องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 867 ถล่มตระกูลสวีทีเดียวจบ
ตระกูลสวีใหญ่เช่นนี้ คนงานก็มาก ผู้คุ้มกันมีความสามารถคุ้มครองจวนได้ก็ไม่น้อย พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากตระกูลสวี ยามนี้พวกเขาต้องทำงานเคร่งครัด เพราะนายพวกเขายามนี้อยู่กันที่นี่
แต่ทว่าความกล้าหาญทั้งหมดมลายหายไปตั้งแต่เสียงปืนใหญ่ดัง มีการต่อสู้ประปราย แต่พวกผู้คุ้มกันกลับพบว่าโจรที่มาไม่ใช่พวกธรรมดา สู้กันตัวต่อตัว ไม่ว่าฝีมือหรืออาวุธก็ล้วนไม่ด้อย พวกที่ต่อต้านจึงถูกปราบอย่างรวดเร็ว
ในจวนยามค่ำคืนได้ยินสังหาร สวีพานกับภรรยาทุกคนเริ่มแรกยังไม่ทันตั้งตัวได้ ตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่ระดับใด ขุนนางท้องที่แค่ระดับใด จะมีคนบุกเข้ามาได้อย่างไร
พอได้สติ ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เห็นชายฉกรรจ์ 10 กว่าคนบุกเข้ามาในห้อง สวีพานส่งเสียงแหกปากร้องไห้ต่อหน้าบรรดาภรรยาหลวงและน้อยอยู่กับพื้น ตัวสั่นกล่าวว่า
“ข้าเป็นถึงนายกอง บิดาข้าเป็นมหาอำมาตย์……”
ไม่มีผู้ใดจะสนใจชื่อที่เอ่ยออกมา มีเพียงคนหนึ่งเข้าไปฟันทิ้งทันที
***********
ซาตงหนิงไม่ได้เข้าร่วมการปล้นสังหารครั้งนี้ เขาเพียงแค่ยืนรออยู่ด้านนอก ชายสิบกว่าคนยืนอยู่ด้านหลังเขา เริ่มอยากเคลื่อนไหว ซาตงหนิงหันไปกวาดตามอง กล่าวว่า
“พวกเจ้าอยู่เทียนจินล้วนมีกิจการ มีครอบครัว เงินทองกำไรไม่น้อย เรื่องเช่นนี้อย่าเข้าร่วมดีกว่า จะได้ไม่ทำให้จิตใจแปดเปื้อน”
“นายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง พวกข้าน้อยก็แค่คันมือ”
ซาตงหนิงไม่เหมือนคนอื่น อายุ 12 เกิดเหตุวุ่นวายที่ผิงฮู่ ซาตงหนิงก็ถือดาบออกไปฟันทิ้งไปสิบกว่าคนร่วมกับอาจารย์เขา มีชื่อเสียงมาก
“มีสองสามคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกประเทศวัว มีชื่อในรายชื่อทางการต้องการตัว เดี๋ยวตอนลงมือ ก็ส่งเข้าไป !”
ซาตงหนิงกล่าวเบาๆ มีคนข้างๆ รับคำ ทางประตูมีคนยกของออกมา มาถึงตรงหน้าก็ทิ้งลงที่พื้น คำรามกล่าวว่า
“นี่คือหัวของสวีพาน”
เห็นหัวที่พื้นยังมีสีหน้าตกใจบิดเบี้ยว ซาตงหนิงหันไปทางเมี่ยวลั่ง เมี่ยวลั่งพยักหน้า ซาตงหนิงไม่กล่าวอันใด เมี่ยวลั่งกลับเสียงดังกล่าวว่า
“ให้เวลาอีกหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นทางการก็จะมาแล้ว!!”
