องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 871 ซ่อนอาหารใต้กระโปรง
แม้ว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ติดตามหวังทงได้ไม่ถึงสองเดือน แต่นางก็ยังคงไม่เชื่อว่าวาจานี้มาจากปากของหวังทง ตามหลักแล้วอายุเช่นหวังทงย่อมกำลังหนุ่มกำลังแน่น ความงามระดับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่แตะต้อง
ทว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์พบว่า หวังทงไม่สนใจนางมากไปกว่าข่งรั่วเหมย ทุกวันเอาแต่ทำงาน ดังนั้นจึงบอกว่าเหมือนชายแก่อายุ 50
คนเช่นนี้ กลางคืนอยู่ ๆ กล่าวเช่นนี้ นับว่าเผยธาตุแท้แล้วหรือนี่?
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์อายก็ส่วนอาย แต่ชาติกำเนิดอย่างไรก็มาจากแม่น้ำฉินไหวเหอ เห็นอะไรมามาก รู้ว่าขุนนางชนชั้นสูงมักจะชอบไม่เหมือนคนทั่วไป จะว่าไป ตอนนี้หวังทงเก็บไว้เป็นอนุ การขอเช่นนี้ก็มิได้เกินไปอันใด
ในห้องนอนมีความสุขอย่างไรนั้นมีความหลากหลาย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คิดไปร้อยแปด ในเวลาสั้น ๆ สีหน้าแดงก่ำ สองตาส่องประกาย สองมือค่อยๆ เลิกกระโปรงขึ้น
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เคลื่อนไหวช้าๆ ค่อยๆ เลิกขึ้นทีละนิด เป็นวิธีการล่อลวงใจบุรุษอย่างหนึ่ง ทว่ายามนี้เทียนจินอากาศหนาว ใต้กระโปรงย่อมไม่ใช่กางเกงตัวบาง ผ้าฝ้ายจะบางเบาอย่างไรก็ย่อมมีความหนา คงไม่ได้งามดึงดูดใจสักเท่าไร
แต่หวังทงกลับจ้องมองอย่างตั้งใจ พอเลิกกระโปรงได้ระดับ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์แม้รู้ว่าอย่างไรต้องมีวันนี้ หากในใจก็เริ่มเต้นโครมครามเคร่งเครียดไม่น้อย ลมหายใจหนักเริ่มถี่ รอคอยเวลาที่จะมาถึง……
“พอ ปล่อยลงได้!”
ในตอนนั้นเอง หวังทงอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ ทำเอาไจ๋ซิ่วเอ๋อร์อึ้งไปก่อนได้สติ อารมณ์เมื่อครู่วับหายไปในพริบตา เหลือไว้แต่ความแปลกใจ
พอปล่อยกระโปรงลง หวังทงก็จ้องมองกระโปรงครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าถามขึ้น
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
สบตากับหวังทง เห็นสายตาหวังทงไม่ได้มีความรู้สึกพิศวาส ใด ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์จึงได้รู้ว่าตนเข้าใจผิดไป ถูกหวังทงถามเช่นนี้ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สะกดเก็บสีหน้า นิ่งคิดพักหนึ่ง ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยวันๆ อยู่แต่ที่นั่น ทุกวันก็เห็นแต่ห้องเหลี่ยมๆ ที่จริงแล้วก็เบื่อมาก ไม่รู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใด…….หากให้กล่าวว่าต้องการสิ่งใดตอนนี้ ได้ออกจากกรงทองมาก็คิดจะไปดูให้ทั่ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ ก็อยากจะไปทุกที่ หากไม่ได้ ก็รู้สึกไม่ได้ดังใจหวัง”
“หญิงในโลกนี้ ความคิดเช่นเจ้าคาดว่าไม่มาก เรื่องนี้ง่ายมาก ติดตามข้า เจ้าก็จะได้ไปเหนือใต้ทั่วหล้า”
หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวจบ ก็เสียงดังขึ้นว่า
“ด้านนอกถอยออกไป”
ได้ยินด้านนอกรับคำ ครู่หนึ่งผ่านไป ด้านนอกก็มีคนตะโกนบอก หวังทงชะโงกเข้าใกล้กล่าวกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่รู้สึกแปลกใจว่า
“มีเรื่องหนึ่งข้าอยากให้เจ้าช่วย”
*****************
หวังทงมาถึงเทียนจินแล้ว ทางเมืองหลวงส่งคนมาสอบถามแล้วก็หยุดไป เพราะระยะทางเมืองหลวงไปเทียนจินแค่สองสามวันเดินทาง อีกไม่กี่วันหวังทงก็ถึงเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทย่อมทรงเรียกเข้าเฝ้า
