องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 860 โจมตีราวกับละครเด็กเล่น
หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นเป็นหมู่บ้านราวพันกว่าครัวเรือน แต่โรงเตี๊ยมกลับมีมาก หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นทุกเดือนเก้าเดือนสิบก็จะมีพ่อค้ามากันมากยิ่งกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน เพราะว่าหมู่บ้านนี้เป็นตลาดค้าผ้าใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองซงเจียงกับเมืองซูโจว ใต้หล้านี้เมืองซูโจวอุดมสมบูรณ์ เมืองซงเจียงมีชื่อเรื่องค้าผ้า การค้าสองแห่งนี้ย่อมไม่ธรรมดา
การค้าผ้าเป็นกิจการใหญ่ สองฝ่ายค้าขายกันย่อมเป็นคหบดีใหญ่ โรงเตี๊ยมทำการค้าแค่สองเดือนนี้ก็พอกินไปเป็นปี พวกหวังทงผ่านเข้าพัก กลับเป็นฤดูกาลที่ไม่ใช่ช่วงคึกคักแห่งปี เงียบเหงามาก
ตามระเบียบเมืองซูโจวกับเมืองซงเจียง เมืองซูโจวคุ้มครองอารักขาหวังทงมา ก็จะมาสิ้นสุดที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้น ตามหลักแล้ว พวกหวังทงมาถึง เจ้าหน้าที่เมืองซงเจียงก็ควรจะมาต้อนรับ แต่ทางหวังทงกลับไม่เห็นเจ้าหน้าที่เมืองซงเจียงสักคนเดียว
เจ้าหน้าที่เมืองซูโจวสบถด่าไปหลายคำ ทว่ากลับไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ลองสอบถามหวังทงว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์พักสักคืนก่อน? พรุ่งนี้เมืองซงเจียงคงส่งคนมาต้อนรับ?”
เดิมคิดแอบขี้เกียจสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะตามน้ำ กล่าวว่า
“ข้าพักที่นี่สักคืนละกัน พวกเจ้ากลับไปก่อนได้!”
งานนี้ไม่มีผลพลอยได้ หวังทงราวกับยมบาลเช่นนี้ใครจะกล้าล่วงเกิน ผู้ใดก็ไม่อยากทำงานนี้ พอได้ยิน เจ้าหน้าที่ เมืองซูโจวก็ไม่เกรงใจ อำลาทันที กลับไปเสียอย่างนั้น
“พวกผู้หญิงพาไปไว้ด้านใน ให้ทุกคนมีมีดสั้นคนละหนึ่งเล่ม พวกโจรหากบุกเข้าไป ไม่อยากถูกย่ำยีก็ให้ปลิดชีพตนเอง!”
หวังทงสั่งการเสียงดัง ให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมไปหลายสิบตำลึง ช่วงเวลาไร้ผู้คนเช่นนี้เรียกว่าไม่น้อย พวกเถ้าแก่และคนงานโรงเตี๊ยมถูกสั่งให้ออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน คืนนี้เหมาโรงเตี๊ยมไว้แล้ว
ทำอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ทุกคนเริ่มยุ่งกับการเตรียมการ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้น กำลังสงสัย หวังทงก็นำมีดสั้นมามอบให้พวกนาง พอได้ยินหวังทงสั่งการ ปกติก็อยู่กับความเป็นความตายมามาก สตรีกลุ่มนี้จึงไม่รู้สึกกลัว แค่อึ้งไปเท่านั้น
