องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 847 บนแม่น้ำฉินไหวเหอ
แม่น้ำฉินไหวเหอทิวทัศน์งามอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของพวกมีเงิน แม้คนไม่เคยมาหนานจิงก็ย่อมเคยได้ยินกิตติศัพท์แม่น้ำฉินไหวเหอ ย่อมเคยจินตนาการถึงทิวทัศน์แม่น้ำฉินไหวเหอ
หวังทงรับคำเชิญไปงานเลี้ยงจางเหลียนเซิง ขึ้นเรือไป๋หลันล่องแม่น้ำฉินไหวเหอ ทหารติดตามเขาตกใจไม่น้อย ในสายตาพวกเขา หวังทงไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร เขาสนใจสถานที่พวกนี้ก็แค่เป็นองค์ประกอบทั่วไป ย่อมไม่ไปหาความสำราญ
แม้ว่าจะดึงจางเหลียนเซิงเป็นพวก แต่ตามปกติวิสัยตอนอยู่เมืองหลวง หวังทงก็จะเลือกสถานที่พบเอง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะตอบรับคำเชิญเช่นนี้
ไม่คิดให้ยุ่งยากซับซ้อน ก็แค่หวังทงได้ยินกิตติศัพท์แม่น้ำฉินไหวเหอ คิดไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย บนแม่น้ำฉินไหวเหอที่มีชื่อที่สุดก็คงเป็นกิจการบันเทิง
ในหมู่ชาวบ้านมีเรื่องเล่ากันว่า หอสุราและหอคณิกาแม่น้ำฉินไหวเหอนี้ไม่ใช่ทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของเมืองหนานจิง ยังมีที่ลับอีกสองสามแห่ง มีเพียงระดับอ๋อง ระดับบรรดาศักดิ์ใหญ่เท่านั้นจึงจะไปชมได้
แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ ที่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ทุกคนก็รู้ดี นางคณิกาที่มีชื่อที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าอยู่ที่นี่ ไม่มีชื่อ ไหนเลยจะอยู่ที่นี่ได้
เรือไป๋หลันเป็นเรือสำราญสองชั้น กลางวันจอดอยู่ที่หอไป๋หลัน แขกมีระดับมากมายมานั่งฟังเพลงกันอยู่บนเรือไป๋หลัน จากนั้นก็จะกลับไปหาความสำราญต่อที่หอหลันฮวา
ตอนฟ้าใกล้มืดจางเหลียนเซิงก็มารับหวังทง เช้ามาโขกศีรษะรับผิด ตอนกลางวันมีคนร้านสามธาราไปติดต่อถึงที่ ทำการค้ากันสองสามอย่าง พอคุยการค้าเสร็จ ก็คิดแล้วว่าได้กำไรก้อนโต การค้าตนย่อมไต่ระดับขึ้นไปอีกขั้น จางเหลียนเซิงดีใจหยุดไม่อยู่ เดิมคิดว่าเป็นภัยหายนะตกจากฟ้า ไหนเลยจะเป็นมงคลใหญ่เช่นนี้ได้ ตอนมารับหวังทง ท่าทางจึงยิ่งนอบน้อมยิ่งกว่าตอนเช้ามาก
ทหารติดตามหวังทงมุ่งไปยังแม่น้ำฉินไหวเหอ ทุกคนตลอดทางก็เป็นจุดสนใจของผู้คนรอบๆ แม้ว่ารู้สึกภาคภูมิใจ แต่ทหารติดตามหวังทงก็ไม่กล้าชะล่าใจ ขบวนหวังทงถูกคนมากมายจับตา ก็รู้สึกเป็นลางไม่ดีแล้ว
“ท่านโหว คืนนี้ด้านหลังมีอย่างมากสองกลุ่มตามมา ไกลอยู่สักหน่อย รู้จักระยะห่างไม่เลว!”
ระหว่างทาง สื่อชีก็ควบม้าเข้ามารายงาน หวังทงพยักหน้าไม่ตอบอันใด
**************
“ครั้งนี้จ่ายไปเท่าไร?”
“ข้าน้อยเลี้ยงรับรองท่านผู้บัญชาการเป็นเรื่องสมควร คุยเรื่องเงินทองอันใดกัน ขอผู้บัญชาการวางใจ”
ตอนหวังทงถาม สีหน้าจางเหลียนเซิงยิ้มร่ากล่าวตอบ หวังทงส่ายหน้ายิ้มถามขึ้น
“ไม่ใช่มารยาท แค่อยากรู้ว่าที่นี่ต้องใช้เงินเท่าไร?”
