องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 854 ในน้ำเด็กปลอมตัว บนเรือยิงหัวโล้น
ผู้ว่าเมืองฉางโจวกำลังจะเอ่ยตามมารยาท ไม่สนใจเสียงเอะอะด้านหลัง ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย หากก็แอบด่าไป หันไปมองตำหนิไป
คนบนฝั่งและบนเรือมองไปยังจุดที่วุ่นวาย สถานการณ์น่าอึ้งจริง ห่างจากเรือหวังทงราว 20-30 ก้าว มีกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังไล่ล่าเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางอ่อนแอมา
ต้อนรับผู้แทนพระองค์มาถึง ทุกหน่วยงานเมืองฉางโจว ยังมีคหบดีมีนชื่อเสียงมากัน ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล มีกลุ่มประโคมดนตรี คนติดตามชนชั้นสูงอีกมาก และยังมีคนมามุงดูกันอีก ท่ามกลางคนมากมายเช่นนี้ ท่าเรือเบียดเสียดกันอย่างมาก
ก็เพราะเบียดเสียดกันแน่น ชายฉกรรจ์พวกนั้นจึงไม่อาจจับตัวเด็กหนุ่มไว้ได้ ผลักไปด่าไป คนของชนชั้นสูงไม่น้อยล้วนเหิมเกริมจนเป็นนิสัย พอถูกผลักก็โมโหหนัก หันไปเอาเรื่อง
ชายฉกรรจ์พวกนั้นล้วนโพกศีรษะไว้ มีคนมือไวคว้าผ้าโพกออกได้ เห็นเป็นศีรษะโล้น สะท้อนแสงอาทิตย์บนศีรษะกระจ่างยิ่ง
พอเห็นเช่นนี้ คนบนฝั่งก็ฮือฮาดัง รีบหาที่หลบซ่อนกันใหญ่ พอฝูงชนแตกฮือ ชายฉกรรจ์จึงไล่ตามไปเกือบถึงตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น
ทว่าเดิมอยู่ริมคลองส่งน้ำ ใกล้คลองส่งน้ำมากแล้ว ตำแหน่งหวังทงย่อมมองเห็นห่อผ้าอาบน้ำมันในมือเด็กหนุ่มผู้นั้น พอมาถึงฝั่ง เด็กผู้นั้นก็กระโดดลงน้ำทันที
“พวกเจ้ายืนเซ่อทำไมกันอยู่ ทำข้าขายหน้าต่อหน้าใต้เท้าผู้แทนพระองค์แล้ว รีบไปจับพวกก่อความไม่สงบไม่เกรงกลัวกฎหมายสิ รีบไปเร็ว!!”
ผู้ว่าเมืองฉางโจวตะโกนด่าดัง หน้าตาถูกฉีกหมดสิ้น มือปราบติดตามหลายคนได้ยินก็รีบรีบตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่ตามไปด้วยกัน
เด็กหนุ่มว่ายน้ำได้ไม่เลว พอโดดลงน้ำได้ ก็ห่างจากฝั่งได้พอควรจึงได้โผล่หัวขึ้นมา กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามมามีคนโดดลงน้ำมาด้วย มีคนบนฝั่งตะโกนเรียกเรือ
ตอนนี้มันสนุกกว่าที่คาดมากนัก หวังทงสนใจอยากดูต่อมาก เขามองออกว่า แม้ว่าผู้ว่ามีคำสั่ง แต่มือปราบเจ้าหน้าที่กลับเคลื่อนไหวช้ากันมาก เดินช้ามาก มาถึงก็ไม่ได้ลงมืออันใด เหมือนว่าจะส่งเสียงคลายสถานการณ์แทน ชายฉกรรจ์บนฝั่งก็ไม่เกรงใจ ขุนนางพวกนี้ได้แต่ยิ้มแหะๆ
หวังทงไม่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่เมืองฉางโจวนี่จะต่างจากที่อื่น คงสมคบคิดกันเช่นกัน ต้องบอกก่อนว่าผู้แทนพระองค์อยู่ตรงนี้ ยังมีคำสั่งผู้ว่า ยังถึงกับไม่ทำอันใดเช่นนี้อีก ช่างแปลกจริง