รอหวังทงกลับออกไป สาวใช้ที่ตกใจจึงได้ร้องไห้ออกมา ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ปกติเจ้าความคิด จึงได้นำทุกคนเข้าไปรวมตัวกันในห้องชั้นในสุด
ด้านนอกพลธนูเริ่มหามุมเหมาะ พลปืนไฟในโรงเตี๊ยมก็เริ่มบรรจุดินปืน ยังมีคนไปยกเตาจากในครัวออกมาทำเป็นกระถางไฟ เตรียมเป็นเชื้อไฟสำหรับจุดชนวน
หวังทงกับบรรดาทหารติดตามอารักขาล้วนสวมเกราะ ทุกคนถืออาวุธในมือ โรงเตี๊ยมมีลานด้านหน้าที่สว่างมาก หวังทงปีนขึ้นไปบนหลังคามองไปรอบๆ
แดนใต้สายน้ำมาก ต้นไม้ก็มาก ยืนบนหลังคาแม้ว่าสูง แต่ก็เห็นได้ไม่ไกลนัก หากหลบซ่อนตามต้นไม้ก็ยากค้นพบ
ในสายตาหวังทงมองเห็นแม่น้ำสิบกว่าสาย แต่กว้างพอแล่นเรือได้ไม่ถึงสิบสาย จุดตัดกันของแม่น้ำเหล่านี้รอฟ้ามืดพวกโจรคนนั่งเรือมากัน
ทว่าข้อดีก็คือเพราะหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นเป็นที่ราบ เนินดินไม่มาก ทำการค้าตามฤดูกาลเท่านั้น ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงกว้างขวาง โรงเตี๊ยมกับโรงเตี๊ยมห่างกันมาก พวกหวังทงอยู่ในโรงเตี๊ยม ที่จริงแล้วก็เท่ากับอยู่ในป้อมปราการไม้ เรียกว่าได้เปรียบ
เห็นพระอาทิตย์เคลื่อนไปทางตะวันตก ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว…
************
ก่อนฟ้ามืด หวังทงส่งทหารไปซื้ออาหารจำพวกปลาแห้งผักดองมาจากในหมู่บ้าน ตกดึกไม่รู้ว่าจะทำอะไรกินก็จะได้มีให้ทุกคนได้กินกัน
พอตกดึก ลูกน้องอาศัยช่วงยังไม่เรื่องนี้พักผ่อนเอาแรงกันก่อน หวังทงปีนขึ้นไปบนหลังคาสนทนากับเฉินต้าเหอ ตำแหน่งพวกเขาสามารถมองเห็นพลธนูที่ซ่อนตัวในมุมสูงต่างๆ ได้ ครั้งนี้พลธนูที่ติดตามหวังทงมานั้นล้วนไม่ใช่ธรรมดา ฝีมือยิงไม่ต้องพูดถึง ความกล้าก็มากพอ
“ประตูไม่ต้องปิด รอพวกเขากลับมาค่อยปิดประตู!”
หวังทงหยิบปลาแห้งมาเคี้ยวเล่นเป็นของว่าง กินไปก็กล่าวกับเฉินต้าเหอไป เฉินต้าเหอพยักหน้ากล่าวว่า
“ขอท่านโหววางใจ จะว่าไปชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ธรรมดา เมื่อครู่เข้าไปซื้ออาหาร ครอบครัวเล็กๆ ถึงกับกินข้าวขาวกับปลาเค็ม หากเป็นชาวบ้านเขตปกครองเหนือ ปีหนึ่งแป้งขาวจะได้กินสักกี่ครั้งกัน?”
ได้ยินเฉินต้าเหอตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น หวังทงกลับก้มหน้ามองไปยังหลิ่วซานหลังที่กำลังตรวจรอบลานด้านหน้า ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของทหารด้านล่าง ตอบว่า
“แดนใต้ร่ำรวยไม่ใช่นิทาน ที่นี่ราษฎรธรรมดาก็สามารถให้บุตรชายได้ร่ำเรียนได้ หากเป็นทางเหนือจะได้ได้อย่างไรกัน?”