จางเหลียนเซิงกระแอมไอ ท่าทางอึกอักกล่าวว่า
“สามารถมานั่งชั้นสองเรือไป๋หลันกินอาหารได้ ก็ 88 ตำลึง ข้าน้อยยังเชิญแม่นางมีชื่ออันดับต้นๆ ของหอหลันฮวามาขับกล่อมบรรเลงด้วย ก็ต้องราว 120 ตำลึง หากยังต้องการพักค้างคืนด้วย ค่าใช้จ่ายก็ต้องไปหารือกับแม่เล้าหอหลันฮวาก่อน”
“นายกองพันจางสถานะนี้แล้ว หรือว่าหอหลันฮวาไม่ให้ราคาพิเศษ ?”
“ผู้บัญชาการใต้เท้าล้อเล่นแล้ว เพราะสถานะข้าน้อยนี่แหละ เกรงว่าชั้นสองเรือไป๋หลันนี้สถานะข้าน้อยคงจองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเบอร์หนึ่งอย่างแม่นางซิ่วเอ๋อร์”
หวังทงส่ายหน้ายิ้มไม่กล่าวอันใด จางเหลียนเซิงเป็นหนึ่งในสามนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง กลับไร้เกียรติต่อหน้าหอคณิกาเช่นนี้ เห็นได้ว่าปกติสถานะเขานั้นก็คงเป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนเช่นนี้ก็ยิ่งอยากจะดึงมาเป็นพวก ก็ย่อมอยากจะเปลี่ยนแปลงความเป็นเขาเช่นนี้ทิ้ง
หลังจากหวังทงมาถึงโลกนี้ แม้ว่าสถานะจะเลื่อนเร็ว มีภูเขาทองทะเลเงินในมือ แต่ความหรูหราฟุ่มเฟือยกลับไม่เคยสัมผัสจริงๆ
พูดไปแล้ว แม้ว่าเคยเข้าออกวังหลวง แต่ก็มีแต่จวนแม่ทัพหม่าฟางที่เมืองเซวียนฝู่เท่านั้นที่เขาเคยได้สัมผัสความหรูหรามา พระราชวังนั้นไม่ต้องพูดถึง ฮ่องเต้ว่านลี่ชอบกินเนื้อน้ำแดงหม้อใหญ่ ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ให้ห้องเครื่องตุ๋นเนื้อน้ำแดงหม้อเล็ก เรื่องอื่นๆ แค่คิดก็รู้แล้ว
แต่พอมาถึงเรือไป๋หลัน หวังทงยังต้องตกตะลึง จึงได้ถามถึงราคาเท่าไรกัน
เรือสำราญเทียบกับเรือสินค้าใหญ่สุดบนคลองส่งน้ำแล้วยังใหญ่กว่าอีก ชั้นหนึ่งมีโต๊ะเลี้ยง ชั้นสองแบ่งเป็นสี่ห้อง แต่ละห้องไม่ติดกัน ใช้ระเบียงกั้นไว้ แม้อยู่บนเรือ ก็ยังมีธรรมเนียมเช่นนี้ ในห้องเดี่ยวก็ยิ่งกว้างขวางกว่ามาก
ในห้องตกแต่งได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าจวนหม่าฟางในตอนนั้นอีก ดูไม่ออกว่าฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่มันแสดงถึงความมีระดับ ตอนนี้หวังทงนับว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว รู้ว่าในห้องไม่ได้ดูฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ดูมีระดับขนาดนี้ เดิมคิดว่าการตกแต่งในหอฉินก่วนสุดยอดแล้ว เทียบกับเรือไป๋หลันนี้ยังด้อยกว่ามาก
“ถึงกับเป็นไม้สักฝังหยก…”
ตอนทหารติดตามหวังทงเข้ามาสำรวจพื้นที่ ซาตงหนิงนับว่าเคยเห็นโลกมามาก แต่ก็ยังต้องอุทานตกใจ พูดตามจริง หวังทงเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือไม้สัก ยิ่งไม่รู้ว่าฝังหยกคืออะไร
โต๊ะมีอาหารกับแกล้มวางอยู่ เป็นอาหารประณีต รสชาติไม่ต้องพูดถึง ชามเล็กๆ ที่ใช้กับจอกชาพวกนั้นที่วางอยู่ในห้องอาหาร หวังทงกลับพอรู้จัก
เพราะจางฉุนเต๋อร้านสามธาราเคยส่งมาให้ชุดหนึ่ง บอกว่าเป็นเครื่องกระเบื้องเคลือบจากเจียงซีที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในบรรดากระเบื้องเคลือบ เช่นกัน ราคาเครื่องกระเบื้องเคลือบก็มากกว่าเงินเดือนขุนนางผู้น้อยมาก
“นายกองพันจางมาที่นี่บ่อยหรือ?”
