างไรปีหนึ่งก็ต้องร้องเรียนตระกูลสวีหลายครั้งอยู่ เหตุใดปีนี้จึงมาเกิดเรื่องเช่นนี้ได้กัน!”
“ไห่รุ่ยก็แก่แล้ว เอาแต่เลอะเลือนกับเรื่องนี้อยู่ได้”
“พวกเจ้าล้วนบอกว่าตระกูลสวีงั้นงี้ ข้าว่านะตระกูลสวีก็ใช่ว่าจะดีอย่างที่พวกเจ้าว่ามา ที่นาพวกเขาได้มาอย่างไร ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ มีที่นาในครอบครองตั้งสี่แสนกว่าหมู่ได้ เสบียงเมืองซงเจียงก็แทบอยู่ในกำมือพวกเขาหมดแล้ว ปีๆ หนึ่งทุกคนลำบากหาเงิน ก็ต้องมาถูกพวกเขากินไปเท่าไร!? พวกเจ้ายังมาพูดถึงพวกเขาดีเช่นนี้ได้อีกหรือ?”
“พี่ชายก็พูดไม่ถูกนะ ที่นาตระกูลเขามาอย่างไร ทุกคนย่อมรู้ดี แต่ทุกคนที่นั่งอยู่นี้ไม่ใช่ว่ามาแบบเดียวกันหรือ หรือว่าท่านมิใช่กัน?”
ร้านน้ำชาทุกคนว่างงาน เจ้าพูดคำ ข้าพูดคำ ใช่ว่าจะปรองดองกันหมด ย่อมต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่ร้านน้ำชาเช่นนี้ น้ำชาดีทิวทัศน์งาม ขนมและอาหารพ่อครัวมีชื่อ การค้าดีเช่นนี้ ย่อมไม่อาจทำให้คนอื่นเสียการค้า ก็แค่ครึกครื้นกันไปก็พอ
โรงน้ำชาล้วนมีพ่อค้าเล็กๆ แวะเวียนไปมา มีคนขายเนื้อวัวปรุงสุก ถั่วห้ารส แผ่นรากบัว ผลไม้สดและแห้ง แต่งกายเรียบร้อย ทุกโต๊ะล้วนเข้าไปถามเบาๆ หากมีการค้าก็ทำ หากไม่มีการค้าก็เดินไปอีกโต๊ะอย่างสุภาพ
ทางนั้นคุยกันออกรส จึงไม่ได้ทันได้สังเกตเด็กขายถั่วห้ารสที่ตั้งใจฟัง เด็กชายที่ใกล้โตเต็มวัยรูปร่างผอม ตัวดำเมี่ยม ยามเดินมักก้มหน้า กำลังหยุดยืนฟัง ก็ย่อมขวางทางผู้อื่น จึงถูกคนในร้านผลัก ตวาดว่า
“ไวหน่อย อย่ามาขวางทางผู้อื่น!”
เด็กนั่นก้มตัวลงคว้าตะกร้าเกือบคว่ำ หันกับไปคำนับขอโทษ น้ำเสียงแหบพร่า ไม่น่าฟังเท่าไร
ถั่วห้ารสเป็นกับแกล้มว่าง ขอเพียงทำได้รสชาติไม่เลว ก็มีขายได้ ทางนั้นมีคนตะโกนเรียก เด็กน้อยรีบวิ่งไป กลับมีโต๊ะหนึ่งเย้าแหย่ขึ้นว่า
“เรื่องใต้หล้านี้ไม่มีอันใดเพียบพร้อมไปหมด ไห่ชีเหนียงแห่งเรือนจันทราเสี้ยว รูปร่างหน้าตาดี แต่ขาใหญ่ไปหน่อย เจ้าดูเจ้าเด็กขายถั่วห้ารสนี่ มองจากด้านหลัง ก็ไม่เลว แต่หันหน้ามาดำเมี่ยม น้ำเสียงก็หยาบไม่เพราะ ไม่งั้นพากลับไปบ้านสั่งสอนอบรมให้เป็นเด็กหนุ่มรับใช้คนสนิทก็ไม่เลวนะ”
“เจ้านี่นะ ทางน้ำดีๆ ไม่ไป กลับชอบหาทางแห้งแล้งเดิน ชอบหาเรื่องใส่ตัว”
พวกเขาคุยกันอย่างไม่ระมัดระวังวาจา มีคนขมวดคิ้ว มีคนได้ยินก็ขำขัน ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนั่นได้ยินหรือไม่ เห็นแต่เด็กหนุ่มร่างกระตุกแล้วก็รีบวิ่งลงไปทันที
หลายคนในโรงน้ำชารู้จักเด็กคนนี้ดี ทุกครั้งหากขายไม่หมดตะกร้าก็จะไม่ไป บางครั้งยังมีสินค้าอื่นๆ เสริมมาขายด้วย วันนี้กลับไม่รู้ทำไม เห็นในตะกร้ายังเหลืออีกไม่น้อย ทำไมจึงจากไปแล้ว
ราคาบ้านเรือนในเมืองซูโจวในเมืองสูงมาก อำเภออู๋แพงกว่าในเมืองหนานจิงสองเท่า นี่ไม่ใช่มุมที่ดีที่สุด แต่หากในเมืองที่แบบนี้ ราคาก็ย่อมไม่รู้ว่าจะสูงเท่าใด
เด็กหนุ่มขายถั่วห้ารสย่อมไม่มีสถานะพอที่จะอยู่ที่นี่ได้ เขาคล้องตะกร้าเร่งเดินออกนอกเมืองไป พอเดินไปถึงที่ลับตารกร้าง ก็เดินเข้าไปในเพิงฟางพังๆ หลังหนึ่ง เข้าไปในห้อง วางตะกร้าสานลงผลักประตู ดีอกดีใจกล่าวว่า
“ท่านแม่ วันนี้ข้าได้ยินคนที่ริมแม่น้ำพูดกันว่า ผู้แทนพระองค์กำลังมาแล้ว ท่านแม่ พวกเราไปฟ้องร้องกัน คืนความเป็นธรรมให้พวกเรา”
