องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 858 ชุลมุน
เรือแล่นบนคลองส่งน้ำ ผ่านหมู่บ้านกาวเฉียวเข้าสู่เมืองอู๋ซี จากนั้นไม่เกินหนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะถึงริมทะเลสาบไท่หู
ตอนถึงเมืองอู๋ซี ฟ้ายังไม่มืด ขุนนางท้องที่เมืองอู๋ซีกับคหบดีในท้องที่มารอต้อนรับผู้แทนพระองค์ หวังทงย่อมขี้เกียจจะสนใจ ไล่ทุกคนให้ลงจากเรือไป หวังทงไม่ลงจากเรือ ขุนนางก็ย่อมไม่ต้องยุ่งยากต้อนรับ จึงไม่ดึงดันต่อ
จัดการหาอาหารและยาจากเมืองอู๋ซีขึ้นมาเพิ่มแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำอีก ยาโดยมากก็เป็นยาทำให้จิตใจสงบ เพราะหลังจากจากเมืองฉางโจวมา ข่งรั่วเหมยก็เอาแต่ร้องไห้ จิตใจไม่สงบอย่างมาก
ไม่ได้หยุดพักในเมืองอู๋ซี ขบวนเรือเตรียมตัวก่อนฟ้ามืดจะเข้าจอดเทียบท่าพัก เป็นคลองส่งน้ำเขตเมืองฉางโจวกับเมืองซูโจว
ตลอดทางเงียบสงบมาก มีเพียงฟ้าใกล้มืดเท่านั้น ศิษย์ผู่หยวนผู้นั้นอยู่ ๆ ก็แผดเสียงร้องดังลั่นบอกว่าอยากขอพบใต้เท้าผู้แทนพระองค์ อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ หวังทงจึงให้นำตัวเข้ามา
ศิษย์ผู่หยวนเป็นพระอ้วนท่าทางน่ากลัว ถูกมัดแน่นหนา พอเข้ามาในห้องหวังทงก็โขกศีรษะดังส่งเสียงแหบพร่าว่า
“นายท่าน ตอนแรกนายท่านสองท่านรับปากข้าน้อยแล้ว จะให้ข้าน้อยตายไม่ทรมาน นายท่านอย่าได้คืนคำ!”
กล่าวจบก็ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น หลิ่วซานหลังกับสื่อชีลงมือโหดเหี้ยม ทำให้อยู่ไม่สู้ตายเสียดีกว่า แต่เรือแล่นอยู่กลางทาง ไยอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ น่าแปลกไม่น้อย
“ให้เจ้าตายไม่ทรมานใช่ว่าไม่ได้ หรือว่าเจ้าตอนนี้ไม่อยากมีชีวิตแล้ว เกิดเหตุอันใดกัน?”
หวังทงถาม สีหน้าพระเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า
“นายท่านจับข้าน้อยขังไว้ที่เรือนั่น มองออกไปบ่ายวันนี้ ได้เห็นเรือเจ้ามังกรทะเลสาบไท่หูตามมาด้วย หากถูกคนเจ้ามังกรจับได้ ย่อมต้องถูกหั่นเป็นหมื่นชิ้น ดีไม่ดีอาจถูกค่อยๆ เฉือนเนื้อทีละชิ้นโยนลงทะเลเลี้ยงปลา ข้าน้อยมีโทษหนัก ไม่ขอชีวิต ขอแค่นายท่านตอนนี้ลงมือรวดเร็วก็พอ”
“พวกทางทะเลและทะเลสาบนี่ คนในวงการนักเลงชื่อเจ้ามังการหลายคนเลยหรือ?”
หวังทงหัวเราะ ชื่อน่ากลัวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าพระผู่หยวนมีชื่อเสียงขนาดไหนในวงการเหมือนกัน คนที่คุกเข่าเอ่ยชื่อมา สื่อชีอึ้งไปสบตากับอู๋เอ้อร์ สื่อชีเข้าไปใกล้ถามขึ้น
“เจ้ามังกรแซ่เมี่ยว เจ้าแห่งชาวท้องทะเลที่ไถโจว?”
พระที่คุกเข่าถึงกับอึ้งไปก่อนจะโขกศีรษะกล่าวว่า
“ใช่ ท่านเมี่ยว”
“นำตัวกลับไปที่เดิม!”