“ผู้บัญชาการใต้เท้าล้อเล่นแล้ว ที่นี้จะกล้ามาบ่อยได้อย่างไร เมื่อก่อนตอนเพิ่งเป็นนายกองพัน เพื่อนร่วมงานหลอกพามาให้เลี้ยงที่นี่ครั้งหนึ่ง เจ็บตัวไปครึ่งปีได้ ครั้งนี้มากับผู้บัญชาการ ข้าน้อยอย่างไรก็ต้องจัดให้สักครา ไม่ได้คิดว่าเงินทองเท่าไร”
หากชีวิตจางเหลียนเซิงฟุ่มเฟือยเช่นนี้ก็ไม่อาจใช้การได้แล้ว จางเหลียนเซิงกลับไม่ทันรู้สึกถึงความนัยที่หวังทงถามเมื่อครู่ เพียงยิ้มกล่าวว่า
“ ใต้เท้า แม่นางซิ่วเอ๋อร์แต่งตัวนานอยู่ พวกเราดื่มสุรากินกันไปก่อน ฟังเพลงด้านนอกไปก่อนก็ได้”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงกลับยืนขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่างกล่าวว่า
“เมื่อครู่ตอนเดินขึ้นมาได้ยินเสียงเพลงคลอแว่วมาจากด้านนอกเรือสำราญ ตอนนี้เรือแล่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เสียงยังมีอยู่ หรือว่าเป็นเพลงที่เจ้าว่า”
จางเหลียนเซิงเดินตามมา ผลักหน้าต่างเปิดออก อาศัยแสงไฟบนเรือสำราญมองไปบนแม่น้ำเห็นเรือลำเล็กลอยตามมา บนเรื่อมีหญิงขับร้องเพลง เสียงเพลงแว่วมาจากเรือเล็กลำน้ำ จางเหลียนเซิงเห็นหวังทงแปลกใจก็ยิ้มอธิบายว่า
“นี่เป็นความใส่ใจของเรือไป๋หลัน หญิงขับร้องเพลงคลอด้านข้างเรือ ไม่รบกวนการคุยธุระของแขก และยังทำให้รู้สึกบทเพลงไพเราะอัศจรรย์”
นี่ย่อมเป็นเพราะเป็นผู้รู้เรื่องเพลงมาก่อน หวังทงยิ้มหันกลับไปนั่งลงถามขึ้น
“นายกองพันจางรู้ไหมว่านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอนเหนือเป็นอย่างไร?”
จางเหลียนเซิงรู้สึกแปลกใจกับคำถามหวังทง ได้แต่ส่ายหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“แต่ละเมืองล้วนมีนายกองพันประจำการ นายกองพันพวกนี้ระดับห้า แต่ผู้ว่าเมืองระดับสี่ หรืออาจมีขุนพลระดับสาม เจ้ากรมปกครอง ผู้ตรวจการและบรรดาขุนพลอื่นๆ ไม่มีผู้ใดไม่ให้ความเกรงใจ ทุกคนล้วนให้เกียรติสามส่วน พลทหารองครักษ์เสื้อแพรไปทำคดีในพื้นที่ ก็มีนายอำเภอมาต้อนรับอย่างนอบน้อม กล่าววาจาให้เกียรติ ราษฎรก็ย่อมเกรงกลัวอย่างมาก”
สีหน้าจางเหลียนเซิงแปลกใจ หวังทงกล่าวอีกว่า
“เรือไป๋หลันแม้ว่าสูงค่า แต่หากเป็นนายกองพันที่อื่นแล้ว จะมาเพียงสองครั้งได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องเป็นลูกน้องคนมีอิทธิพล เพราะแค่เงินทองตนเองก็พอจะจ่ายไหว ที่ซานตงนายกองพันต่งช่วงสี่เปิดร้านขายยาสมุนไพรเอง มีเรือและม้าไว้ขนส่งเอง การค้าทั้งมณฑลผู้ใดไม่ไว้หน้าเขา ทุกวันมีเงินก้อนโตเข้ากระเป๋า จะมาที่เช่นนี้ไม่ไหวได้อย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเหลียนเซิงก็มีสีหน้าอิจฉา หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ตอนข้ายังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการ ก็เป็นนายกองพันเทียนจิน ข้าอยู่เทียนจินมีกิจการมากมาย เช่นนี้ นายกองพันจางก็ควรรู้ว่า เจ้าตอนนี้มีแค่โรงผ้าและโรงปลูกผัก แม้แต่นายกองร้อยและนายกองธงใหญ่ก็ไม่ฟังคำสั่ง หรือว่าเจ้าไม่อยากจะมีบารมีบ้าง หรือว่าเจ้าไม่อยากรวยบ้างกัน?”
