องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 851 ขณะคุยกันก็ปลดนายกองพัน
ไฟโหมกระหน่ำบนแม่น้ำฉินไหวเหอ แสงส่องสว่างไปทั่วราวกับกลางวัน หากเป็นตามปกติ แม่น้ำฉินไหวเหอยามนี้จะมีแต่เสียงร้องรำทำเพลงและเสียงดนตรีไพเราะแว่วมา หากตอนนี้กลับเงียบกริบไปหมด ได้ยินแต่เสียงเผาไม้แตกดังเปรี๊ยะ
หวังทงในชุดยาว ยืนไพล่มือมองไปยังแม่น้ำ สีหน้ายิ้มแย้มมองไฟลุกโชน เฉิงหย่งป๋อนามว่าเยว่เจียงหนานสีหน้าดำคล้ำ เรือไป๋หลันคืนนี้ถูกเผา เท่ากับถูกตบหน้ากลางหน้าสาธารณชนไม่ผิดเพี้ยน การลบหลู่เช่นนี้ถึงกับหนักกว่าเสียอีก
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ พอได้ยินหวังทงมา เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานยังได้เคยไปสนทนากับหูจื้ออัน ย่อมคุยกันถึงเรื่องสมรสพระราชทานเมืองหลวง หูจื้ออันพูดได้กระจ่าง หากสมรสพระราชทานเสร็จยังอยู่เมืองหลวงต่อ ก็ย่อมต้องระวัง คงต้องมีเรื่องต่อ แต่ให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เขาครองอำนาจเต็ม แต่ก็เพื่อเก็บหวังทงไว้ใช้งานระยะยาวเช่นกัน
หวังทงอยู่ในตำแหน่งนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องพูดถึง แค่ความสัมพันธ์เขากับขันทีในวังฝ่ายใน ก็พอที่จะเหิมเกริมทั่วใต้หล้าได้แล้ว หากเขายังคงเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้อีกด้วย
คนเช่นนี้เยว่เจียงหนานจะล่วงเกินไหวได้อย่างไร หากมีเรื่องกระทบกระทั่งกันจริง กวาดล้างทั้งตระกูลก็ย่อมมีความเป็นไปได้
เขากำลังคิดไปไกลอยู่นั้นเอง ก็กลับได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“เฉิงหย่งป๋อ เมืองหนานจิงกับแดนใต้เป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง?”
เยว่เจียงหนานสะดุ้งโหยง ตัวก้มลงไม่รู้ตัว กล่าวเบาๆ ว่า
“ย่อมเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง ท่านโหวไยถามเช่นนี้?”
“ที่แท้เฉิงหย่งป๋อยังรู้ ไม่รู้ว่าตระกูลสูงในเมืองหนานจิงจะรู้เช่นนี้ไหม”
หวังทงยิ้มกล่าว เรือไป๋หลันชั้นหนึ่งเสาพังลงบนแม่น้ำฉินไหวเหอแล้ว ชั้นสองก็พังทลายตามมา หวังทงพยักหน้า หันกลับขึ้นม้า กล่าวว่า
“คืนนี้ไม่เลว กลับไปด้วยความสำราญดี!”
ไม่สนใจเฉิงหย่งป๋อที่คำนับส่ง ทหารติดตามขี่ม้าตามไป จางเหลียนเซิงเดิมยังคิดยิ้มให้เยว่เจียงหนาน แต่คิดๆ ดู ก็ยืดอกขึ้น ตามหวังทงจากไปด้วยท่าทางยโสไม่น้อย
พอหวังทงไปแล้ว เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก หันไปมองไม่รู้ว่ามีคนมากมายมองอยู่เท่าไร คนที่มามุงดูมากมายริมน้ำคืนนี้ ไฟเรือไป๋หลันยังคงลุกอยู่ เฉิงหย่งป๋อหันไปหรี่ตามองพ่อบ้านที่เริ่มตัวสั่นไม่หยุด คุกเข่าลงทันที เฉิงหย่งป๋อกัดฟันกล่าวเบาๆ ว่า
“เจ้าตัวหาเรื่องเช่นนี้ จับกลับไปตีให้ตายไปเลย!”
