องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 859 ขอพลีกายเพื่อตอบแทน
เห็นข่งรั่วเหมยเป็นลมล้มพับไปต่อหน้า หวังทงถอนหายใจ จัดการตามสาวใช้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์มาพาไปดูแลที่ห้องไจ๋ซิ่วเอ๋อร์
รู้มาว่าระหว่างทางอาจมีคนคิดลงมือ หวังทงต้องรอบคอบเตรียมรับมือ ทางหนึ่งก็จัดการคนไปเมืองซูโจวรวบรวมกำลังคุ้มกันจากที่ทำการมา ทางหนึ่งก็สละเรือขึ้นฝั่งที่เมืองซูโจว เตรียมเดินทางทางบก
แม้เป็นแดนใต้ แต่เมืองซูโจวรุ่งเรือง ระดมรถและม้าก็ง่ายมาก นับประสาอันใดกับได้รับการช่วยเหลือจากร้านสามธารา ข่าวจากเมืองฉางโจวแพร่มา หวังทงพอถึงเมืองฉางโจว ก็สังหารพระผู่หยวนนำกำลังทหารกวาดล้างวัด
ไหนเลยจะเป็นผู้แทนพระองค์สืบคดี เห็นชัดๆ ว่าเป็นดาวเพชฌฆาตมาสังหารคน ทุกคนต้องต้อนรับอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าทำความผิดพลาดแม้แต่น้อย
พวกหวังทงรออยู่บนเรือ พอรถและม้ามาครบ ก็ค่อยลงจากเรือ แม้ว่าจะเร็ว แต่อย่างไรก็ต้องอยู่อำเภออู๋ต่ออีกคืน ท่าเรือคลองส่งน้ำอำเภออู๋เทียบกับเมืองฉางโจวแล้วยิ่งใหญ่กว่ามาก คึกคักที่สุด ตามคำพูดของบรรดาทหารติดตามอารักขาความรุ่งเรืองนี้ เกรงว่าเทียนจินยังสู้ไม่ได้
ทางใต้รุ่งเรืองมากันเกือบพันปี เมืองซูโจวเป็นที่รุ่งเรืองในที่รุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางของความสุดยอด ย่อมไม่ธรรมดา
ทหารส่วนใหญ่มองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ทว่าสื่อชี หลิ่วซานหลังกับอู๋เอ้อร์กลับรู้สึกร้อนใจ เพราะท่าเรือคนมาก พวกไม่รู้ที่มาที่ไปก็มากเช่นกัน แม้ว่าจับตาดูแน่นหนาก็อาจไม่พบก็ได้ ภัยรอบตัวโดยแท้
ผู้แทนพระองค์บอกว่าเส้นทางอาจไม่สงบสุข ต้องส่งคนไปขอกำลังเมืองซูโจวมาอารักขา ขุนนางเมืองซูโจวไม่กล้ารอช้า ส่งเจ้าหน้าที่มาล้อมอารักขารอบเรือหวังทง ที่เมืองซูโจวกลางวันแสกๆ ผู้ใดคงไม่กล้าทำอันใด ก็เงียบสงบดีไม่น้อย
ฟ้าใกล้มืด รถม้าก็มาถึง ทหารติดตามหวังทงกับเมืองซูโจวส่งคนไปจัดการนำของจากเรือย้ายขึ้นรถไป
ของใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่ยาก มีแต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่แม้ว่าเพิ่งขึ้นเรือมาไม่นาน แต่ของกลับไม่น้อย เพียงแค่ของใช้คนเดียวก็ใช้รถใหญ่ไปแล้วหนึ่งคัน
ฟ้ามืดแล้ว หวังทงไม่อยากพักโรงเตี๊ยมในเมือง พักบนเรือต่อ เมืองซูโจวส่งพ่อครัวจากร้านอาหารในเมืองมาจัดโต๊ะเลี้ยง จัดการส่งขุนนางมาหลายคน ก็นับว่าเสร็จงาน
หวังทงไม่ได้ดื่ม ยามนี้เขารู้สึกอึดอัด เห็นๆ ว่าอยู่กลางแผ่นดินหมิง กลับเหมือนอยู่แดนศัตรูเสียได้ ต้องระวังตัวตลอดเวลา
“ท่านโหว คุณหนูหลูขอพบ!”