จากรายงานคนที่ส่งไปสอบถามนั้น เห็นว่าสุขภาพหวังทงฟื้นตัวเร็วมาก เดาว่าพอถึงเมืองหลวงคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงตอนนั้นอาจยังอะไรไม่ดีนัก ก็ให้หมอหลวงในวังกับหมอดังในเมืองรักษาได้ ยาก็ไม่ขาดแคลน น่าจะใช้ยาขจัดพิษได้อย่างเร็ว
ที่คิดไม่ถึงก็คือ หวังทงอยู่เทียนจินได้สองวัน อยู่ ๆ ก็สุขภาพอ่อนแอลง หมอมาตรวจแล้วก็ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร กล่าวแต่ว่ารากของอาการเก่ายังคงอยู่ ยังต้องพักรักษาตัว
แม้ว่าพระสนมเอกเจิ้งใกล้มีพระประสูติการแล้ว แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังใส่พระทัยหวังทง หมอหลวงหลายคนก็นั่งรถม้ามายังเทียนจินดูอาการให้หวังทง
ไม่เพียงแต่เมืองหลวง แม้แต่คนสนิทที่เทียนจินของหวังทงเองก็ร้อนใจ ไปหาหมอดังจากซานตงและเขตปกครองเหนือ หมอดังหลายคนได้ข้อสรุปไม่แตกต่างกันนัก เป็นความอ่อนแอหลังจากบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัวให้ดี
มีคนสังเกตว่าหวังทงไม่สนใจการงานราชการ เรื่องต่าง ๆ ไม่ทำแล้ว ทุกวันเอาแต่อยู่ในห้อง อาหารสามมื้อก็ให้อนุอย่างไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ยกเข้าไป ตอนเข้ากับบ่ายให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยประคองออกไปเดิน สุขภาพอ่อนแอยิ่ง
ไม่รู้สาเหตุ เพราะอาหารทุกวันสามมื้อก็กิน แต่ถึงกับผอมเช่นนี้ได้ สุขภาพอ่อนแอเช่นนี้ ร่างกายน่าจะมีปัญหาใหญ่แล้ว
หมอตรวจแล้วให้ตำรับยามา ล้วนเพื่อเร่งเนื้อให้คนผอมมีเนื้อหนังขึ้น พอส่งเข้าจวนมา ไม่ว่ากี่วันผ่านไป ร่างกายก็ยังไม่เห็นดีขึ้น
ทางเมืองหลวง พระสนมเอกเจิ้งใกล้มีพระประสูติการ ทุกคนเริ่มหันไปสนใจทางนั้น ไม่สนใจเรื่องหวังทงเท่าไร ไม่ว่าอย่างไร บรรดาหมอก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่มีผลอันใดถึงแก่ชีวิต
ว่ากันว่าทางเมืองหลวง ฮูหยินติ้งเป่ยโหวกับภรรยารองอีกสองล้วนต่างอยากมาเยี่ยม แต่ถูกหวังทงห้ามไว้ ตอนนี้คนปรนนิบัติข้างกายมีแค่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยสองคน
แต่ว่ากันตามหลักแล้ว สองนางนี้ก็เป็นเหมือนนายหญิง อย่างไรก็ย่อมไม่ให้พวกนางทำงานใช้แรงงงาน กู่จื้อปินร้านสามธาราออกหน้า ซื้อสาวใช้มาให้ พอมาถึงก็ได้รับคำสั่งให้ทำตามคำสั่งไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมย
จากรูปการณ์นี้ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยแม้รักกันดังพี่น้อง หากพี่น้องแท้ๆ ก็มีความแก่งแย่งกันอยู่บ้าง
คนรอบข้างก็ย่อมสังเกตเรื่องนี้ แต่คนรับใช้ที่มาใหม่กลับสังเกตเรื่องอื่นด้วย พวกนางกับนายหญิงรุ่งก็รุ่งด้วยกัน พังก็พังด้วยกัน จึงต้องใส่ใจในเรื่องนี้
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยทั้งสองนาง หน้าตาท่าทางไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ดีกว่าข่งรั่วเหมยมาก ตอนนี้ปรนนิบัติหวังทงก็เป็นนาง ความใกล้ชิดให้กับผู้ใดก็ย่อมกระจ่าง
วันที่ 27 เดือนสิบ ตอนกลางวัน สาวใช้ข่งรั่วเหมยมองเห็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ออกมาจากห้องหวังทง ค่อยๆ เดินไปห้องตนเอง พากันวิพากษ์วิจารณ์
“ได้ยินว่าฮูหยินไจ๋ ตอนนั้นเป็นนางคณิกาแดนใต้ เจ้าดูนางวางท่าทางสิ หากไม่รู้ ยังคิดว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่นะเนี่ย”
“ใช่ๆ ชาติกำเนิดเช่นนั้น ไหนเลยจะเทียบกับฮูหยินเราได้ เจ้าดูนางสิ วันๆ เอาแต่ส่งสายตาล่อลวง ส่งอาหารเข้าไปก็ทำเป็นเดินนวยนาดออกมา ไม่รู้ว่าจะล่อลวงผู้ใด เชอะ!”
“ดูนางจะได้ใจได้กี่วัน นายท่านมีภรรยาเมืองหลวงอีกสามคน ฮูหยินทั้งสามจะไปตอแยด้วยได้อย่างไร ถึงตอนนั้นเจ้านางจิ้งจอกนี้คงสิ้นท่าเอง!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ รีบไปทำงานตัวเองไป!!”