หันไปมองเห็นซิ่วเอ๋อร์ที่ยืนมองไฟไหม้เรืออยู่ เฉิงหย่งป๋อตวาดด่า จากนั้นก็มีนางผู้หนึ่งเข้ามาดึงซิ่วเอ๋อร์ไป เฉิงหย่งป๋อเดินไปที่ม้า ก่อนจะมีทหารติดตามถามขึ้น
“ท่านป๋อ จากนี้ไปทำอย่างไรดี?”
“รอดูจวนเว่ยกั๋วกงก่อน เรือไป๋หลันเผาไปแล้ว ยังจะมีจากนี้ไปอีกหรือ กลับจวน กลับจวน!!”
**************
“เจ้าลูกชั่ว นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเลี้ยงนาย ตอนนี้ในเมืองเขาจะเลี้ยงใครได้เล่า เจ้าไม่รู้หรือ ตัวผอมแห้งแบบนี้ ออกไปหาเรื่องอวดเบ่งอันใด!!”
ในโถงกลางจวนเว่ยกั๋วกงตระกูลสวี สวีจิ่วไปเสียทีบนเรือไป๋หลัน ใบหน้าคราบเลือดยังไม่ทันได้เช็ดออก กลับคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้ากล่าวอันใด ตัวสั่นไม่หยุด เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาเดินไปมากลางโถงไม่หยุด โมโหจนหน้าแดงก่ำ พอพูดได้ถึงขีดสุดก็จะหันไปเตะทีหนึ่ง
กลับมีคนหนึ่งกอดรั้งเขาไว้ สวีจื้อเทาสะบัดไปมาแต่ก็ไม่หลุด ได้ยินคนด้านหลังกล่าวว่า
“นายท่านโปรดระงับอารมณ์ คุณชายเก้าร่างกายบอบบาง อย่าได้ลงมือจนบาดเจ็บ!”
เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาถูกคนด้านหลังกล่าวเช่นนี้ ก็ได้แต่ฮึดฮัดหยุดไป สะบัดแขนออกตวาดด่าไปว่า
“เจ้าลูกชั่วเดรัจฉาน ปกติก็เหลวไหล ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเอาใจจนเป็นเช่นนี้หรือ ตอนนี้ก่อเรื่องเช่นนี้ หน้าตาตระกูลสวีเราหมดสิ้นแล้ว!”
ข้างกายคนผู้นั้นก็คือหัวหน้าผู้คุ้มกันจวนเว่ยกั๋วกง หัวหน้าผู้คุ้มกันจวนเว่ยกั๋วกงก็เหมือนหัวหน้านายทหาร ในกรมทหารอย่างน้อยต้องได้ตำแหน่งขุนพลขุนนางบู๊ระดับสี่ ยามสงครามให้ตำแหน่งก็นำทัพออกรบได้ ดังนั้นสถานะตระกูลสวีจึงสูงส่ง สามารถมีปากมีเสียงได้
เห็นสวีจื้อเทานิ่งไป หัวหน้าผู้คุ้มกันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ก่อนหน้านี้มีคนโยนจดหมายเข้ามาบอกว่า หวังทงมาเพื่อตรวจสอบชนชั้นสูงแดนใต้ เป็นราชโองการลับ เห็นการกระทำเขาแล้ว ดีไม่ดีอาจเป็นดังนั้นจริง ไหนบอกว่าเฉิงหย่งป๋อยังเผาเรือไป๋หลันทิ้งไม่ใช่หรือ เห็นได้ชัดว่าขันทีหูเองก็ไม่กล้าออกหน้า นี่ยิ่งชัดเลย นายท่าน ต้องรับมืออย่างระวัง อย่าได้ปล่อยให้ตระกูลสวีต้องประสบภัย!”
สวีจื้อเทาลังเลไปลังเลมาก็ถอนหายใจ กล่าวว่า
“หวังทงรังแกกันเกินไปแล้ว ให้พรุ่งนี้ข้าไปหน้าประตูที่พักเขาโบยตีเจ้าลูกชั่ว เช่นนี้ ก็เท่ากับฉีกหน้าตระกูลข้าเองสิ้น ช่าง…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจต่อ ทหารเหล่ามองสวีจิ่วคุกเข่านิ่งไม่กล้าเงยหน้า กล่าวว่า
“นายท่าน อย่างไรก็แค่ลงแส้เฆี่ยน 50 แผลภายนอกเท่านั้น หากหวังทงบอกโบยไม้ 50 จึงจะเรียกว่าต้องการสังหาร หวังทงรับราชโองการมาอย่างไรก็ต้องไปเมืองซงเจียง คงไม่อยู่หนานจิงนานนัก นายท่านทำตามเขาว่า ให้เขาจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากเขาไม่ยอมจากหนานจิงไปจริงๆ จับตาดูให้ถึงที่สุด เรื่องก็เกรงว่าจะยุ่งยากแล้ว!”
