องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 856 พยานและหลักฐาน
สถานการณ์กำลังวุ่นวายเช่นนี้ ถึงกับมีคนพุ่งออกมาคุกเข่ากล่าวว่าให้ช่วยลูกด้วย ช่างราวกับโยนฟืนลงบนกองไฟเสียจริง คนมุงพากันมองดู
สำหรับหวังทง การโขกศีรษะนี้ราวกับส่งหมอนมาให้ คนที่พุ่งออกมานี้เป็นชายวัยกลางคนในชุดแพรไหม ยามคนผู้นี้พุ่งออกมา ก็มีมือปราบหลายคนรู้จัก ถามอย่างสงสัยว่า
“ท่านจู้ ท่านมีเรื่องใดกัน?”
พอถาม หวังทงจึงได้รู้ว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือพ่อค้าผ้ารายใหญ่เมืองฉางโจว เปิดกิจการร้านผ้าแพรไหมสิบกว่าร้าน และยังเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองฉางโจว คนเช่นนี้จะมีเรื่องเดือดร้อนได้อย่างไร ไปแจ้งทางการก็ได้นี่ ไยต้องมาขวางหน้าขุนนางเพื่อร้องทุกข์ด้วย
“บุตรชายคนเดียวข้าถูกพระวัดผู่หยวนจับตัวไป บอกว่ามีวาสนากับพุทธะ หากคิดอยากให้บุตรชายข้าได้กลับบ้าน ก็ต้องส่งมอบเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อไถ่ตัวจากพุทธะ”
ตอนอยู่ตอนเหนือของแม่น้ำ หวังทงได้ยินเรื่องนี้จากหลูต้าแล้ว พระผู่หยวนในเมืองจับตัวเด็กจากครอบครัวใหญ่ไปที่วัด แล้วก็บังคับเรียกร้องเงินทอง คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ประสบเหตุนี้ หวังทงบนหลังม้ายิ้มเงยหน้ามองไปยังเจดีย์กล่าวว่า
“บุตรชายเจ้าน่าจะถูกขังไว้ที่เจดีย์นั่นกระมัง!”
ผู้ว่าหลัวสีหน้านิ่งไม่น้อย ความชั่วร้ายวัดผู่หยวนยิ่งมาก ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งง่ายต่อการจัดการ กำลังจัดการอยู่นั้น หวังทงก็กล่าวว่า
“ของที่ได้ในวัดเท่าไรข้าไม่สนใจ ที่นาของวัด ข้าก็ไม่สนใจ แต่ต้องขายถูกให้คนที่การค้าหลายเจ้าหน่อย”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็เริ่มคึกคัก วัดเป็นที่ปลอดภาษี ที่นาสี่ทิศก็มีไม่น้อย แต่ไรมาก็เป็นเจ้าของที่ดินอันดับหนึ่งเช่นกัน พระผู่หยวนก่อเรื่องเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็ย่อมเคยได้ยินมา เงินทองของมีค่าในวัดก็ย่อมไม่น้อย หวังทงกล่าวว่าไม่สนใจจำนวนเท่าใด ก็ย่อมให้ท้องที่จัดการเอง การค้าที่ว่านั้น ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ อย่างไรก็ต้องไม่ปล่อยให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์มือเปล่ากลับไป
“ข้าน้อยรับคำสั่ง! หากไม่ใช่ใต้เท้าผู้แทนพระองค์มาด้วยตนเอง ความชั่วร้ายของโจรนี่ ท้องที่ยังไม่รู้ว่าจะเสียหายอีกเท่าไร ข้าน้อยละอายใจยิ่ง ขอทำความดีชดใช้ความผิด จะรวบรวมกำลังเจ้าหน้าที่จัดการคดีให้เร็วที่สุด!”