หวังทงกำลังใช้ผ้าขัดปืนสั้น กลับได้ยินด้านนอกมีสาวใช้มารายงาน หวังทงอึ้งไปก่อนได้สติ นี่เป็นสาวใช้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ ในเมื่อไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนหวังทง สาวใช้ก็ย่อมเป็นสาวใช้หวังทง ล้วนวางตัวระดับคนรับใช้
คุณหนูหลูก็คือข่งรั่วเหมย แต่มาขอพบครั้งนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก หวังทงเองก็แปลกใจ แม้ข่งรั่วเหมยเป็นหญิง แต่ทำงานได้คล่องแคล่ว แต่ไรมาไม่เคยวางตัวเป็นหญิง เหตุใดจึงมาขอพบตอนนี้
ทว่าในเมื่อมาขอพบ ก็ย่อมต้องระวังเรื่องชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด หวังทงโบกมือให้ทุกคนในห้องหลบไป จากนั้นให้ข่งรั่วเหมยเข้ามา
ในห้องมีแสงโคมไฟสว่างมาก พอข่งรั่วเหมยเข้ามา หวังทงกลับรู้สึกในห้องยิ่งสว่าง ข่งรั่วเหมยที่ปกติแต่งกายเป็นชาย คืนนี้กลับแต่งกายเป็นหญิง
เครื่องแต่งกายไม่ได้หรูหราแบบชาววัง แต่ก็น่าจะเป็นแบบหญิงชาวบ้านระดับกลาง เด่นที่เรียบง่ายสะอาดตา หน้าตาข่งรั่วเหมยก็กลางๆ ไม่เช่นนั้นแต่งกายเป็นชายเป็นนานจะไม่ถูกพบได้อย่างไร หว่างคิ้วกดลึก รูปร่างสูง สวมชุดกระโปรง ทำให้รู้สึกงามกระจ่างตา
นับเป็นหญิงงามเช่นกัน ใต้แสงโคมก็ยิ่งดูเย้ายวน หวังทงวิเคราะห์อยู่นั้นก็พยักหน้าพอใจข่งรั่วเหมยที่แต่งหน้าเรียบๆ และยังดูเป็นหญิงมากขึ้นอีกหน่อย
หญิงที่ไม่เคยสนใจการแต่งตัวเท่าไรอยู่ๆ มาสนใจ ทำให้คนมองกัน อย่างไรก็มองชื่นชม หวังทงไม่ได้คิดอะไร ข่งรั่วเหมยหันไปปิดประตูลงท่าทางเยื้องย่างอรชร เดินมาในห้องคำนับแบบหญิงสาวลงตรงหน้าหวังทง ทว่าท่าทางดูแข็งทื่อแปลก ๆ
แต่งเป็นชายมานาน ท่าทางเป็นหญิงจึงดูเก้กังไม่น้อย หวังทงรู้ว่าข่งรั่วเหมยตอนกลางวันรู้ข่าวมารดาจากไปแล้ว ยามนี้ยิ้มก็ช่างแล้งน้ำใจ แต่เห็นข่งรั่วเหมยเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ยิ้มส่ายหน้า ข่งรั่วเหมยตอนกลางวันเหมือนจิตใจสิ้นสลาย แต่คืนนี้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ช่างน่าแปลก
มองหว่างคิ้วข่งรั่วเหมยอย่างละเอียด ยังเห็นแววเห็นความเจ็บปวด มาทำอันใดกัน หวังทงงงเล็กน้อย ข่งรั่วเหมยมองรอยยิ้มหวังทง ก็เริ่มเครียด ลังเลครู่หนึ่งก่อนกัดฟัน หันไปคุกเข่าเหมือนตอนกลางวันว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ขอท่านแก้แค้นให้มารดาข้าน้อยกับครอบครัวด้วย!!”
หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า
“เมืองซูโจวทางนี้ข้าทำอะไรมากไม่ได้ คิดหาคนร้าย เรื่องนี้อาจฝากความได้ แต่ทางการเมืองซูโจวจะจัดการให้หรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้”
“คนสังหารหาไม่พบ แต่คนบงการรู้แล้วว่าเป็นตระกูลสวี บิดาและท่านอาข้าน้อย ยังมีมารดาต้องตายใต้น้ำมือตระกูลสวี ข้าน้อยกับมารดาที่จากไปสิบกว่าปีมานี้ต้องร่อนเร่พเนจรก็เพราะตระกูลสวี ขอนายท่านแก้แค้นให้ด้วย ทวงความเป็นธรรมจากตระกูลสวีให้ข้าน้อยด้วย”
บรรยากาศกลับไปเป็นเหมือนตอนกลางวัน หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“บอกเจ้าตามตรง หากต้องการสืบตระกูลสวีนั้นยากมาก ตอนนี้เป็นไปได้ที่สุดก็คือใช้ศิษย์พระผู่หยวนผู้นั้น ทำให้ตระกูลสวีสะเทือน แต่แม้ว่ามีหลักฐาน แต่ตระกูลสวีก็อาจจะหาคนมารับผิดแทนได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นบ่ายเบี่ยงความผิด”
ที่หวังทงกล่าวมาเป็นเรื่องจริง แต่ในสถานการณ์ยามนี้ ข่งรั่วเหมยฟังเข้าหู แต่ไม่คิดฟัง ข่งรั่วเหมยเงยหน้ามองหวังทง กัดริมฝีปากล่าง ยืนขึ้นกล่าวว่า
“หากนายท่านแก้แค้นให้ข้าน้อยได้ ข้าน้อยขอยอมมอบกายแก่ใต้เท้าเพื่อตอบแทน จะยอมเป็นข้ารับใช้ปรนนิบัติใต้เท้า”
ข่งรั่วเหมยกัดฟันกล่าว หวังทงถึงกับอึ้งไป มาในยุคสมัยนี้ รวมถึงชาติก่อนหน้า ก็ไม่เคยมีใครมาพลีกายต่อหน้าตนเช่นนี้มาก่อน เดิมคิดว่ามีแต่ในบทงิ้ว คิดไม่ถึงว่าถึงกับเกิดกับตนเองได้
นอกเรือกลับได้เยินเสียงไอดังหลายที บรรดาทหารติดตามอารักขาอยู่ด้านนอกตามปกติ วาจาข่งรั่วเหมยดังไม่น้อย ด้านนอกได้ยินกระจ่าง ได้ยินเสียงตำหนิดังของเฉินต้าเหอว่า
“ไปลาดตระเวนเรืออื่น ไม่ต้องมายืนทื่ออยู่ตรงนี้ ไป!”
ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกอลหม่าน ทุกคนรีบออกไปไกล ข่งรั่วเหมยสีหน้าแดงก่ำ ราวกับมีเลือดฝาด หวังทงอยู่ ๆ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ข่งรั่วเหมยอย่างไรก็เป็นสตรี ต่อหน้าคนอื่นถึงกับทำท่าทางเช่นราวกับยอมพลีกายให้เช่นนี้ ก็อายมาก พอเห็นหวังทงไม่มีปฏิกิริยาตอบ น้ำตานางก็ไหลพลั่งพรูออกมาทันที แม้น้ำตาไหลแต่ก็ยังไม่หยุด ถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็ถอดกระโปรง ……
“หยุด!!”
หวังทงตะโกนสั่ง ใช้มือตบหน้าผาก อยากร้องไห้เสียจริง เจอการสังหารใหญ่กับพวกนอกด่านมา หวังทงยังไม่เคยเครียดเท่านี้เลย ยามนี้กลับรู้สึกสิ้นหนทาง กดดันไม่น้อย
พอหวังทงตะโกนให้หยุด ข่งรั่วเหมยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ หยุดเคลื่อนไหวทันที หวังทงเคาะโต๊ะไปมาสองสามที ก่อนจะยกมือชี้ไปด้านนอกกล่าวว่า
“เป็นแม่นางแสนตำลึง ไม่สิ…แม่นางไจ๋สอนเจ้ามาหรือ?”