**************
ตระกูลสวีเมืองซงเจียงกลางดึกถูกโจรเข้าปล้น บาดเจ็บล้มตายมาก ทุกคนชายและหญิงในตระกูลบ้านพี่ชายใหญ่อย่างสวีพานกับบ้านน้องชายรองและบ้านน้องชายสามตายหมด ที่เหลือตายเป็นส่วนมาก บาดเจ็บเป็นส่วนน้อย
ตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงแดนใต้ถูกถล่ม แดนใต้สั่นสะเทือน เมืองหลวงก็สั่นสะเทือน เมืองหลวงย่อมส่งคนไปตรวจสอบ ก่อนหน้านี้ ได้ส่งคนไปหนานจิงกับเมืองซงเจียงแล้วก็เร่งมาตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่ม
ที่เกิดเหตุไม่ได้มีหลักฐานอันใดนัก แต่มีศพโจรสองสามศพกองอยู่ ศพพวกนี้ไม่ได้มีใบหน้าไม่คุ้นเคย มีคนจำได้ว่า ล้วนเป็นพวกคนชั่วขึ้นชื่อ เป็นโจรสลัดวัวโค่วที่ทางการต้องการตัว ถึงกับเป็นพวกนี้ก่อคดี โจรสลัดในแถบเจ้อเจียงหมิ่นหนานมีมาก เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี
มีหลักฐานเช่นนี้ชี้นำ ย่อมโยงใยไปถึงโจรสลัดที่คิดประสงค์ทรัพย์ ทว่าหลังเกิดคดีวันที่สาม ข่าวทางการกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวบ้านก็เริ่มเปลี่ยนประเด็นไป
ตระกูลสวีรุกครองที่ดินผู้อื่นสร้างกรรมชั่วไว้มากถูกเปิดโปง พระวัดผู้หยวนเมืองฉางโจวถูกสอบ ข่าวมากมายล้วนมุ่งไปยังตระกูลสวี คนทางการปิดบังไว้ ครั้งนี้ไม่มีอันใดต้องปิดบัง ตระกูลสวีสมคบคิดกับโจร ยืมมือโจรก่อกรรมทำชั่ว
นอกจากเรื่องนี้ยังมีข่าวมาจากในหมู่ชาวบ้านอีกว่า เพราะตระกูลสวีแบ่งสรรปันส่วนกับโจร สองฝ่ายไม่ลงตัว ตระกูลสวีฮุบไปก้อนโต ทำให้พวกโจรสลัดโกรธมาก จึงได้ก่อการครั้งนี้
ตระกูลสวีอยู่กลางเมืองเมืองซงเจียง ถึงกับกลางดึกมีโจรสลัดบุกเข้ามา ทหารในพื้นที่ย่อมต้องรับผิดชอบ ทหารก็แค่บอกว่าโจรอิทธิพลมาก กำลังหาทางอยู่ คิดไม่ถึงว่าโจรจะไปมารวดเร็วไร้ร่องรอย
คดีนี้ทั่วแดนใต้รู้กัน ที่ยิ่งทำให้คนอ้าปากค้างก็คือ สุสานอำมาตย์สวีเจี้ยถูกขุด การถูกขุดสุสานนับว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง
แม้ทุกคนจะด่าว่าไร้มนุษยธรรม แต่ก็คิดได้เรื่องหนึ่ง สวีเจี้ยล้มเหยียนซง ได้ชื่อ ‘ขุนนางภักดี’ เหตุใดพอตายไปไม่กล้าฝังที่บ้านเกิดตน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่แล้วยังมาถูกขุดได้
ตอนนั้นเหยียนซงได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมชั่วร้าย ถูกปลดจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดในตอนนั้น บ้านเกิดเขาที่เจียงซีไม่ได้มีวาจาไม่ดีต่อเหยียนซงอันใด แต่เหตุใดสวีเจี้ยที่บ้านเกิดจึงได้ล่วงเกินคนมากมาย ถึงกับมีคนไปขุดสุสานเอาได้