หวังทงยิ้มตอบ เฉินต้าเหอได้แต่หัวเราะตาม ก่อนจะหยิบปลาส่งเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีก็กล่าวอีกว่า
“ตอนนี้เทียนจินทำได้แล้ว ราษฎรสามารถให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ และยังมีโรงเรียนสอนทำการค้าโดยเฉพาะอีกด้วย หนทางทำมาหากินก็ไม่น้อย นี่เป็นเพราะท่านโหวโดยแท้ หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาจะไปกล้าคิดได้อย่างไร”
เฉินต้าเหอเป็นทหารจากเมืองจี้โจว ครอบครัวเขาตอนนี้ย้ายมาเทียนจินหมด ชีวิตวันๆ ก็ไม่เลว ย่อมรู้สึกพึงใจ หวังทงไม่ตอบอันใด อยู่ๆ เขาคิดได้ เหมือนหลายวันก่อนเป็นวันไหว้พระจันทร์ เทศกาลนี้ผ่านไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
ยามนี้ในหมู่บ้านเริ่มเงียบแล้ว คืนดึกสงัด ชาวบ้านเข้านอนกันแล้ว หวังทงนอนอยู่บนหลังคาหลับตาพักสักครู่ รอบด้านเงียบๆ อยู่ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว รอบโรงเตี๊ยมมีเสียงนกร้อง ราวกับว่าถูกสิ่งใดทำให้ตกใจ
หวังทงพลิกตัวปีนลงจากหลังคา เสียงนกเป็นเสียงจากพลธนูที่แอบซ่อนอยู่ เป็นเสียงส่งสัญญาณ
คนที่มาไม่คิดปิดบังร่องรอยตนเอง เดิมหมู่บ้านที่มืดแล้วก็เริ่มมีไฟส่องสว่างมา มีคนตะโกนดังว่า
“เจ้ามังกรมา ราษฎร์หลบไป!”
ราษฎรในหมู่บ้านรู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร รอบด้านเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ลานหน้าโรงเตี๊ยมเริ่มเคลื่อนไหว บรรดาทหารติดตามอารักขาเริ่มจัดแถว
“ส่งสัญญาณ ลงมือได้!”
หวังทงหันไปบอกเฉินต้าเหอข้างๆ เฉินต้าเหอพยักหน้า ควักเอาลูกธนูหนึ่งจากซองหนังบรรจุลูกธนู ยิงขึ้นท้องฟ้า
เสียงแหวกอากาศดังบนฟ้า ไฟที่สว่างบนเส้นทางรอบด้านก็เริ่มอลหม่าน พลธนูตามต้นไม้รอบโรงเตี๊ยมเริ่มลงมือยิง
“บนต้นไม้มีคน!!” “ทางหลังคานั้นมีคน!!”
พวกนั้นใช้สำเนียงพูดถิ่นใต้ส่งเสียงร้องตกใจกับการลอบซุ่มโจมตีครั้งนี้ ไม่นานก็มีคนส่งเสียงร้องดังเจ็บปวดล้มลง หากเสียงธนูยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“พลธนูไม่มาก คนมีดาบนำหน้าออกไป!!”
เสียงร้องดังเจ็บปวดกับเสียงร้องตกใจ กับเสียงตะโกนท่ามกลางฝูงคน ไล่ต้อนโจรให้ขึ้นหน้า พลธนูน้าวธนูยิงไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจจะคงประสิทธิภาพเช่นนี้ได้นานนัก พอได้ยินเสียงธนูยิงประปรายลง พวกโจรก็ค่อยๆ บุกขึ้นมาอีก
พลธนูโดดลงจากที่ซ่อนตัว เริ่มวิ่งกลับไปโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว การยิงธนูทำให้มีระยะห่างจากโจรพอสมควร พวกเขาห่างจากโรงเตี๊ยมไม่ไกล สามารถวิ่งกลับไปได้อย่างปลอดภัย
“เจ้าโจรกลุ่มนี้มียุทธวิธีอยู่บ้างเหมือนกัน ลอบโจมตีกลางคืน ถึงกับยังรับมือได้!”
หวังทงบนหลังคายิ้มกล่าว ตามด้วยหันไปทางลานด้านหน้าตะโกนขึ้นว่า
“ปืนไฟออกไปจัดแถวยิงสองรอบ จากนั้นกลับเข้ามารักษาการต่อ พลธนูที่ยังมีแรงแขนขึ้นหลังคาไป!”
ลูกน้องรับคำพร้อมเพรียง รอบๆ โรงเตี๊ยมค่อยๆ สว่างขึ้น โจรที่ถือคบไฟค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามา เสียงเคลื่อนไหวของหนักด้านล่าง มีคนตะโกนขึ้นว่า
“พลธนูถอยก่อน พวกเราออกไปก่อน!”