หญิงท่าทางอ่อนแอนางหนึ่งกำลังเย็บเสื้อผ้าที่เรียกได้ว่าปะทั้งตัว พอได้ยิน ก็ถอนหายใจ เสียงแหบอ่อนแรงกล่าวว่า
“ลูกเอ๋ย อยู่บ้านอย่าเอาแต่พูดๆ ไม่หยุดจนเสียงแหบเลย ฟ้องร้องรึ อย่าฟ้องดีกว่า พวกขุนนางใช่ว่าปกป้องกันเองหรือ? ท่านอาอู๋เจ้าตายอย่างไร ยังไม่ใช่เพราะไปฟ้องร้องจึงถูกคนใส่ร้ายกลับหรือไง ตอนนี้แม้แต่ศพก็หาไม่เจอ แม่ว่าเจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก ก็ต้องรู้จักแยกแยะ…”
กล่าวถึงตรงนี้ กลับอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เด็กน้อยรีบเข้ามาปลอบใจว่า
“ท่านแม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไห่ชิงเทียนได้คืนตำแหน่ง ได้ยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงได้ส่งผู้แทนพระองค์มา และได้ยินมาจากโรงน้ำชาว่า ครั้งนี้ผู้แทนพระองค์กับตระกูลใหญ่พวกนั้นไม่ถูกกัน ท่านแม่ ทุกคนบอกว่าอายุไห่ชิงเทียนมากแล้ว อีกไม่กี่ปี ก็ไม่มีคนเอ่ยเรื่องพวกนี้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราจะแก้แค้นได้อย่างไร?”
ได้ยินเด็กน้อยกล่าวอย่างร้อนใจ หญิงผู้นี้ก็หยุดสะอื้นไห้ ร้อนใจกล่าวว่า
“ลูกเอ๋ย คนพวกนั้นป้องกันแน่นหนา ผู้แทนพระองค์เดินทางย่อมมีขบวนใหญ่ เกรงว่าเจ้าแม้แต่เรือก็เข้าใกล้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นให้คนพวกนั้นพบเห็นเข้า ก็คงตามมาสังหารพวกเราทิ้ง ถึงตอนนั้นจะหนีอย่างไร!”
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เมืองซูโจวไม่ได้ อย่างไรก็ต้องได้สักที่ นี่เป็นโอกาส นี่เป็นโอกาสที่ท่านพ่อและท่านอาบนสวรรค์…”
*****************
สื่อชีกับหลิ่วซานหลังเป็นคนฉลาดหูตากว้างไกล พวกเขาเลือกส่งคนหัวไวไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพร แม้ว่าองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงจะระวังตัวมาก แต่ก็ยังสืบหาข่าวมาได้บ้าง
จากเช้าถึงค่ำ ก็มีข่าวมาถึงหวังทงเรื่อยๆ อวี๋ชิงกั๋วกับเมิ่งเซี่ยนฮุยดูแลลูกน้องตัวเองในกองพันได้เหนียวแน่น มีแต่จางเหลียนเซิงที่แม้บิดาและอาเขามีความชอบมีตำแหน่ง แต่เขาแต่เล็กก็ถูกตามใจมา เดิมไม่ได้คิดจะมาเป็นองครักษ์เสื้อแพร
แต่ต่อมา ที่บ้านมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นชาย ไม่มีทางเลือก จางเหลียนเซิงที่ถูกเลี้ยงตามใจแต่เล็ก ไม่ค่อยมีฝีมือการต่อสู้เท่าไร ไม่กล้าสู้คน ตำแหน่งนายกองพันของเขาจึงคุมได้แค่ไม่ถึงร้อยคน ทว่าคนเป็นองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ดี แต่เป็นพ่อค้าไม่เลว โรงผ้ากับโรงปลูกผักเขาล้วนทำกำไรไม่น้อย สามารถมีให้เขาใช้จ่ายได้อย่างสบาย
มีนายกองพันไม่เอาไหนเช่นนี้ อำนาจในหนานจิงก็สามารถยื่นมือมามาจัดการได้ ลูกน้องสามารถทำอะไรก็ได้ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ ดังนั้นจึงปล่อยเขาอยู่ตำแหน่งนี้ไป
ว่ากันว่าจางเหลียนเซิงไม่คิดอะไรก็ไม่ใช่ ว่ากันว่าคิดจะกุมอำนาจเหมือนกันจะถูกต่อต้านหลายครา สองปีนี้ก็หันไปสนใจแต่การค้าแทน งานองครักษ์เสื้อแพรก็แค่ทำๆ ไปอย่างนั้น
เรื่องวันนี้ เขารักษาคำพูดอยู่ พอพระอาทิตย์ตกดิน จางเหลียนเซิงก็มาหาหวังทง บอกว่าจองเหมาเรือไป๋หลันเรือสำราญใหญ่สุดบนแม่น้ำฉินไหวเหอไว้แล้ว เพื่อเลี้ยงต้อนรับใต้เท้าผู้บัญชาการ