องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 872 หวังทงยังคงจงรักภักดี
ออกจากเมืองหลวงไป ก็ไม่ได้ไปอย่างยิ่งใหญ่ ตลอดทางไปทำหน้าที่ผู้แทนพระองค์ประสบเหตุมากมาย เห็นร่างกายหวังทงซูบผอม ผ่ายผอมราวกับท่อนไม้แห้ง ทุกคนล้วนใจไม่ดี
หวังทงเมื่อก่อนกลับเมืองหลวง ในวังย่อมส่งคนมาต้อนรับ แต่ครั้งนี้กลับเงียบกริบ ในสายตาชาวเมืองหลวงที่ไวมากนัก ก็ย่อมสังเกตเห็นได้ทันที
หลังองครักษ์เสื้อแพรตั้งหน่วยงานขึ้นมาสองสามหน่วยงาน ระบบก็ยิ่งชัดเจน การดำเนินการก็ยิ่งดี งานในความรับผิดชอบของหวังทงในเมืองหลวงก็มีแค่นี้ สิ่งที่ต้องรายงานก็ไม่มาก
จวนติ้งเป่ยโหวในเขตอุดรยังสร้างอยู่ แต่ใกล้เสร็จแล้ว ต้นปีหน้าก็น่าจะสามารถเข้าอยู่ได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ที่เดิม
หานเสีย จางหงอิง ซ่งฉานฉาน ภรรยาทั้งสามพอเห็นหวังทง กลับร้องไห้กันระงม ตอนไปราวกับพยัคฆ์มังกร ตอนกลับมากลับท่าทางย่ำแย่เช่นนี้ จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร
หวังทงปลอบใจสองสามคำก็ไม่ได้กล่าวอันใดต่อ เดิมเขากังวลอยู่ว่าภรรยาทั้งสามที่บ้านจะไม่เป็นมิตรกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์และข่งรั่วเหมย อย่างไรอาจต้องเสียเวลาคุยกันอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสองฝ่ายกลับไม่มีความขัดแย้งใด
หรือเพราะสตรียุคนี้เข้าใจดีว่า สถานะหวังทงเช่นนี้ ย่อมไม่อาจมีสตรีแค่หนึ่งนาง ความอิจฉากับความโกรธย่อมไร้ประโยชน์ ไม่สู้ยอมรับ
พอกลับมา ยังคงเป็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ปรนนิบัติ ในเรื่องนี้กลับมีคนคิดมาก นางหม่า แม่หม่าซานเปียวพอรู้เรื่องนี้ก็มาพูดด้วยตนเอง ต่อมาพอรู้ว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เพียงแค่ปรนนิบัติสามเวลาอาหาร ไม่ได้พักอยู่ในห้อง จึงได้ยอมจากไป
พอถึงเมืองหลวงวันที่สอง หยางซือเฉินเลี้ยงต้อนรับแล้ว วันนี้ทั้งวันก็มาคุยเรื่องงาน ล้วนรู้ว่าหวังทงสุขภาพไม่ดี ต้องการพักผ่อน งานต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมารบกวน ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่อาจสนใจอันใดอีกแล้ว
“ใต้เท้าระหว่างทางควรได้ข่าวแล้ว พระสนมเอกเจิ้งประสูติโอรส จูฉางสวิน ตอนนี้กลายเป็นข้อขัดแย้งในเมืองหลวง ฝ่าบาทถึงตอนนี้ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท และพระมารดาโอรสองค์โตก็เป็นเพียงสนมธรรมดา พระมารดาโอรสองค์ใหม่เป็นถึงพระสนมเอก ผู้ใดก็ยังให้ข้อสรุปเรื่องรัชทายาทไม่ได้ในตอนนี้”
หยางซือเฉินกล่าวได้ครึ่งเดียวก็มองสีหน้าหวังทง แม้ว่าอ่อนแรง แต่ก็ยังตั้งใจฟัง กล่าวต่อว่า
“บุตรชายคนโตสืบทอดตำแหน่ง เป็นธรรมเนียมแต่โบราณ แต่ดูท่าฝ่าบาทแล้ว เห็นชัดว่าต้องการแต่งตั้งโอรสองค์ใหม่นี้เป็นรัชทายาท เรื่องเช่นนี้ย่อมก่อเกิดกระแสในวงราชสำนัก ใต้เท้าถวายพระพรยินดีไปก็ควร แต่จากนี้ไป ใต้เท้าคิดทำเช่นไร จะเลือกทางใด ขอให้ตัดสินใจโดยเร็ว จะได้ไม่ปล่อยให้นานไปทำให้เสียการ”
“ฝ่าบาทเลือกอย่างไร ขุนนางอย่างเราก็ย่อมทำตาม”
ได้ยินหวังทงตอบ หยางซือเฉินอึ้งไป ตามมาด้วยส่ายหน้ากล่าวว่า
“ฝ่าบาทต้องการเช่นไร เราขุนนางย่อมทำตาม แต่ทว่าขุนนางบัณฑิตผู้ใดจะยอมรับ เดิมข้าเองยังคิดว่าจะมีพูดกันสองทาง แต่จากรายงานหลายวันนี้ที่มีมา วงการขุนนางล้วนพูดไปในทางเดียวกัน แม้แต่ชนชั้นสูงก็เช่นกัน หากฝ่าบาทไม่ทรงแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท ก็ย่อมเกิดเหตุขัดแย้ง ใต้เท้าไม่เลือกข้าง ก็ย่อมต้องคิดถึงฝ่าบาท ต้องเตรียมการถึงจะถูก”
“เรื่องครอบครัวฝ่าบาท เราเป็นขุนนางอย่าได้ถามให้มาก ฝ่าบาทมีราชโองการมา พวกเราก็ทำตามก็แล้วกัน!”