ผู้ว่าหลัวรับคำเสียงดังก้อง รีบไปจัดการทันที หวังทงบนหลังม้ายิ้มพยักหน้า เขามีสถานะผู้แทนพระองค์ แต่อย่างไรก็เป็นคนนอก หากคิดให้ท้องที่ทำงาน ก็ต้องให้ผลประโยชน์เพียงพอ
พระที่ถูกกันออกมาด้านนอกเริ่มร้อนใจกัน พวกเขาย่อมไม่ใช่คนดีอันใด แต่ทหารติดตามหวังทงก็ช่างร้ายกาจไม่น้อย พลธนูในที่สูงก็หลายคน ทหารในชุดเกราะก็ล้อมอยู่รอบนอก เมื่อครู่หลายคนที่คิดหนีก็ถูกธนูยิงใส่
หากไม่กล้าขยับก็ส่วนไม่กล้าขยับ คนกลุ่มใหญ่กำลังมา หากยังไม่ขยับอีกก็คงเหมือนปูที่ถูกจับใส่ไห พระหลายคนก็เริ่มสบตากัน มีคนตะโกนขึ้นว่า
“นายท่าน อาตมาถูกใส่ร้าย!!”
คนหนึ่งตะโกน ทุกคนก็พากันเสียงดัง พระนับร้อยเบียดเสียดกันอยู่ แม้แต่เอาเจ้าอาวาสก็มีดาบสั้น พวกเขาเหล่านี้ อย่างไรก็ต้องมีมีดดาบอาวุธในมือทั้งนั้น ตะโกนร่ำไห้ไปก็เบียดตัวกันออกไป
ม้าพวกหวังทงยามนี้ไม่ใช้ ม้าแบกทหารชุดเกราะมาก็ย่อมเหนื่อยกำลังไม่พอแล้ว หวังทงโดดลงจากหลังม้า มองไปยังความวุ่นวายด้านหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“พวกนี้ไม่ใช่พระ เป็นโจร จัดการตามธรรมเนียมการจัดการกับโจรได้เลย!”
มีวาจานี้ บรรดาทหารติดตามอารักขาที่ลังเลก็ลงมือทันที พระที่นี่ไม่ใช่พระจริง ล้วนเป็นพวกเดนตายกับโจรร้าย แต่พวกเขากำลังเผชิญกับองครักษ์ของหวังทงที่ได้ผ่านท้องทะเลและทุ่งหญ้านอกด่านแห่งความเป็นความตายมาแล้ว ระยะห่างนี้ไม่ใช่น้อยๆ พระพวกนี้คิดว่าตะโกนร้องไห้ให้วุ่นวายแล้วอีกฝ่ายจะใจอ่อน
คิดไม่ถึงว่าตะโกนร้องไห้ให้วุ่นวายบุกขึ้นหน้า ที่รอรับพวกเขากลับเป็นการฟันสังหารอย่างไม่ปราณี ดาบพัวเตาในมือหานกังน้ำหนักมาก ฟันร่างพระด้านหน้าขาดครึ่งท่อน เลือดสาดกระจาย
ดาบสั้นจะไปสู้กับทวนยาวดาบใหญ่ได้อย่างไร พริบตาก็ตายไปยี่สิบกว่า บรรดาพระเริ่มถอยกลับไป
“โยนอาวุธในมือทิ้ง กุมหัวคุกเข่าลง ไม่เช่นนั้นสังหารให้หมด!!”
บรรดาทหารติดตามอารักขาตะโกนดัง พระวัดผู่หยวนเห็นคนมากกว่าหลายเท่าท่าทางน่ากลัว ก็ไม่กล้าอีก ไม่รู้ผู้ใดนำโยนอาวุธทิ้ง ตะโกนกุมหัวคุกเข่าลงกับพื้น
มีเงินก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า ผู้ว่าหลัวย่อมไม่ลังเล รีบไปจัดหาคนงานจากโรงบ้านใกล้ๆ มาหลายคน คนทางการจากในเมืองก็กำลังเร่งมาที่นี่ เชือกมัดอะไรก็นำมาหมด พระด้านนอกถูกจับมัดหมด หวังทงนำคนเข้าวัดผู่หยวน
ในวัดมีเณรทำงานเล็กน้อยทั่วไป ยังมีพระท่าทางอ่อนแอคอยเฝ้าไว้ พอเห็นบรรดาทางการเข้ามาก็ตกใจจนไม่กล้าขยับ คนพวกนี้ที่จริงแล้วก็เหมือนกับคนรับใช้พวกตระกูลใหญ่ พอถูกถามหนักก็บอกหมด ถามเสร็จ พระผู่หยวนนี่ควรสังหารทิ้งจริง