ตั้งแต่หลูต้าบอกว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เคยมีคนขอไถ่ตัวราคาแสนตำลึง หวังทงก็มักจะเรียกนางเช่นนี้ หวังทงถามเช่นนี้ ข่งรั่วเหมยได้แต่ก้มหน้า ใช้ท่าทางเหมือนไม่ได้ขยับพยักหน้า เริ่มพยายามยืนหยัดทำ แต่ตอนนี้สมองกระจ่รางแล้ว กลับรู้สึกอายและตื่นตระหนก ไม่รู้ทำเช่นไรดี
หวังทงถอนหายใจ ในใจคิดว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ดูเรียบร้อย แต่ความคิดไม่น้อย ข่งรั่วเหมยเป็นคนนิสัยเด็ดเดี่ยว หากให้ทนอดกลั้นความแค้นต่อไป ก็ไม่รู้จะสร้างเรื่องใดขึ้นอีก หวังทงกระแอมไอในลำคอ กล่าวว่า
“เจ้าไม่ต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ ข้าบอกเจ้าเลย หากสืบได้ ก็สามารถจัดการคดีได้ ข้าจะต้องจัดการเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตนเองแน่นอน ผลเช่นไร ไม่อาจรับปากได้!”
หวังทงพูดเหมือนไม่กระจ่าง แต่ที่จริงแล้วได้รับปากแล้ว เมื่อก่อนไปสืบคดีตระกูลสวีล้วนไม่คิดทำอันใดมาก แต่ยามนี้หวังทงไม่คิดแบบเดิมแล้ว
ข่งรั่วเหมยพอได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็กลับเป็นปกติ คุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวเบาๆ ว่า
“ความเมตตาของนายท่าน ข้าน้อยขอยอมมอบชีวิต รับใช้นายท่าน…….”
“บอกว่าเป็นข้ารับใช้เข้าใจง่ายหน่อย เจ้าไปพักผ่อนก่อน วันนี้เจ้ากระทบกระเทือนใจมามาก พักผ่อนให้ดี คิดอยากกินอะไร ก็ให้คนไปซื้อให้เจ้า รอดูข้าจัดการคดีนี้ก็พอ!”
หวังทงยิ้มเฝื่อนโบกมือ ตะโกนเรียกด้านนอก กลับเป็นสาวใช้เข้ามา สาวใช้จะคำนับ หวังทงก็กล่าวว่า
“กลับไปบอกไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ว่าสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าได้คิดเล่นอะไรอีก คิดว่าสนุกหรือไง?”
สาวใช้คุกเข่าหวาดกลัว ไม่กล้ากล่าวอันใด
************
หยุดพักที่อำเภออู๋หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นพวกหวังทงขี่ม้าออกเดินทางพร้อมรถ ก่อนเดินทางผู้ว่าเมืองซูโจวมาส่ง หวังทงไม่ได้เกรงใจอันใด กล่าวเพียงว่า
“เมืองซูโจว นางที่ตรอกปลาแห้งนั่นไม่ได้แขวนคอตายเอง มีคนลงมือสังหาร ข้ากลับจากเมืองซงเจียงมา เจ้าต้องมีคำตอบให้ข้า ไม่เช่นนั้น ก็เอาหมวกขุนนางเจ้ามารับผิดชอบไป!”
กล่าวจบก็จากไป หวังทงไปได้ไม่ไกล ผู้ว่าเมืองซูโจวก็ตบหน้ามือปราบเมืองซูโจวสองที ด่าเจ้าหน้าที่สืบคดีเมืองซูโจวและนายอำเภออู๋ ทวนวาจาหวังทงเมื่อครู่อีกรอบ เมืองซูโจวรีบร้อนปฏิบัติงานกันทันที
เดินทางไปได้ครึ่งทาง ก่อนเข้าสู่เมืองซงเจียงต้องพักที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นคืนหนึ่งก่อน พวกหวังทงไปหาโรงเตี๊ยมละแวกนั้นพัก ก่อนเข้าพัก หวังทงพูดกับลูกน้องว่า
“หากต้องการโจมตีพวกเรา เกรงว่าก็คงคืนนี้แล้ว!”