เรื่องพวกนี้เป็นจุดเริ่ม พอฝาขวดเปิดออก ตระกูลสวีถูกล้างตระกูล เรื่องเก่าหลายเรื่องก็ถูกเปิดเผยออกมา เช่นว่าตระกูลสวีตอนนั้นฮุบที่ดิน เช่นว่าเจ้าของที่ที่ถูกฮุบที่ดินไป เคยไปร้องทุกข์กับไห่รุ่ย สุดท้ายก็หายไปไร้ร่องรอยยกครัว
ถึงกับแม้เงินที่ตระกูลสวีมอบให้ไต้เฟิ่งเสียนสามหมื่นตำลึงทองก็ถูกตรวจสอบพบ ทว่าตอนนี้จึงได้รู้ว่า ไต้เฟิ่งเสียนที่มาหาสู่กับตระกูลสวีหายไปทั้งครอบครัวอย่างไร้ร่องรอย วันนั้นได้ยินเพียงว่าเขากลับไปเยี่ยมญาติ
ข่าวจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าเท็จหรือจริงก็ค่อยๆ แพร่กระจาย ยิ่งแพร่กระจายมาก ชื่อเสียงหน้าตาตระกูลสวีก็ยิ่งแย่ มีขุนนางบัณฑิตหนานจิงยื่นฎีกา ขอให้ราชสำนักตรวจสอบตระกูลสวีจริงจัง ชาวแดนใต้ยังมีคนแต่งกลอนสัมผัสว่า มีคนเป็นอำมาตย์จึงสามารถมีของผิดกฎหมายและสังหารคนอื่นได้ สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออกกลับต่างกัน ต่างๆ นานา
คนที่แพร่ข่าวนี้ไม่แน่ว่าเป็นคนรักคุณธรรมอันใด ตระกูลสวีล่มสลาย สมบัติพวกเขาก็ย่อมถูกชิงเอาไปหมด แต่ที่นาหลานแสนในเมืองซงเจียงจะทำเช่นไร ร้านค้าที่มีทั่วแดนใต้ ร้านค้าผ้าโรงทอผ้าเหล่านั้นอีกเล่า สมบัติกองท่วมฟ้าเพียงนี้ตอนนี้ไร้เจ้าจอง ผู้ใดไม่อยากจะแบ่งไปกินบ้างเล่า
ที่ต้องทำตอนนี้ก็คือจัดการชื่อเสียงตระกูลสวีให้ฉาวโฉ่ ไม่ให้ญาติห่างๆตระกูลสวีคิดมารับสมบัติต่อได้ ทุกคนก็จะได้แบ่งปันเนื้อก้อนโตนี้ด้วยกัน
ร้านสามธาราที่หนานจิง ที่เมืองซูโจว ที่เมืองซงเจียงได้ขอยืมจากร้านค้าด้วยกันและเริ่มขายสินค้าในมือราคาถูก รวบรวมเงินก้อนโต และเริ่มซื้อที่นาและร้านค้าตระกูลสวีไว้ ต้องรู้ว่ากิจการไม่น้อยภายนอกไม่ใช่ของตระกูลสวี แต่ตระกูลสวีล่มสลายลง พวกเขาก็กลายเป็นเจ้าของไปโดยปริยาย
*************
ตอนหานกังแจ้งข่าวนี้หวังทง หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กลับเป็นทหารติดตามที่มีสีหน้าสะใจ หวังทงเพียงพยักหน้ากล่าวว่า
“ที่นาร้านค้าตระกูลสวีมากมาย กิจการผ้าเมืองซงเจียงก็มีกองราวภูเขาทองทะเลเงิน เขียนจดหมายไปเทียนจิน ให้ร้านสามธารารวมกำลังคนไปดู บางทีอาจได้อะไร เขียนแค่นี้ เขียนเสร็จก็รีบนำไปส่ง!”
มีคนรับคำรีบวิ่งออกไป หวังทงกล่าวกับหานกังว่า
“เจ้าตอนนี้ม้าเร็วไปเมืองหลวง นำจดหมายข้าไปมอบให้ท่านหยาง จดหมายบอกไว้ละเอียดแล้ว ต้องจัดการหลี่จื๋อให้รับโทษให้ได้ ให้เขาชื่อเสียงย่อยยับ ไม่อาจเป็นที่ใช้งานได้อีก!!”