มองมาอีกทาง พลปืนไฟ 20 คนวิ่งออกไป ค่อยๆ เรียงแถว จากนั้นก็สิบคนหนึ่งแถวเดินก้าวขึ้นหน้า
โจรที่ล้อมอยู่พากันอึ้งทันที ตนเองมีคนหลายร้อย เมื่อครู่ที่ธนูยิงมาตายไปสิบกว่า บาดเจ็บ20-30คน ไม่ระคายเคืองอันใด เหตุใดแค่ 20 ยังกล้าออกมาอีก เป็นความกล้าหาญหรือว่าสมองพังไปแล้วกันแน่
ยังไม่ทันได้งง ก็เห็นราว 20-30 ก้าวห่างออกไป ทหารในชุดเกราะหยุดแล้ว ค่อยๆ จัดระเบียบ………..เสียงปืนดัง ปัง ปัง ปัง โจรด้านหน้าหงายหลังตึง ถูกยิงหงายนี้เรียกว่าตายแน่นอน คนรอบๆ พากันหันหลังวิ่งหนีทันที เพิ่งจะรวมตัวกันได้ก็ต้องชุลมุนหนีตายอีกครา
เมื่อเป็นเช่นนี้ พลปืนไฟ 20 กว่าที่วิ่งออกไปก็มีเวลาบรรจุกระสุนปืนใหม่อีกรอบ ก้าวขึ้นหน้าไปอีกสิบก้าว ยกปืนเล็ง ยิงอีกระลอก
“ไม่อาจต้านทานได้แล้ว มารดามันสิ มีปืนไฟด้วย!”
มีคนส่งเสียงร้องตกใจ ทิศทางที่พลปืนไฟเล็งไป โจรหนีกันกระจัดกระจาย ยิงระลอกสองไป พลปืนไฟก็ไม่สู้ต่อ หากหันหลังวิ่งถอยกลับโรงเตี๊ยม บรรดาทหารติดตามอารักขาเตรียมพร้อมอุดประตูใหญ่ไว้ด้วยของที่เตรียมไว้ก่อนหน้า หวังทงเงียบอยู่นั้นก็หันไปทางทุกคนตะโกนขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งปิดประตู ยังต้องออกไปอีก หานกัง เจ้านำคน 20 ออกไปทางประตูหน้า สังหารเปิดทางไป 100 ก้าว ไม่ว่าศัตรูเป็นอย่างไร ก็ต้องถอย!”
หานกังรับคำสั่งเสียงดัง กองเล็กๆ จัดกองได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว มีกองทหารหนึ่งวิ่งออกไป
ปืนไฟดังจบ พวกโจรยังตกใจไม่หาย แต่พอเห็นกองทหารออกมาจากโรงเตี๊ยม เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่ทหารชุดเกราะก็แลดูน่าตกใจพอแล้ว ห่อตัวราวกับหนังเหล็ก ดูอาวุธที่ถืออีกที ล้วนเป็นทวนยาวดาบใหญ่ ดูอีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง เหมือนตนจะไม่ได้เปรียบอันใด
ทหารชุดเกราะ 20 วิ่งมาพร้อมเพรียง เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงฝีเท้าย่ำพื้น แม้ว่าคนน้อย แต่ก็สร้างความข่มขวัญไม่น้อย โจรตรงข้ามอดไม่ได้ถอยหลังไปหลายก้าว พวกเขาคิดหนี แต่หัวหน้าด้านหลังกลับไม่ยอม ยังคงผลักดันอย่างหนักหน่วง มีคนตะโกนดังอยู่ตรงนั้น
ในที่สุด คนมาก็สร้างความกล้าได้อีกครั้ง ยังมีกฎระเบียบทหารบังคับไว้ ในที่สุดทุกคนก็ก้าวขึ้นหน้ามาอีก เห็นด้านหน้าลิบๆ สองฝ่ายก็ส่งเสียงร้องดังก่อนจะสะบัดดาบและทวนยาวเข้าปะทะกัน เสียงร้องดังเจ็บปวดตามมาทันที
พวกโจรได้สติอย่างรวดเร็ว เสียงร้องดังเจ็บปวดมีแต่ฝั่งตน ทหารกลุ่มนี้เข้มแข็งมาก แต่คิดจะถอยก็กลับไม่ง่าย หานกังนำทหารเข้าประชิดศัตรูแล้ว
“ถานต้าหู่ เจ้าเตรียมคนไว้ 20 เปลี่ยนกับหานกัง!!”
หวังทงยิ้มสั่งการ