องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 857 หลักฐานมีแล้วอย่างไร
ห่อผ้าอาบน้ำมันในมือข่งรั่วเหมยก็คือเอกสารสัญญาที่ดินหลายหน้า มีทั้งสัญญาที่ดินของตนเอง ที่เรียกว่าสมุดบัญชีเกล็ดปลาที่หวังทงได้ยินมาก่อนหน้า ทว่ายามนี้กลับเห็นเป็นครั้งแรก
แผ่นใหญ่ น่าจะใหญ่ราวแผ่นภาพอักษรกลางห้องโถงครึ่งหนึ่งได้ ด้านบนมีเขียนว่าที่นาขนาดเท่าใดของผู้ใด จากที่ใดไปที่ใด ปักหมุดศิลาเป็นหลักฐาน เป็นต้น หวังทงถือไว้ในมือรู้สึกหนามาก แต่ไม่แข็งแรงนัก มีร่องรอยชำรุดหลายแห่ง
ขอบเอกสารเริ่มมีร่องรอยเปื่อยยุ่ย หวังทงหยิบสัญญามาดู เขาไม่ค่อยคุ้นกับเอกสารพวกนี้เท่าไร ทว่าสัญญาน่าจะจริง
หวังทงมองดูอย่างละเอียด กลับคิดถึงข่าวหนึ่งก่อนหน้านี้ได้ จึงถามขึ้น
“เคยได้ยินว่าขุนนางที่ทำการสามารถเล่นลูกไม้กับเอกสารพวกนี้ได้ ไม่ทราบว่าทำอย่างไร?”
พวกหลิ่วซานหลังที่ยืนอยู่ในห้องสบตากัน พวกเขาเป็นคนสายบู๊ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หากเป็นข่งรั่วเหมยที่คุกเข่าอยู่ลังเลไปมากล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ข้าน้อยพอรู้มาบ้างว่าที่นาพวกนี้ ต้องปรับหน้าดินทุกปีตอนทำนา ยากที่จะไม่ทำให้เขตเปลี่ยน ยังมีที่นาที่ขายไป ดังนั้นทุกช่วงเวลาจึงต้องวัดเขตใหม่ พอวัดเขตเสร็จ คนทางการก็จะใช้กระดาษแผ่นหน้ามาแปะทับและก็ลงกาวหนาๆ ไว้ เช่นนี้เอกสารก็จะอยู่ไปได้ไม่กี่ปีก็จะเปื่อยยุ่ย ไม่มีหลักฐาน ก็ย่อมมีโอกาสเล่นลูกไม้ได้”
“เจ้าหน้าที่พวกนี้สามารถทำอันใดได้บ้าง?”
“นายท่าน เจ้าหน้าที่พวกนี้ก็จะเป็นคนเจ้าของที่ดินส่งมาแทรกซึมในที่ทำการทางการ พวกเขาทำเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าของที่ลงมือ”
หวังทงส่ายหน้ายิ้ม โยนหลักฐานไปอีกทาง เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ข่งรั่วเหมย ของในมือเจ้าเป็นหลักฐานไมได้”
พอกล่าวเช่นนี้ ข่งรั่วเหมยก็ร้อนใจทันที คลานเข่าเข้ามาหน้าหวังทง รีบร้อนกล่าวว่า
“นายท่าน หลักฐานเอกสารนี่ เทียบกับที่นาในครอบครองตอนนี้ของตระกูลสวี ไยเป็นหลักฐานไมได้”
“หลักฐานเอกสารนี่หาคนที่ไหนมาทำขึ้นมาก็ได้ ทำหลักฐานได้เนียนกว่าของเจ้าอีก ง่ายมากจริงๆ”
ได้ยินคำตอบหวังทงเช่นนี้ ข่งรั่วเหมยสีหน้าซีดเผือด ขอบตาเริ่มแดงก่ำ โขกศีรษะติดๆ กัน น้ำเสียงแหบพร่าว่า
“นายท่าน เพื่อของสิ่งนี้ในมือข้าน้อย โจรตระกูลสวีส่งคนมาล่าสังหาร หรือว่าใต้เท้าไม่เชื่อว่าของในมือข้าน้อยเป็นของจริง ข้าน้อย…..”