ไม่ค่อยได้เห็นหวังทงกล่าวแบบตอกฝาโลงเช่นนี้ ทว่าหลี่จื๋อทำให้หวังทงลงใต้ต้องประสบเหตุต่างๆ อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง หานกังก็พอเข้าใจ จึงได้คำนับแบบทหารและรับจดหมายหวังทงไป รีบไปทันที
หวังทงกล่าวเรื่องนี้จบก็นั่งลงบนเก้าอี้จิบชา สั่งอีกว่า
“พวกเจ้าแจ้งความลงไป ระยะนี้หากขุนนางท้องที่หรือราชสำนักมา ต้องการแจ้งข่าวก่อน บอกกับคนนอกไปว่าข้าสุขภาพยังไม่แข็งแรงดี อ่อนแอยิ่ง”
ลูกน้องรับคำทันที เมืองหลินชิงห่างจากเมืองหลวงและเทียนจินไม่ไกล ข่าวไปมาสะดวกมาก หวังทงอยู่ที่นี่ก็สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวและข่าวคราวจากในเมืองหลวงและเทียนจินได้ตลอดเวลา
ข่าวจากกู่จื้อปินร้านสามธารามาว่า พ่อค้าเมืองเหลียวโจวคิดจะไม่ซื้อของจากร้านสามธาราเทียนจิน ทว่าสินค้าเทียนจินส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านร้านสามธารา มีหลายร้านแม้ว่าไม่ได้ชื่อสามธารา แต่ที่จริงแล้วก็อยู่ในเครือข่าย เมืองเหลียวโจวแม้คิดจะไม่ซื้อก็ไม่ง่ายขนาดนั้น
กู่จื้อปินเอ่ยไปอย่างนั้น บอกอีกว่าชาวเกาหลีเริ่มมีพ่อค้ามาเทียนจิน คนพวกนี้มาขายสินค้าพื้นเมืองเกาหลี ก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าพวกเขาอยากซื้อของกลับไปนั้นน่าสนุกยิ่ง สนใจซื้ออาวุธและชุดเกราะจากโรงช่างสามธารา ยอมจ่ายราคาสูงมาก
สินค้าจากเกาหลีเช่นพวกหนังเสือเตียว ของป่า หรือกระดาษ ร้านสามธารารับซื้อราคาต่ำ แล้วค่อยขายอาวุธให้พวกเขาราคาสูงมาก กำไรย่อมน่าตกใจ หวังทงเดิมสั่งไว้ อาวุธโรงช่างไม่ขายให้คนนอกแผ่นดินหมิง แต่เพราะทำกำไรสูง ดังนั้นจึงลองมาถามดู
“ไม่ขาย คนเช่นนี้ต้องจับตาดูไว้ด้วย!”
หวังทงให้คำตอบง่ายๆ การค้าอาวุธ ขายให้ในแผ่นดินกับนอกแผ่นดินนั้นย่อมต่างกัน คนเกาหลีมาเส้นทางบกก็เป็นเรื่องปกติ แต่ผู้ใดล้วนรู้ว่ามาเส้นทางเรือนั้นเร็วที่สุด แต่คนเกาหลีกลับเอาแต่เดินทางบกไปเมืองเหลียวโจวอันเป็นที่ตั้งฐานทหารหมิง เรื่องนี้จัดการดูแล้วยาก ที่จริงแล้วมีความนัยอยู่
อยู่ๆ บนท้องทะเลมีพ่อค้าเกาหลีมาซื้อาวุธ เกาหลีทางนั้นไม่ขาดแคลนเหล็ก และไม่ขาดแคลนอาวุธ ผีเท่านั้นที่รู้ว่าต้องการอะไร
**************
“น้องรั่วไห่ เจ้าว่า นายท่านอายุเท่าไรกัน!”
เทียบกับด้านนอกที่วุ่นวายแล้ว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยสองนางว่างกว่ามาก แม้ว่าในสายตาคนนอก พวกนางสองคนได้กลายเป็น ‘ผลพลอยได้’ ของหวังทงจากการลงใต้ครานี้ เป็นนางคณิกาสองนางเรือนหลังของหวังทง
ยามว่าง สตรีมักจะคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข่งรั่วเหมยอารมณ์ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่เป็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์พูดคนเดียว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ช่วยข่งรั่วเหมยไว้มาก ให้คำแนะนำไม่น้อย ข่งรั่วเหมยแม้อารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ ตอบว่า
“นายท่านปีนี้ 22 พี่น่าจะรู้นี่!”
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า กลับกระซิบเบาๆ ว่า
“โตกว่าพวกเราไม่เท่าไร แต่เหมือนแก่เท่าเฉิงหย่งป๋อ เหมือนคนอายุ 40-50 ……”
นางพูดเพื่อทำให้ข่งรั่วเหมยขำ ทว่าข่งรั่วเหมยเพียงแค่ยิ้ม สีหน้ายังคงเรียบเฉย ยามนี้กลับได้ยินด้านนอกมีคนเคาะหน้าต่าง กล่าวว่า
“ท่านโหวให้ข้าน้อยมาแจ้งแม่นางหลู ตระกูลสวีเมืองซงเจียงถูกโจรสลัดปล้น ตายยกจวน”
“สมน้ำหน้า!”
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สบถใส่เบาๆ คิดจะดูสีหน้าข่งรั่วเหมย กลับเห็นข่งรั่วเหมยนิ่งค้าง น้ำตานอง