ขณะวิพากษ์วิจารณ์ออกรสกันอยู่ ไม่ทันสังเกตว่าประตูห้องด้านหลังเปิดแง้มไว้ เผยสีหน้าบึ้งตึงข่งรั่วเหมย ตำหนิดัง สาวใช้ปากมากก็รีบเงียบกริบทันที
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เองก็ก้าวเดินนวยนาดเกินไปอยู่ ดูแล้วท่าทางอ้อนแอ้นมาก น่าดึงดูดจริง ทว่าท่าทางเหมือนช้าไปสักหน่อย ให้คนเห็นเข้าก็คงรู้สึกแปลก อยู่ในเรือนส่วนตัว นอกจากในห้องหวังทงแล้ว ด้านนอกก็มีแต่สตรี เจ้าอยู่ในห้องล่อลวงก็แล้วไป ออกมาข้างนอกแล้วทำให้ใครดูกัน
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ผลักประตู เดินเข้าในห้องตนเอง พอปิดประตู ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์จึงได้ถอนหายใจยาว เลิกกระโปรงขึ้น หว่างขามีถุงหนังอยู่ แขวนถุงหนังไว้เช่นนี้ จะเดินเร็วก็คงยาก ได้แต่ค่อยๆ ทำทางเยื้องย่างอรชร
ในถุงหนังนั้นบรรจุอาหารที่ยกเข้าไปในห้องหวังทง ทุกวันหวังทงให้คนนอกเห็นว่ากินอาหารสามมื้อไปไม่น้อย แต่ร่างกายกลับผ่ายผอมลง ให้คนนอกดูว่าเป็นปัญหาสุขภาพจริง ไม่ใช่แกล้งทำ แม้หมอดังจะมาตรวจก็คงได้ข้อสรุปเช่นนี้
หวังทงป่วยจริงป่วยปลอม ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรจับตาดูอยู่ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังสักหน่อย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ทุกครั้งที่ยกอาหารเข้าไปให้หวังทงก็จะเก็บออกมา จากนั้นก็กินหมด เทียบกันแล้ว ทุกครั้งอาหารที่ส่งให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ นางไม่ค่อยได้กิน เอาแต่เลือกกินตินั่นนี่ ทำเอาภาพนางในสายตาคนในจวนนั้นไม่ดี ถึงกับมีคนไปบอกหวังทง ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กินน้อย แต่กลับอ้วนท้วนขึ้นเล็กน้อย
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าหวังทงทำเช่นนี้เพื่ออะไร นางแค่รู้สึกสนุกไปด้วยหากทำเช่นนี้ เดิมคิดว่าติดตามหวังทงแล้วก็คงได้แต่เก็บตัวในจวน คิดไม่ถึงว่ากลับมีลูกเล่นให้สนุกเช่นนี้ น่าสนุกจริงๆ นางอยู่ในห้องค่อยกินข้าวและคิดไป ทุกครั้งอดหัวเราะไม่ได้ การมีความลับกับคนหนึ่ง แล้วต้องรักษาความลับไว้นั้นสนุกจริงๆ
ทางนี้กำลังหัวเราะ ก็ได้ยินข้างนอกมีคนเคาะประตู ได้ยินเสียงฝีเท้า เป็นสาวใช้พากันเข้ามาหลบในห้อง
นี่เป็นกฎหวังทงตั้งขึ้นพิเศษ ร่างกายอ่อนแอไม่ออกไปรับแขก หากมีรายงานเรื่องสำคัญ ให้เคาะกลองด้านนอก หญิงด้านในให้หลบเข้าห้อง คนนอกจึงเข้ามาได้
***************
“ผู้บัญชาการ พระสนมเอกเจิ้งหลายวันก่อนประสูติพระโอรสมังกร”
คนมารายงาน หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ร่างกายผ่ายผอมราวท่อนไม้แห้ง ได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า
“ส่งสารไปถวายพระพรด้วย”
“เรียนผู้บัญชาการ ท่านหยางเตรียมไว้แล้ว”
“เมืองหลวง มีปฏิกิริยาอย่างไร?”
“ขุนนางในราชสำนักย่อมถวายสารถวายพระพรไปตามปกติ ทว่าในสำนักสมาคมแต่ละแห่ง ในร้านน้ำชาแต่ละแห่ง ล้วนมาขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น”
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“หากเป็นธิดามังกร ย่อมเงียบสงบ แต่เมื่อเป็นมังกร เกรงว่าคงต้องเกิดเหตุแย่งชิงแล้ว!”
หวังทงกล่าวมานั้น คนที่มารายงานย่อมไม่กล้ากล่าวต่อ หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวอีกว่า
“เจ้าตอนนี้กลับไปเมืองหลวง บอกว่าข้าออกเดินทางแล้ว จะกลับถึงเมืองหลวงแล้ว”
******************
วันที่ 3 เดือนสิบเอ็ดปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเสร็จภารกิจแดนใต้กลับสู่เมืองหลวง เมืองหลวงตอนนี้จับจ้องแต่ข่าวพระประสูติการของพระสนมเอกเจิ้ง หวังทงกลับเมืองหลวงไม่มีผู้ใดสนใจนัก มีแต่พวกหวังทงไปต้อนรับ