เจดีย์ในวัดขังเด็กไว้ถึง 10 กว่าคน ล้วนเป็นเด็กจากตระกูลคหบดีละแวกนั้น ถูกจับโกนหัวเหมือนเณรไปหมดแล้ว หากที่บ้านไม่มีเงินมาไถ่ตัว ก็จะถูกนำไปขาย หรือไม่ก็ให้ใช้แรงงานในวัด มีคนถูกทำร้ายจนไม่เหลือสภาพอยู่ด้วย
ท่านหลิวเปิดร้านผ้าแพรไหมในเมืองฉางโจวพอได้เห็นบุตรชายตนเอง พ่อลูกกอดกันร้องดังลั่น สื่อชีกับอู๋เอ้อร์คุ้นเคยกับการเป็นรังโจรของวัดในที่ลับ วัดที่ทุกคนเห็นว่าเป็นที่สะอาด ยิ่งใกล้วิหารไปทางด้านหลังก็ยิ่งไม่สะอาด
มีโกดังเก็บของมีค่าไว้เต็มหลายโกดัง ด้านหลังวัดยังมีหญิงสาวอีกราว 20 กว่าคน ก็น่าตกใจพอแล้ว มีคนเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมาก็แผดเสียงร้องไห้ดังทันที
ที่แท้มีโจรจากที่อื่นก่อคดี เห็นสตรีหน้าตาไม่เลว ก็คิดเอาใจพระผู่หยวน ส่งมามอบให้พระผู่หยวนเล่นถึงวัด หากคิดหนีก็ย่อมถูกสังหารปิดปาก พอพบสตรีพวกนี้ จึงได้รู้เรื่องลับมากมายจากคำให้การของพวกนาง
โกดังเก็บของมีค่าไว้เต็ม เป็นของกลางไม่น้อย เป็นของที่ปล้นชิงมาแล้วยังไม่อาจขายต่อได้ในทันที คนสนิทพระผู่หยวนพอเห็นเจ้าหน้าที่กรูกันมา เห็นศพเต็มพื้นที่ ก็รู้ว่าไร้อำนาจบารมีแล้ว มีคนยอมให้การโดยขอชีวิตตนไว้
โกดังไม่น้อยมีของที่นำออกขายไม่ได้ กำลังคิดจะนำออกทะเลไปขายที่ต่างประเทศ ย่อมไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องกับโจรสลัดได้ ป่าด้านหลังวัดยังมีซากศพมากมาย เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับอีกหลายคดี
ผู้แทนพระองค์ มาถึงเมืองฉางโจว พอถึงวัดก็ปราบปรามรังโจรเรียบเป็นหน้ากลอง ปิดคดีได้มากมาย ราษฎรเมืองฉางโจวเคยรู้สึกดีกับวัดผู่หยวนไม่น้อย พอได้ยินเรื่องน่าตกใจของวัดมากมายเช่นนี้ ก็พากันแพร่ข่าวกันออกไปทันที พากันสรรเสริญความเก่งกล้าของหวังทง
มีพยานและหลักฐานพร้อมคำให้การ คดีนี้ก็ไม่มีทางพลิกแล้ว หวังทงกลับไปที่เรือ เดิมเตรียมไว้ว่ารับเลี้ยงแล้วก็จะไปทันที ตอนนี้คงต้องพักสักคืน ให้ที่ทำการรับรองเอกสารกลับไปแล้ว ไม่เช่นนั้น คดีอาจพลิก ทางการเปลี่ยนคำให้การ จะกลายเป็นกลับมาใส่ร้ายป้ายสีตนแทนได้
พอกลับถึงเรือ หวังทงไม่ได้ตามข่งรั่วเหมยมาถาม หากจัดการหาคนบนฝั่งจัดเกี้ยวมาแบกข่งรั่วเหมยพร้อมจัดทหารติดตามไปวัดผู่หยวนวนรอบหนึ่ง
พูดอันใดก็ไร้ประโยชน์ พอได้เห็นหัวพระผู่หยวนกับหัวพระอีกหลายรูป ที่ไม่วางใจทั้งหมดก็ล้วนมลายสิ้นไป พอกลับถึงเรือ ไม่ต้องรอหวังทงเอ่ย ข่งรั่วเหมยย่อมมาขอพบด้วยตนเอง
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ มารดาข้าน้อยยังอยู่เมืองซูโจว ขอท่านเมตตา พอถึงเมืองซูโจว ให้ข้าน้อยได้รับมารดาขึ้นเรือมาด้วย”