อู๋เอ้อร์กล่าว ทหารสองนายมานำตัวออกไป อู๋เอ้อร์กระซิบหวังทงกล่าวว่า
“ท่านโหว เจ้ามังกรเมี่ยวเป็นขันทีใหญ่ทะเลสาบไท่หู มีกำลังโจรนับพันในมือ พระผู่หยวนหลายปีก่อนก็มาปลอมตัวเป็นพระแล้ว การค้าทางน้ำก็ล้วนเป็นเจ้ามังกรเมี่ยว…….”
สื่อชีข่างๆ กล่าว
“เจ้ามังกรเมี่ยวตอนนั้นขุนพลที่หนิงปอ เพราะทำความผิดจึงนำลูกน้องหนีออกมา เขาใช้กฎทหารคุมกำลังคน ลูกน้องฝีมือดีมาก ร่วมมือกับหัวหน้าโจรสิบกว่าคนบนทะเลสาบไท่หู มีคนลือกันว่า คนแซ่เมี่ยวเคยสู้กับโจรสลัดที่เมืองซงเจียงกับเมืองเจียซิงด้วย ไม่เคยเสียเปรียบ!”
โจรก็คือโจร กำลังทางการอ่อนแอมาก แต่พวกนอกด่านทางเหนือ โจรสลัดทางใต้ กลับเป็นภัยใหญ่ที่ทุกคนยอมรับ สามารถสู้กับโจรสลัดได้ไม่เสียเปรียบ ก็ย่อมเรียกได้ว่าร้ายกาจ
“มาถึงตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป เกรงว่าไปขอกำลังทหารจากกองกำลังเจิ้นไห่มาก็คงไม่ได้การ ไปขึ้นฝั่งที่สวี่ซู่ก่อน จากนั้นค่อยไปรวบรวมม้าไปเมืองซูโจว พวกเราเข้าเมืองซงเจียงทางบก!”
หวังทงตบโต๊ะตัดสินใจ
**************
ณ เมืองหนานจิง โรงเตี๊ยมหนึ่งห่างจากที่พักของหวังทงราวสองช่วงถนน มีคนแต่งกายแบบพ่อค้าถือสัมภาระรีบเดินออกไปอย่างร้อนรน
แบกห่อสัมภาระบนหลังไม่ออกนอกเมือง แต่เดินวนไปมาในเมือง จากนั้นไปหยุดที่ด้านหลังวัดร้างแห่งหนึ่ง ไปเก็บฟืนจากรอบๆ มา และหยิบแท่งไฟจุดไปมาสองสามทีก็เกิดประกายไฟ ก่อนจะล้วงของในสัมภาระออกมา เป็นจดหมายปึกใหญ่โยนเข้ากองไฟ
เพิ่งโยนเข้าไปได้ปึกหนึ่งก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา ชายแต่งตัวแบบคนงานสองคนนำทหารองครักษ์เสื้อแพรมาถึงทหารองครักษ์เสื้อแพรตวาดดังถามว่า
“ทำอะไรกัน คิดจะวางเพลิงในเมืองหรือ!”