พอหวังทงถามเช่นนี้ จางเหลียนเซิงก็สะดุ้งไปทั้งตัว สีหน้ายิ้มค้าง ลังเลกล่าวว่า
“ข้าน้อยย่อมคิดเช่นนี้ แต่ที่นี่เหมือนเมืองหลวง ชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่มากมาย ไหนเลยจะมีที่ให้นายกองพันเช่นข้าอวดอ้างบารมี หากินอันใดได้เล่า?”
หวังทงยิ้ม กล่าวว่า
“เมืองหลวงใกล้พระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ ทุกคนย่อมสงบเสงี่ยม ผู้ใดก็ยังมิกล้าล่วงเกินองครักษ์เสื้อแพร หนานจิงที่ใดกัน ที่นี่มีทหารองครักษ์เสื้อแพรในพระองค์ถึงสามนายกองพันเพื่ออะไร ก็เพื่อให้พวกเจาจับตาดูให้ดี ป้องกันพวกเขาคิดการไม่ซื่อ เจ้าไยต้องกลัวพวกเขาด้วย พวกเขากลัวเจ้าถึงจะถูก!?”
“…ใต้เท้า ข้าน้อยโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เกรงว่า…”
“กลัวอะไร ข้าจะคอยออกหน้าให้เจ้าเอง!”
หวังทงยกจอกสุราขึ้น กล่าวอย่างไม่ยี่หระ จางเหลียนเซิงยังคงทำหน้ายุ่งยาก พอเห็นสีหน้าหวังทง ก็รีบยืนขึ้นทันทีทำเอาม้านั่งเกือบคว่ำ จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะดังโป๊กๆ เพราะแรงมากไป ซาตงหนิงด้านนอกจึงต้องชะโงกหน้าเข้ามาดู
“ใต้เท้าให้การสนับสนุน ข้าน้อย ข้าน้อย ไม่ ข้าน้อยแม้แหลกสลาย ก็ต้อง ก็ต้อง…เป็นวัวควายให้ผู้บัญชาการใช้งาน…”
คนโง่ขนาดไหนก็ยังรู้ว่าเมื่อครู่หวังทงกล่าวเช่นนั้นหมายถึงอันใด และหวังทงไม่ได้รับปากเปล่า เพราะเขามีทั้งอำนาจและเงินทอง ทุกอย่างหวังทงล้วนให้ได้หมด จางเหลียนเซิงปกติเงียบสงบเพียงใด แต่ในฐานะนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ยังมีกิจการโรงผ้าและโรงผัก จะไม่อยากเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร
“ลุกขึ้นพูดๆ วันหน้าอีกยาวไกล ข้าจะดูการทำตัวของเจ้าก่อน”
“ขอใต้เท้าวางใจ ข้าน้อย..ข้าน้อยจะต้องรับคำสั่งใต้เท้าราวกับรับราชโองการ”
“ข้าเข้าใจเจ้า แต่วาจาไม่เคารพเบื้องสูงไปสักหน่อยนะ!”
จางเหลียนเซิงโขกศีรษะราวกับโขกกระเทียม หวังทงยิ้มรับ กำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีคนรายงานเบาๆ มาจากด้านนอกว่า
“นายท่าน แม่นางซิ่วเอ๋อร์มาถึงแล้ว!”