ทางบนวิ่งได้เร็ว แต่ในน้ำใช่ว่าจะว่ายช้า ชายฉกรรจ์ที่โดดลงน้ำว่ายได้เร็ว ตามมาถึงตัวอย่างรวดเร็ว ผ้าโพกศีรษะย่อมหลุดยามลงน้ำ สะท้อนแสงอาทิตย์วับวาว
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ นายท่าน……ข้าน้อย…….ข้าน้อย…… มีเรื่องคับแค้นต้องการฟ้อง……”
เด็กหนุ่มตะโกนอยู่กลางน้ำ กินน้ำเข้าไปหลายอึก แต่ก็ยังห่างจากหวังทงพอควร หากเป็นคนอำเภออู๋เมืองซูโจวอยู่ หากมักไปนั่งเล่นร้านน้ำชาอยู่บ้าง ก็ย่อมจำได้ว่าเป็นเด็กขายถั่วห้ารสหน้าดำเมี่ยมผู้นั้น ทว่าเด็กหนุ่มตอนนี้เสียงแหลมเล็ก ฟังแล้วก็ไม่ได้แหบ ในน้ำมองไปก็เห็นใบหน้าที่ไม่ดำ
คิดไม่ถึงว่าเกี่ยวพันกับตน หวังทงหันไปมอง กล่าวว่า
“พาขึ้นมา!”
พอสั่งการลงไป คลองส่งน้ำไม่มีกระแสน้ำ ลมก็นิ่ง ได้ยินหวังทงสั่ง คนเรือก็หยิบไม้ไผ่ยาวท่อนหนึ่ง ให้เด็กหนุ่มเกาะไว้
เด็กหนุ่มว่ายน้ำเป็น ที่จริงแล้วผู้แทนพระองค์ส่งไม้ไผ่ออกไปก็เพื่อกันคนที่ตามมาให้ถอยห่างไป แต่เห็นเรือยื่นไม้ไผ่มา สายตาเห็นๆ ว่ากำลังจะจับตัวได้แล้ว เจ้าหัวโล้นนั่นถึงกับควักดาบออกมา แทงใส่ทันที
ตอนนี้ทั้งบนเรือบนฝั่ง ทุกคนล้วนจับตามองอยู่ เห็นควักดาบออกมา ก็อึ้งตกใจกันไป แต่บนเรือหวังทง มีคนจับตาดูอยู่บนหัวเรือนานแล้ว
ในน้ำมีเจ้าโล้นควักดาบออกมา ม่อยื่อเกินบนเรือก็น้าวธนูทันที มือเทพโดยแท้ ยิงเข้าปักหน้าอกเจ้าโล้นนั่นทันที
เด็กหนุ่มยามนี้คว้าไม้ไว้ได้แล้ว คนหวังทงค่อยๆ ดึงขึ้นมา บนฝั่งเงียบไป ตามมาด้วยตกใจ คนตายแล้ว
“ผู้ว่าหลัว กลางวันแสกๆ มีคนใช้ดาบสังหาร เมืองฉางโจวสงบสุขดีนะ!”
ได้ยินหวังทงยิ้มถาม ผู้ว่าหลัวเหงื่อตกเต็มหน้า ผู้ใดจะคิดว่าดีอกดีใจรอรับผู้แทนพระองค์ กลับกลายเป็นเรื่องบัดซบเช่นนี้ไปได้กัน แม้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ไม่ว่าอันใด ผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียนก็คงจัดการตนเองแน่ ขณะหวาดกลัวนั้นก็ได้ยินผู้ว่าหลัวหันไปตะโกนขึ้นว่า
“ต้าหยา มือปราบเช่นเจ้าเป็นกันอย่างไร!?”
หัวหน้ามือปราบที่ยืนห่างไปไม่ไกลที่ถูกเรียกว่าต้าหยาก็รีบก้มหัววิ่งออกมา คุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ นายท่าน ท่านผู้ว่าโปรดระงับความโกรธก่อน ข้าน้อยจะรีบไปสอบถาม”
ก็เป็นดังหลักการว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทางนี้ทำท่าหวาดกลัวราวหลานตัวน้อย หากพอหันไป มือปราบก็ตะโกนสั่งไปว่า
“ปล่อยคนร้ายพวกนั้นไปได้อย่างไร ไม่อยากทำงานกันแล้วใช่ไหม?”