เมืองหนานจิงเป็นสิ่งก่อสร้างไม้มาก ยามนี้อากาศแห้งมาก เขาสองคนจุดไฟก็ย่อมทำให้คนสงสัย พอเห็นก็ไปตามเจ้าหน้าที่มา สองคนเห็นดังนั้นก็ลนลาน โยนจดหมายในมือเข้ากองไฟทันที หันหลังรีบเผ่นหนี เจ้าหน้าที่ย่อมไม่ไล่ตามทันที มีคนเดินไปที่กองไฟหยิบแผ่นหนึ่งที่ยังไม่ไหม้ออกมา พออ่านก็ถึงกับอึ้งไป เขารู้อักษรไม่มาก แต่จดหมายนี้เป็นจดหมายที่โยนเข้าไปในจวนชนชั้นสูงในหนานจิงหลายจวน
ก่อนหน้าสืบไปก็ไม่ได้ร่องรอยใด ถึงกับได้มาอย่างไม่เสียแรง ทหารองครักษ์เสื้อแพรรีบเข้าไปดับไฟ นำจดหมายออกมา
เรื่องง่ายมาก สองคนทั้งวันลับๆ ล่อๆ เมืองหนานจิงระยะนี้เกิดเรื่องมากมาย คนงานและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเกรงว่าจะไปรับภัยมาใส่ตัวปล่อยให้โจรมาพัก พอสองคนนั้นไป ก็ส่งคนสะกดรอยตามไป และยังรู้จักทหารองครักษ์เสื้อแพรละแวกนี้ ตามกันก็มา
สืบมาจนได้จดหมายนี้ ก็ส่งให้นายตนดู ข่าวกับปิดไม่มิด ในเมืองหนานจิงที่ควรรู้ก็รู้กันหมด
หัวหน้าทหารพวกนี้ก็คือจางเหลียนเซิง พอหวังทงไปแล้ว จางเหลียนเซิงก็รับรู้ถึงความสนุกในการเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแล้ว เมื่อก่อนหลายคนที่ไม่เห็นเขาในสายตาตอนนี้ก็มาขอประจบเป็นพวกด้วย เมื่อก่อนไม่เคยมองเขาดีๆ ตอนนี้ก็ยังต้องยิ้มให้
บังเอิญมาก ทหารที่สืบความเรื่องจดหมายได้นั้นเป็นคนของจางเหลียนเซิง พอได้ยินว่าเกี่ยวกับจดหมายคราก่อน จางเหลียนเซิงก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกหลายส่วน
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชนชั้นสูงในเมืองหนานจิง เกี่ยวพันกับหวังทง สืบความได้แล้ว ยังเป็นความชอบตนเองอีก สามารถประจบได้หลายฝ่าย
องครักษ์เสื้อแพรจะขี้เกียจเพียงใด แต่คงพอมีเวลาลงทัณฑ์สอบ สองคนที่ถูกจับได้ก็ไม่ใช่พวกปากแข็งอันใด พอใช้เครื่องลงทัณฑ์ก็รับสารภาพทันที…….
พ่อค้าสองคนนี้เป็นคนของคนสนิทหลี่จื๋อ พวกเขาทำการต่าง ๆ ในหนานจิงตามคำสั่งหลี่จื๋อ หลี่จื๋อคือใคร เมืองหนานจิงทุกคนรู้ดีว่าปรากฏชื่อในรายชื่อวีรบุรุษเมืองหลวง จางเหลียนเซิงแม้สั่งให้เป็นความลับ แต่ข่าวก็ยังคงมีคนรู้แล้วรู้ต่อกันไปอีก
วันนั้นตอนค่ำก็มีคนมาหา เรื่องนี้อย่าแพร่ออกไป เรียนให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ทราบก่อน รอใต้เท้าผู้แทนพระองค์สั่งการค่อยว่ากัน พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อน ถึงกับมีคนมาบอกให้รู้ว่า หลี่จื๋อเป็นขุนนางเมืองหลวง คณะเสนาบดีใหญ่เมืองหลวงหกกรมกอง ล้วนมีสายสัมพันธ์กับเขา เรื่องนี้ใหญ่มาก พวกเราไม่อาจข้องเกี่ยว
พอได้ยินเช่นนี้ จางเหลียนเซิงไม่กล้ารอช้า รีบจัดการส่งคนไปส่งข่าวที่เมืองซงเจียง