เห็นสีหน้าสวีจื้อเทาหนักใจ เขาจึงกล่าวอีกว่า
“หวังทงไปแล้ว ตระกูลสวีก็ยังเป็นตระกูลสวี หากเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ตระกูลสวีต้องเป็นเหมือนกับชนชั้นสูงเมืองหลวงพวกนั้น ก็ช่าง…”
สวีจื้อเทาพยักหน้าเห็นด้วย
***************
รอบๆ โรงเตี๊ยมหวังทงเดิมที่เคยจับสายสืบมาแล้วก็เงียบไปมาก ยามนี้หลังลงมือกับคุณชายเก้า เผาเรือไป๋หลันทิ้ง วันต่อมาพอฟ้าเริ่มสาง ก็มีคนมากหน้าหลายตามมารวมตัวกันที่นี่
ครั้งนี้ทุกคนไม่ได้ปลอมตัวมา แต่มากันอย่างเปิดเผย มีทหารองครักษ์เสื้อแพร เจ้าหน้าที่ศาลเมืองอิ้งเทียน ยังมีขุนนางหนานจิงหกกรมกอง ยังมีคนรับใช้ตระกูลใหญ่ ล้วนมารอชมพวกเขาอย่างไม่มีพิธีรีตองอันใด
เมื่อคืนบนแม่น้ำฉินไหวเหอก็มีข่าวแพร่ไปว่า หวังทงให้เว่ยกั๋วกงเช้านี้นำตัวคุณชายเก้ามาโบยที่หน้าที่พัก ทุกคนล้วนอยากเห็น ตระกูลเว่ยกั๋วกงจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ตระกูลเว่ยกั๋วกงเป็นผู้นำชนชั้นสูง ท่าทีเขานั้น จะทำให้ทุกคนวิเคราะห์เรื่องราวได้
คนด้านนอกมารวมตัวกันมาก ทหารติดตามหวังทงเปิดประตูใหญ่โรงเตี๊ยม ยังให้คนย้ายเก้าอี้นอนตัวใหญ่ออกมาวางตรงข้ามประตู ดูท่าแล้วให้หวังทงนั่งดูการโบยด้านนอก
มีคนส่งเสียงวิจารณ์ หวังทงเตรียมการเช่นนี้ หากเว่ยกั๋วกงไม่มา ใช่ว่าเป็นการตบหน้าตัวเองหรือนี่ หลายคนรอดูเรื่องตลก
พระอาทิตย์เพิ่งจะพ้นกำแพงเมือง ขบวนตระกูลสวีก็มาถึงจริงๆ คนมากันไม่มาก ทหารสิบกว่านายคุ้มกันเว่ยกั๋วกงมา ยังมีรถม้ามาอีกคันหนึ่ง
เดิมที่เสียงดังเอะอะก็เงียบกริบ ทุกคนมองดูเห็นเว่ยกั๋วกงหน้าดำคล้ำลงจากม้าหน้าที่พักหวังทง จากนั้นก็ลากตัวสวีจิ่วลงจากรถ
“หวังทงคำนับเว่ยกั๋วกง!”
ตำแหน่งต่างกัน หวังทงหน้าประตูย่อมทักทายอย่างสุภาพ สวีจื้อเทาพยักหน้ากล่าวว่า
“เมื่อวานบุตรชายข้าทำผิดไป ช่างขายหน้าข้าเสียจริง วันนี้นำมาให้ท่านสั่งสอน ให้เขาวันหน้ารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้าง ตามคำสั่งใต้เท้าหวัง โบยเจ้าเดรัจฉาน 50 !”