หวังทงตอบแบบไม่คิดมาก หยางซือเฉินได้แต่อึ้งไป ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เหมือนว่าคิดได้ข้อสรุปอะไรสักอย่าง ถอนหายใจ ประสานมือขอตัว
*************
หลังจากกลับเมืองหลวงมาได้วันหนึ่ง และมีหมอหลวงมาดูอาการแล้ว ก็วินิจฉัยไม่แตกต่าง ในวังพระราชทานยาดีของบำรุงล้ำค่ามาให้มากอยู่ เมื่อก่อนจะพระราชทานสิ่งใด ก็มักจะตกในมือขันที ผ่านหลายระดับไม่น้อย มักจะให้แต่ของไม่ดีนัก แต่ทว่าหวังทงนั้นแตกต่าง
ในวังมีทั้งจางเฉิง โจวอี้และเจ้าจินเลี่ยง ล้วนเป็นขันทีทรงอิทธิพลตอยจับตาดู ผู้ใดจะกล้า ส่งไปที่จวนนั้นย่อมเป็นของชั้นดีอันดับหนึ่งที่สุด
จากการวิเคราะห์ของหวังทงเอง ร่างกายตนเองตอนนี้น่าจะขจัดพิษหมดแล้ว ความอ่อนแอในตอนนี้ก็เพราะทุกวันกินน้อย แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ
วันที่ 6 เดือนสิบเอ็ด เป็นวันที่สามที่หวังทงกลับถึงเมืองหลวง ในวังมีราชโองการให้หวังทงเข้าเฝ้า อย่างไรในวังก็ต้องส่งรถม้ามารับหวังทงเข้าวัง พอเข้าสู่ประตูวังแผ่นดินหมิง ขันทีน้อยหลายคนก็แบกเกี้ยวมารอรับ พระเมตตานี้หาใดเทียบ ทว่ามีคนเห็นไม่มากนัก
หลังประชุมขุนนางเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ ณ พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่นี่ เจ้าจินเลี่ยงที่มารอพอเห็นหวังทงสภาพร่างกายอ่อนแอ ก็สีหน้าร้อนใจทันที หวังทงเพียงแค่ยิ้มลูบหัวเขากล่าวว่า
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่เป็นไร!”
ท่าทางอ่อนแรง ท่าทางเช่นนี้เหมือนมีปัญหาสุขภาพ เจ้าจินเลี่ยงไม่กล้ากล่าวอันใด หากกล่าวเบาๆ ว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาทกำลังทรงรออยู่”
พอเข้าไปในพระตำหนัก ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังทอดพระเนตรฎีกา มีเสียงจางเฉิงดังขึ้นเบา ๆ เป็นระยะ พอเห็นเจ้าจินเลี่ยงประคองหวังทงเข้ามา มองดูอีกที ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ประทับยืนส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“ไยปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปได้ ๆ หนานจิงที่นั่นช่างบัดซบจริง ๆ เมืองต่าง ๆ แดนใต้ก็บัดซบเช่นกัน ผู้แทนพระองค์ไปที่นั่น ตลอดทางราวกับเข้าสู่แดนศัตรู ปกติพวกนั้นดูแลประชาอย่างไร ปกครองที่นั่นอย่างไร ต้องส่งคนไปสอบสวนให้เข้มงวด เราส่งเจ้าไป….เดิมก็เพื่อให้เจ้าไปเที่ยวให้สบายใจ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เรา….เรา…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ดำรัสติดขัด เห็นชัดว่าร่างกายผ่ายผอมของหวังทงเกินกว่าที่ทรงคาดหมาย ตั้งแต่เรื่องนั้นถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับรู้เรื่องราวของหวังทงทั้งหมดแล้ว
เห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ ในวังที่มีข่าวมาว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้สึกผิดที่ได้ทำไปนั้นน่าเป็นจริงอยู่ ตอนแรกหวังทงไม่มีทางใดที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้ มาถึงตอนนี้ ยืนยันหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงใส่พระทัย กระหม่อมไม่เป็นไร กระหม่อมขอแสดงความยินดีที่ฝ่าบาทมีพระโอรสเพิ่ม!!”