ยิ่งพูดก็ยิ่งสะเทือนใจหนัก หวังทงโบกมือขัดขึ้น ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าเมื่อครู่ข้าบอกเจ้าก็คือ หากว่าตระกูลสวีโต้กลับเช่นนี้ เจ้าจะมีหลักฐานอันใดโต้คืน?”
ข่งรั่วเหมยนับว่าเป็นคนฉลาด หวังทงถามเสียงเรียบก็ทำนางหมดวาจาในทันที อึ้งไปนาน ล้มตัวลงนั่งแผละกับพื้น ดวงตาส่องประกายเมื่อครู่เริ่มหม่นลง เหมือนว่าจิตวิญญาณอยู่ๆ ออกจากร่างไปหมดสิ้น
จากเมืองซูโจวมาถึงเมืองฉางโจว ถูกพบบนฝั่ง แม้ได้ขึ้นเรือผู้แทนพระองค์ราวปาฏิหาริย์ ผู้แทนพระองค์คิดออกหน้าจัดการให้ คิดไม่ถึงว่าพอนำหลักฐานออกมา ถูกผู้แทนพระองค์บอกว่าไร้ประโยชน์ ผู้แทนพระองค์กล่าวมานั้นใช่ว่าคิดผลักไส หากเป็นเหตุผลแท้จริง
คิดถึงอันตรายตลอดทางมา คิดถึงความยากลำบากรักษามาของแม่ลูก อยู่ๆ กลายเป็นฟองแตกสลายไปกับตา ยามนี้ข่งรั่วเหมยรู้สึกเหมือนว่าไม่มีความหมายใดอีก ได้แต่นั่งแผละอยู่กับพื้นไร้สิ้นความหวัง
เห็นเด็กหญิงเป็นเช่นนี้ หวังทงถอนหายใจ หันไปทางสื่อชีกล่าวว่า
“ไปตามสาวใช้สองคนของแม่นางไจ๋มา ประคองนางไปพักก่อน!”
ไม่นาน สาวใช้สองคนก็เดินเข้ามา ประคองข่งรั่วเหมยตัวแข็งทื่อออกไป พอออกไป เฉินต้าเหอก็เข้ามาใกล้ถามขึ้นเบาๆ ว่า
“ท่านโหว เรื่องนี้ไม่จัดการแล้ว?”
ข่งรั่วเหมยเมื่อครู่บรรยายเรื่องราวมา บิดาถูกสังหาร อาถูกสังหาร นางและมารดาหนีรอดมาได้ในตอนนั้นเพราะกลับบ้านมารดา พอได้ยินข่าวก็หลบซ่อนตัวเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ และยังติดต่อกับเจ้าทุกข์อื่น หลายปีมานี้ไปฟ้องร้องหลายท้องที่ แต่ไม่มีคนสนใจ และพอฟ้องไป ก็มักมีคนมาถึงที่ เป็นภัยถึงชีวิต หลายปีนี้ข่งรั่วเหมยสองแม่ลูกหนีไปทั่ว กินอยู่ลำบากมาก
เรื่องนี้ฟังแล้วน่าสงสารยิ่ง ทหารติดตามหวังทงนอกจากคนเช่นสื่อชีและอู๋เอ้อร์ พวกเด็กหนุ่มอย่างเฉินต้าเหอก็รู้สึกอยากผดุงคุณธรรม เดิมคิดว่าหวังทงจะออกหน้าจัดการให้นาง คิดไม่ถึงว่าจะจบเช่นนี้ ดังนั้นจึงถามขึ้น
“หลักฐานนี้ทำอันใดได้กัน ท้องที่กับราชสำนักจะฟังความจากเด็กหญิงคนเดียวหรือ ของพวกนี้หาร้านทำออกมาแล้วเอามาสร้างความยุ่งยากให้ตระกูลสวีก็ได้ เจ้าลองคิดดูให้ดี อย่ายืนอยู่ข้างข่งรั่วเหมย หากเจ้าเป็นขุนนางสอบคดี เจ้าจะทำเช่นไร?”