มีตำแหน่งเจ้าหน้าที่เดินในเมืองจะกินดื่มอะไรก็ตามอำเภอใจได้ ก็ย่อมเป็นงานดี ผู้ใดอยากจะสูญเสียไปง่ายๆ กัน ไม่คิดว่าคนด้านหลังพอได้ยินกลับทำสีหน้าลำบากใจ
หวังทงก็สังเกตเห็นว่า ชายฉกรรจ์หลายคนที่เรียกหาเรือเมื่อครู่จากไปแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่ขวางไว้ ทางนั้นมีคนมากระซิบต้าหยาสองสามคำ
หัวหน้ามือปราบเมืองฉางโจวต้าหยาสะดุ้ง ไม่สนใจคุกเข่าลง ก่อนจะลุกขึ้นไปกระซิบข้างหูผู้ว่า สีหน้าผู้ว่าหลัวก็เหมือนลำบากใจ หันไปกล่าวกับหวังทงว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ เมื่อครู่โจรพวกนั้นที่มา ว่ากันว่าเป็นพระจากวัดผู่หยวน เรื่องนี้คือว่า……”
หวังทงอึ้งไป พอได้สติ ก็ยิ้มให้ผู้ว่าหลัวกล่าวว่า
“ท่านเป็นขุนนางที่นี่ ระดับสี่ ถึงกับกลัวพระที่พื้นที่ หมวกแพรบนศีรษะเจ้าไม่อยากได้แล้วกระมัง?”
แม้ว่ายิ้มกล่าว แต่สีหน้าหวังทงเย็นชานั้นมองออกชัดเจน ผู้ว่าหลัวร้อนใจใหญ่ ไม่สนใจวางท่าขุนนางอันใดรีบปรี่เข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์คงไม่รู้ว่าเมืองฉางโจวนี่ วัดผู่หยวนกับชนชั้นสูงในเมืองฉางโจวสนิทกันมาก ยังมีใต้เท้าในราชสำนักหลายท่านไปที่วัดบ่อยๆ ข้าน้อยจะล่วงเกินได้อย่างไร จะว่าไป ตำแหน่งข้าน้อยแม้ไม่เอาแล้ว แต่ชีวิตยังเอาอยู่”
ผู้ว่าหลัวพอร้อนใจ สีหน้าก็แสดงออกมาหมด วาจาไม่รักษาหน้าเช่นนี้ ทำเอาหวังทงหมดคำพูด จ้องมองเขาก่อนจะส่ายหน้า กล่าวจริงจังว่า
“ผู้ว่าหลัวให้คนที่มาต้อนรับกลับไปก่อน ให้เจ้าหน้าที่ทางการรอก่อน!”
หวังทงสั่งการเสียงเย็น ตนเองหันไปมองใต้ท้องเรือ ทางนั้นมีทหารสองนายกำลังนำเด็กหนุ่มมา บางทีอาจไม่คิดว่าผู้แทนพระองค์จะอายุน้อยเพียงนี้ เด็กหนุ่มนั่นอึ้งไปก่อนจะได้สติโดยพลัน รีบดิ้นรนกล่าวว่า
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ข้าน้อยข่งรั่วเหมยขอฟ้องร้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นา ทำให้ตระกูลบิดาข้าน้อย 10กว่าชีวิตต้องตายไป ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ให้ความเป็นธรรมด้วย!!”
น้ำเสียงกระจ่ราง เห็นชัดว่าเป็นหญิง ทหารหวังทงพอได้ยินก็รีบปล่อยมือ ข่งรั่วเหมยไม่ทันตั้งตัว ล้มลงพับกับพื้น ส่งเสียงร้องเจ็บ
หวังทงจึงได้สังเกตว่า สีดำบนใบหน้าเด็กหนุ่มนามข่งรั่วเหมยจางลงไปมาก หลายแห่งเผยผิวขาวเนียนกระจ่าง เสื้อผ้าเปียกน้ำแนบเนื้อ ทำให้เห็นร่างอรชร ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด ไม่อาจมองมาก ทุกคนในห้องพากันกระแอมไอหันหน้าหนี หวังทงถามขึ้น
“เจ้ามีหลักฐานอันใด?”