พอสั่งการลงไป ขุนพลเว่ยกั๋วกงก็นำตัวสวีจิ่วกดไว้ ถอดเสื้อออก จากนั้นก็ผลัดกันโบย เนื้อหนังที่ดูแลอย่างดีอ่อนนุ่ม พอโบยไปก็เกิดปื้นแดง 5-6 ผ่านไป ก็เริ่มมีรอยเลือด สวีจิ่วไม่อาจทนได้ ส่งเสียงร้องราวกับสุกรถูกเชือดนานแล้ว พอ 50 ทีผ่านไป เสียงร้องก็อ่อนระโหยโรยแรง
ทหารมองสวีจื้อเทา สวีจื้อเทามองหวังทง หวังทงยิ้มพยักหน้า สวีจื้อเทาจึงได้โบกมือ มีหมอสองคนจากบนรถม้ารีบลงมาเข้าใส่ยารักษา
เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาประสานมือ กล่าวเสียงเย็นว่า
“ได้ยินว่าใต้เท้าหวังคืนนี้หรือพรุ่งนี้คงออกเดินทางไปเมืองซงเจียง ข้าไม่ส่งแล้ว!”
“ไม่บังอาจให้ท่านมาส่ง”
กล่าวกันถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว สวีจื้อเทาแค่นเสียงฮึ ก่อนจะหันหน้าจากไปทันที ทุกคนรีบประคองสวีจิ่วขึ้นรถใส่ยา จากไปทันที
แม้ว่าได้จากไปในทันที แต่อย่างไรก็โบยบุตรชายตนไปด้วยความต้องการของหวังทง เรื่องนี้มันหมายถึงอะไร ไม่ต้องพูดอีกแล้ว คนตระกูลเว่ยกั๋วกงยังไม่ทันจากไป คนที่มามุงดูก็สลายตัวกันไปแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ต้องรีบกลับไปรายงาน
ต่างกับคนอื่น อวี๋ชิงกั๋ว จางเหลียนเซิง เมิ่งเซี่ยนฮุย สามนายกองพันเมื่อวานถูกตามตัวมา พวกเขาพอเห็นสวีจิ่วถูกโบยฉากนั้น จางเหลียนเซิงก็เหมือนหน้าเชิดหลายส่วน อวี๋ชิงกั๋วสีหน้าหม่น เหมือนว่าแก่ลงไปสิบกว่าปีได้ ส่วนเมิ่งเซี่ยนฮุยยังคงนิ่งดังเดิม
“ท่านโหวต้องทานอาหารเช้าก่อนจึงรับแขก!”
ผู้คุ้มกันหวังทงตอบง่ายๆ นายกองพันสามคนกลับไม่กล้าบ่น แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่กล้าแสดงออก ได้แต่คำนับรอ
“อวี๋ชิงกั๋ว เจ้าเป็นคนมาจากเว่ยกั๋วกง ทว่านายเจ้ารู้งานควรไม่ควร แม้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า แต่ก็ไม่ได้เกิดเหตุผิดพลาดอันใด วันหน้าให้คิดให้ดี เป็นฝ่าบาทพระราชทานเบี้ยหวัดเจ้า มิใช่เว่ยกั๋วกง วันหน้าต้องตั้งใจทำงานให้ดี!!”
หวังทงกินอาหารเช้าเสร็จ ก็มานั่งอบรมสามคนอยู่ตรงหน้า อวี๋ชิงกั๋วพอได้ยินเช่นนี้ กลับไม่กล้าพูด คุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“ข้าน้อยรับทราบ วันหน้าจะปฏิบัติตามนี้ ไม่ทำให้ผู้บัญชาการสอนสั่งเสียเปล่า!”
“จางเหลียนเซิง เจ้าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร บิดาและอาเจ้าก็เป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดี เจ้าอย่าได้ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล งานที่รับผิดชอบก็ต้องจัดการให้ดี ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี!!”
จางเหลียนเซิงคุกเข่าโขกศีรษะดัง รับคำเสียงดัง สุดท้ายก็คือเมิ่งเซี่ยนฮุย คนผู้นี้ยังคงสีหน้านิ่งเฉย ท่าทางกลางๆ หวังทงมองเขายิ้มกล่าวว่า
“เจ้านี่ข้ายังไม่กระจ่างในตอนนี้ องครักษ์เสื้อแพรเราไม่ต้องการคนที่มีที่มาไม่กระจ่าง จากนี้ไป เจ้าจะถูกพักงานองครักษ์เสื้อแพร กองพันเจ้าให้จางเหลียนเซิงดูแลแทน!”