เฉินต้าเหอเป็นคนหัวไว พอหวังทงถามเช่นนี้ก็คิดนานครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าหมดหวังเช่นกัน ยืนส่ายหน้า
หวังทงลุกขึ้นไปที่โต๊ะน้ำชา ดื่มน้ำชาเย็นชืดไปคำหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า
“ที่จริงแล้วการฮุบครองที่นาของตระกูลใหญ่ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด แต่กินไปคำโตแล้วไม่ยอมจ่ายภาษี จึงจะเป็นภัยของแผ่นดิน”
ตอนกลางวันเทียบท่า ตอนกลางวันสังหารพระ มีผลประโยชน์ก้อนโตวัดผู่หยวน ทางการเมืองฉางโจวทั้งหมดก็ทำคดีได้รวดเร็วมาก
แม้ว่าคหบดีใหญ่ในพื้นที่ไปมาหาสู่กับพระผู่หยวนมาก หวังทงสังหารเช่นนี้ ทุกคนย่อมไม่พอใจ แต่เทียบกับเนื้อก้อนโตอย่างวัดผู่หยวนแล้ว ไม่พอใจก็ไม่เท่าไร เคยไปมาหาสู่กันก็ไม่เท่าไร รีบจัดการปิดคดีให้เร็วดีกว่า ทุกคนจะได้แบ่งสรรเป็นเรื่องสำคัญ ทางการให้ความสนใจ คหบดีใหญ่ท้องที่ก็ช่วยเหลือ ทางการเมืองฉางโจวทำงานได้ประสิทธิภาพดียิ่ง ก่อนฟ้ามืด ก็มีเอกสารสรุปส่งมาถึงเรือหวังทง
“เงิน 5,000 ตำลึง ยังมีเครื่องประดับประณีตสามกล่อง วางอยู่บนเรือแล้ว นี่คือบัญชีตรวจยึดทรัพย์สิน ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตรวจดู”
ผู้ว่าหลัวกล่าวอยู่นั้น สีหน้าลิงโลดยิ่ง หวังทงบอกแล้วว่าไม่เอาทรัพย์สิน แต่หากไม่ให้ ก็ย่อมเท่ากับไม่รู้ความ มอบให้หวังทงอย่างไรก็เรียกได้ว่าไม่น้อย แต่ของพวกผู้ว่าหลัวย่อมไม่น้อยเช่นกัน ทุกคนร่ำรวยถ้วนหน้าไยไม่ดีใจ
“ที่นาในครอบครองวัดผู่หยวน รอใต้เท้ากลับจากเมืองซงเจียง ทางนี้จัดการแบ่งสรรมอบให้ใต้เท้า”
หวังทงพยักหน้า ของพวกนี้สำหรับเขาแล้วไม่เท่าไรนัก มองผ่านๆ ก็พอ กล่าวว่า
“พระที่จับมาได้สอบปากคำแล้วยัง?”
พอหวังทงถามเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็สีหน้าอึกอัก ตอนบ่ายทุกคนยิ่งแต่กับทรัพย์สิน ผู้ใดจะไปสนใจพระพวกนั้นกัน อย่างไรความผิดก็แน่นหนาไม่อาจกลบได้แล้ว
หวังทงย่อมเข้าใจคนพวกนี้ เขาเพียงแค่ยิ้มกล่าวว่า
“ผู้ว่าหลัวกับทุกท่านคืนนี้ลำบากแล้ว สอบสวนทั้งคืนนี้เลย สอบปากคำได้ก็ให้พวกเขาลงชื่อคำให้การ จัดการให้เรียบร้อย หากมีคนไม่พอ ข้าจะส่งคนไปช่วย”
ในเมื่อหวังทงไม่เอาผิด เพียงเสนอใหม่ ข้อเสนอก็ไม่ได้เกินเลยไปนัก ต้องการส่งคนมาช่วย อย่างไรก็ไม่ได้บอกว่าขอแบ่งเพิ่ม ผู้ว่าหลัวย่อมไม่มีความเห็น เพียงรีบยืนขึ้นกล่าวร้อนตัวว่า
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ทำงานแข็งขันทำให้ข้าน้อยรู้สึกละอายยิ่ง ข้าน้อยคืนนี้จะกลับไปสอบปากคำ จะต้องสอบปากคำออกมาให้เสร็จ มอบให้ใต้เท้า”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ลุกขึ้นไปส่งผู้ว่าหลัวที่หัวเรือ ทำให้ผู้ว่าหลัวรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาเช่นนี้ หวังทงกลับมา ก็ไปตามหลิ่วซานหลังกับสื่อชีมา สั่งการไปตรงๆ ว่า