นายกองพันเมิ่งเซี่ยนฮุยที่ถูกขังไว้ หลังจากอยู่ในคุกหลายวัน ก็บอกว่าเบื้องตนเองคือผู้ใด เขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร ย่อมต้องกระจ่างในการลงทัณฑ์สอบขององครักษ์เสื้อแพรที่แสนโหดเหี้ยม ไม่กี่วันก็เริ่มหวาดกลัว กลัวว่าจะต้องโดนเอง แม้กล่าวว่าเบื้องหลังตนเองคือผู้ใด อาจเป็นโทษตาย แต่อย่างไรก็แค่ไม่ทำงานนี้แล้ว
ตามคาดของหวังทง เมิ่งเซี่ยนฮุยเป็นนายกองพันตระกูลสวีส่งเสริมมา ไม่ว่าอย่างไรคนก็มักจะเห็นใจคนมาจากบ้านเกิดเดียวกัน แต่ทว่าสวีเจี้ยกลับไม่ใช่ รังแกคนบ้านเดียวกัน ฮุบที่นาไม่ว่า เรื่องสมคบทำชั่วอื่นๆ ก็ไม่น้อย ล่วงเกินคนไปมากมาย พอสวีเจี้ยตายไปก็ไม่กล้าฝังที่บ้านเกิด
สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อคุ้มครองกิจการและครอบครัวตนเอง ทางการและทางโจรก็ย่อมต้องร่วมกันส่งเสริมคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา และเมิ่งเซี่ยนฮุยก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทว่าเมิ่งเซี่ยนฮุยไม่กล่าวอันใดมากนัก บอกแค่ว่าตนเป็นคนที่ตระกูลสวีให้การดูแล จึงได้โดดเด่นขึ้นมาครองตำแหน่งนายกองพันได้ ส่วนให้เขาทำอันใดนั้น ก็ย่อมยอมรับว่านายกองร้อยผู้นั้นเป็นเขาสั่งการไปเอง เรื่องอื่นไม่รู้ทั้งสิ้น
จางเหลียนเซิงไม่รู้ทำอย่างไรต่อ อย่างมากก็ให้คำตอบหวังทงไปได้เท่านั้น เรื่องอื่น ๆ ทำอันใดไม่ได้ จับไปขังต่อ
**********
ระวังตัวมาตลอดทาง พวกหวังทงตั้งแต่มาถึงอำเภออู๋เมืองซูโจวก็ไม่ได้ประสบเหตุยุ่งยากใด เส้นทางสงบสุขดี
เมืองซูโจวเป็นที่ร่ำรวยในใต้หล้าที่สุด ร้านสามธาราที่นี่ก็ย่อมต้องมีร้านสาขา มีพื้นที่ตนเอง ทำงานก็ย่อมสะดวกกว่ามาก
เมืองซูโจวมีขุนนางมาขอพบ ตามคำสั่งหวังทงให้เตรียมม้า ร้านสามธารากับเจ้าหน้าที่ท้องที่ก็ย่อมต้องไปบ้านข่งรั่วเหมยหาตัวมารดาข่งรั่วเหมย
ข่งรั่วเหมยหลายวันนี้จิตใจไม่ปกตินัก มักเหม่อลอย เพื่อความปลอดภัยของนาง หวังทงไม่ยอมให้นางลงจากเรือ รอถึงตอนกลางวัน หวังทงกลับเรียกนางไปพบ
พอเข้ามาในห้อง ไม่มีทหารอารักขาในห้องเหมือนเคย มีแต่หวังทงคนเดียว สีหน้าจริงจัง เห็นนางเข้ามาก็โบกมือให้สาวใช้ติดตามออกไป หวังทงกระแอมไอกล่าวว่า
“มารดาเจ้าแขวนคอตายแล้ว เพื่อนบ้านเจ้าหลายวันก่อนพบศพ”
ข่งรั่วเหมยก้าวไปด้านหน้าเหมือนไม่ได้ยิน อยู่ๆ ก็โงนเงนไปมา สีหน้าไร้สีเลือด คุกเข่าลงใบหน้าสีเผือด
หวังทงกล่าวอีกว่า
“คนข้ามีคนรู้จักกับเจ้าหน้าที่ท้องที่ ได้ยินมาว่า วันนี้เพื่อนบ้านเห็นพระสองรูปกับพวกมาที่บ้านเจ้า แขวนคอตายหรือไม่ เจ้าควรรู้”
“เป็นไปได้อย่างไร……เป็นไปได้อย่างไร…….มารดาข้าทนลำบากมานานวัน กำลังจะฟ้องร้องคืนความยุติธรรมได้แล้ว แค้นกำลังได้แก้แค้นแล้ว จะแขวนคอตายได้อย่างไร”
ข่งรั่วเหมยพึมพำกล่าว สายตาพร่ามัว โงนเงนไปมา ก่อนสีหน้าจะเด็ดเดี่ยวก้าวเข้าไปกล่าวอย่างมั่นใจว่า
“นายท่าน ต้องเป็นคนตระกูลสวีส่งมาแน่ ต้องเป็นตระกูลสวีส่งคนมาปิดปาก ขอนายท่านให้ความเป็นธรรมด้วย แก้แค้นให้ข้าน้อยด้วย!!!”
ข่งรั่วเหมยค่อยๆ ตัวเอียงล้มลงก่อนจะเป็นลมไปทันที