พอได้ยินขอร้องเช่นนี้ หวังทงลังเลครู่หนึ่ง สีหน้าเข้มงวดกล่าวว่า
“เจ้าเด็กหญิงตัวคนเดียว บางวาจาไม่ควรกล่าวตรงเกินไปนัก ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเขาสามารถมาดักรอเจ้าที่แม่น้ำได้ หรือว่าไม่ตามไปถึงบ้านเจ้าแล้ว มารดาเจ้าคงร้ายมากกว่าดีแล้ว”
คำว่า ร้ายมากกว่าดี ก็คือไม่มีเรื่องดีอันใดแน่แล้ว ข่งรั่วเหมยที่คุกเข่าอยู่ย่อมเข้าใจ ร่างผอมบางโงนเงนไปมา มองแล้วเหมือนว่าทรงตัวจะไม่อยู่แล้ว
หวังทงขมวดคิ้ว เด็กหญิงสุขภาพไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ กำลังจะตามคนเข้ามา ข่งรั่วเหมยกลับบังคับฝืนตนไว้ กล่าวน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“มารดาข้าน้อยต้องการให้ฟ้อง คืนความเป็นธรรมให้ตระกูลข่งเรา มารดาข้าน้อยแม้ต้องประสบภัย หากรู้ว่าข้าน้อยทำสำเร็จ ก็คงตายตาหลับอยู่บนสวรรค์”
อาจเป็นเพราะข่งรั่วเหมยแต่งกายเป็นชายนานไป จึงเรียกตนเองเหมือนเป็นเด็กหนุ่ม สตรีเข้มแข็งเช่นนี้เป็นที่ชื่นชมของหวังทง จึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ไหนว่ามาว่าไยจะฟ้องร้องตระกูลสวี ข้ามาเมืองซงเจียงก็รับพระบัญชามาจัดการเรื่องนี้”
ข่งรั่วเหมยเป็นแม่นางน้อยอายุไม่ถึง 20 ตอนนั้นเกิดเรื่องนางยังไม่ถึง 2 ขวบ บิดาข่งรั่วเหมยเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในศาลที่ว่าการเมืองซงเจียง มีหน้าที่ดูแลสมุดบันทึกทางการ เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ การเสียภาษีก็ย่อมเป็นภาระไม่น้อย
ตระกูลข่งเป็นเจ้าหน้าที่ก็ย่อมมีที่นาไม่น้อย เพื่อประหยัดเงินภาษีจึงได้เอาที่นาไปฝากไว้กับตระกูลสวี เริ่มแรก ก็ทำตามธรรมเนียม แต่พอสวีเจี้ยกลับบ้านเกิดมา ตระกูลสวีกลับไม่ยอมรับว่าฝาก หากฮุบที่นาไปเสียเอง
ทุกคนในพื้นที่ย่อมออกมาเรียกร้อง แต่ตระกูลสวีอิทธิพลมาก ผู้ใดก็เอาเรื่องไม่ได้ ยามนั้นไห่รุ่ยมาถึงแดนใต้พอดี เริ่มสืบคดี คนฟ้องร้องก็ย่อมมาก ตระกูลสวีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมคายที่นาออกมา หลายครอบครัวไม่อาจนำหลักฐานออกมาได้ แต่ตระกูลข่งกลับมีหลักฐานเป็นสมุดบัญชีเกล็ดปลา ไม่เพียงแต่นำของตนกลับได้ ยังช่วยเหลืออีกหลายคน
ตอนนั้นทำให้ทุกคนดีใจกันอย่างมาก แต่พอไห่รุ่ยล้มในเวลาไม่นาน ตระกูลสวีก็กลับมาฮุบใหม่ และยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ พูดหน้าตาเฉยว่าที่ดินเหล่านั้นเป็นของตระกูลสวี เพราะการนำไปฝากย่อมมีหนังสือรับฝาก ตระกูลข่งยังมีบัญชีเกล็ดปลาเป็นหลักฐาน ย่อมต้องกลายเป็นหนามยอกในตาของตระกูลสวี