“วัดผู่หยวนกับตระกูลสวีต้องสมคบคิดกันแน่ คำให้การต้องมีเอ่ยถึง”
****************
ทัพม้าตามขบวนเรือหวังทงมานั้น พอเกิดเรื่องที่เมืองฉางโจวก็มีคนส่งสารด่วนไปยังเมืองซงเจียง เช้าวันต่อมาหวังทงก็ออกเดินทาง ม้าเร็วเข้าเมืองซงเจียงไปแล้ว หวังทงย่อมไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขายืนมองอยู่หัวเรือ พบกว่าสองฝั่งมีทัพม้าน้อยลงกว่าเมื่อวานมาก
คืนสอบสวน พระวัดผู่หยวนที่ถูกจับล้วนกล่าวสารภาพออกมาจนหมดไม่มีเหลือ เจ้าหน้าที่เมืองฉางโจวคบหาสมาคมกับพระพวกนี้ ก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็นพวกโจรทะเลและพวกโจรเดนตาย ไม่กล้าลงมือสอบ
ทว่าพอหลิ่วซานหลังกับสื่อชีมา เขาสอนคนย่อมไม่สนใจเรื่องนี้ หลังจากสังหารพระสิบกว่าคนในโถงกลางที่ทำการไป ทุกคนที่เหลือย่อมไม่กล้าปิดบังอันใดอีก
การจับบุตรหลานคหบดีไปเรียกค่าไถ่ ทำร้ายพ่อค้านอกพื้นที่ที่ไม่รู้เบื้องลึกของวัดผู่หยวน สังหารประสงค์ทรัพย์ ปล้นนอกเมืองกับเส้นทางน้ำเพื่อฉุดคร่าสตรี เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในคำให้การ ในนั้นยังพูดถึงการได้รับคำสั่งจากตระกูลสวีไปจัดการสังหารคนนอกเมืองอีกด้วย
แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพระผู่หยวนกับศิษย์วัดผู่หยวนอีกสามคนจัดการ คนอื่น ๆ ไม่ได้ข้องเกี่ยว ผู่หยวนกับศิษย์สองคนเมื่อวานถูกสังหารไปแล้ว ที่เหลืออีกคนก็ถามอันใดก็ตอบหมด จึงไม่กล้าทิ้งไว้ที่ทำการเมืองฉางโจว หากนำกลับมาที่เรือด้วย
ศิษย์ผู่หยวนเป็นโจรทะเล ย่อมมีความสามารถเอาตัวรอด ไม่เกรงกลัวความตาย ทว่าพอเห็นวิธีการของหลิ่วซานหลังกับสื่อชีจึงได้รู้ว่าตนเองได้เปิดโลกแล้ว มีอันใดก็ต้องพูดให้หมด ทว่าตระกูลสวีทำงานได้รอบคอบมาก เรื่องที่ศิษย์ผู่หยวนรู้ก็ไม่มากนัก
ขุนนางสบคบโจร และใช้การสังหารชิงทรัพย์ ความผิดนี้เล็กได้ใหญ่ได้ ตั้งแต่ลงมาจากหนานจิง ตลอดทางก็เห็นวิธีการต่างๆ ของพวกคนแดนใต้ หวังทงอย่างไรก็ต้องรอบคอบมากขึ้น
ออกเดินทางจากอู่จิ้น ฟ้ายังไม่มืดก็ถึงเมืองอู๋ซี คนเรือมาสอบถาม ต้องการแวะไปดูทะเลสาบไท่หูไหม เส้นทางน้ำสะดวกมาก คนเหนือมาครั้งแรก ก็ย่อมต้องอยากความกว้างใหญ่ของทะเลสาบไท่หู หวังทงกลับไม่สนใจนัก ให้ไปจอดเรือพักที่เมืองอู๋ซี
******************
ตระกูลสวีเมืองซงเจียงทุกคนต่างหวาดกลัว นายท่านสวีพานที่กำลังสนทนาเรื่องกาพย์กลอนกับผู้มีชื่อเสียงอยู่ พอได้ยินข่าว ก็ถึงกับร้อนใจ สาวใช้หนึ่งทำถ้วยชาแตก ก็สั่งให้ตีตายทันที