“ข้ามีสมุดบัญชีเกล็ดปลาและสัญญาที่ดินและยังมีคำให้การที่ครอบครัวข้าน้อยลงนาม……”
สมุดบัญชีเกล็ดปลาก็คือสมุดบันทึกที่ดินของพื้นที่ เป็นบันทึกทางการจัดแบ่งที่ดิน มีสิ่งนี้ก็เรียกได้ว่ามีหลักฐานที่มีน้ำหนัก เดิมคิดว่าไม่อาจจัดการตระกูลสวีเมืองซงเจียงได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ มีคนนำหลักฐานมาให้ถึงที่ ข่งรั่วเหมยเงยหน้าขึ้น สีหน้าเด็ดเดี่ยวยิ่ง
เด็กหญิงตอนนี้หน้ามอมแมม มองไม่ใบหน้าไม่ออก แต่แววตานั้นทำให้หวังทงคิดถึงแววตาที่เคยเห็นในตอนนั้น แววตาเจ้าจินเลี่ยงตอนอยู่บนเตียงที่มองมายังตน เพียงแต่ตอนนั้นไม่ทันรู้สึก แต่วันนี้กลับมองกระจ่างแล้ว
“แม่นางน้อย เจ้ากลัวข้าใช่ไหม กลัวว่าข้ากับตระกูลสวีจะเป็นพวกเดียวกัน?”
พอถามออกไป ข่งรั่วเหมยก็สะดุ้งตกใจ หากก้มหน้าลงต่ำ หวังทงเข้าใจแล้วก็หัวเราะดังลั่นสั่งการไปว่า
“ให้แม่นางไจ๋มาดูแลแม่นางผู้นี้ หลิ่วซานหลังนำคนสิบคนอารักขาเรือนี้ไว้ คนอื่นแต่งกายพร้อมอาวุธขึ้นฝั่ง!”
หวังทงกล่าวตบ ก็เดินเข้าไปด้านใน ทั้งเรือก็เริ่มปฏิบัติการ
เกิดเหตุต่อหน้าผู้ว่าการเมืองฉางโจว ถูกผู้แทนพระองค์ตำหนิก็แล้วไป แต่กลับไม่กล้าเอาเรื่องกับคนก่อเรื่องเสียด้วย ผู้แทนพระองค์ยังให้พวกเขารอก่อน ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี กำลังร้อนรนดังมดบนหม้อไฟ
ไม่นานก็กลับเห็นหวังทงในชุดเกราะลงจากเรือมา เรือแต่ละลำก็มีทหารพร้อมรบเดินตามมา วันนี้อากาศร้อน แต่พอทุกคนปรากฏตัว คนที่ได้เห็นก็กลับหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที มีแต่ชายร่างผอมราวกับลิงกังข้างหวังทงแต่อยู่รอบนอกออกไปคนหนึ่งเท่านั้นที่ดูธรรมดาในชุดผ้าฝ้าย
ผู้ว่าหลัวกำลังอึ้ง ก็ได้ยินหวังทงยิ้มกล่าวว่า
“รบกวนผู้ว่าหลัวนำทาง ข้าจะไปไหว้พระ!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย หากหนาวเหน็บแทน แต่ยามนี้ยังจะกล่าวอันใดได้ ก็ได้แต่ยิ้มรับคำ
เจ้าหน้าที่ทางการทุกคนถูกตวาดให้นำทาง พวกหวังทงหาม้ามาได้หลายสิบตัว ห่างจากหวังทงกองนั้น พอได้ยินชายร่างเล็กกล่าวว่า
“พระผู่หยวนเดิมเป็นมหาโจรทะเลสาบไท่หู เคยปล้นสินค้าตระกูลสวีถูกทางการจับได้…….”