หวังทงผลักเจ้าจินเลี่ยงที่เข้ามาประคองออก คุกเข่าขอบพระทัย ฮ่องเต้ว่านลี่เดินมาตรงหน้าตรัสว่า
“รีบนั่งลง ร่างกายเจ้ารับไม่ไหว”
ตรัสไปก็ประคองหวังทงด้วยพระองค์เอง หวังทงคำนับขอบพระทัย จางเฉิงจัดเอกสารบนโต๊ะเสร็จก็หันมามองทางนี้ ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้า
สองฝ่ายนั่งลง ฮ่องเต้ว่านลี่สั่งให้ห้องเครื่องส่งยาบำรุงมา จากนั้นค่อยตรัสว่า
“ฎีกาเจ้าเราได้อ่านแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนัก นับรวมชนชั้นสูง มีเพียงเจ้าที่ถวายฎีกาได้โดนใจเราที่สุด เจ้ากล่าวไม่ผิด เรื่องครอบครัวเรานั้นจะเป็นอย่างไร คนอื่นเกี่ยวอันใดด้วย มาพูดมาอันใดกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีรอยแย้มสรวลตรัสว่า
“หวังทง เจ้ากลับมาครานี้ อยู่เมืองหลวงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็อยู่ให้สุขสบาย เรามีโอรสธิดาเยอะแล้ว แต่เจ้ายังไม่มีเลยสักคน!”
พูดสัพเพเหระกันไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถามถึงสภาพแดนใต้ หวังทงกล่าวตรงไปตรงมาว่า
“ฝ่าบาท เขตปกครองใต้เหนือแม่น้ำแต่ละเมือง เฟิ่งหยางเป็นศูนย์กลาง จัดการได้ดีอยู่ ที่อื่นๆ นั้น เหนือแม่น้ำแยงซีเกียงก็อยู่ในมือพ่อค้าเกลือ แดนใต้อยู่ในมือชนชั้นสูง ขุนนางท้องที่ราวกับข้ารับใช้ส่วนตัวพวกเขา รับสนองนโยบายพวกเขา ที่ทำการก็มีสายพวกเขาอยู่ พวกนี้ยังมีตำแหน่งบัณฑิต ไม่ต้องเสียภาษีอีก ไม่ต้องรับภาระการเกณฑ์แรงงานอีก คนพวกนี้นับวันจะยิ่งมากขึ้น อำเภอหนึ่งมีหนึ่งตระกูล เมืองหนึ่งมีสองสามตระกูล หากเมืองซงเจียงยิ่งกว่า เมืองหนึ่งมีหนึ่งตระกูล พวกเขาไม่ยอมจ่ายภาษี ไม่ยอมเกณฑ์แรงงาน และยังริอาจฮุบที่ดินราษฎรอีก ทำให้ภาษีราชสำนักเก็บได้น้อยลงเรื่อยๆ ”
อย่างไรก็เพราะร่างกายอ่อนแอ พูดได้ไม่กี่คำ ก็เริ่มหอบ ดื่มน้ำไปคำ หวังทงจึงได้กล่าวต่อว่า
“พวกเขาสูบเลือดราชสำนักไม่หยุด แต่กลับไม่เคยทำประโยชน์ใดให้ราชสำนักเลย คนพวกนี้เป็นพวกที่เรียกตนเองว่าบัณฑิตเรียนตำรา บุตรหลานได้เป็นขุนนางแต่ละหน่วยงาน อาศัยตำแหน่งขยายอิทธิพลไม่หยุดเพื่อตนเอง ทำให้บุตรหลานตนได้ดำรงตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้นไปอีก เริ่มเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช้าเร็วก็คงทำให้เกิดภัยใหญ่ที่ยากจัดการได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งพระทัยฟัง ตรัสว่า
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ บัณฑิตใต้หล้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ หากราชสำนักลงมือกับพวกเขา ก็ย่อมเกิดความโกลาหลใหญ่!!”
“ฝ่าบาท ที่อื่นยังดี แต่แดนใต้เรียกได้ว่ากู่ไม่กลับแล้ว กระหม่อมระหว่างทางกลับได้ยินว่าตระกูลสวีสมคบกับโจรสลัด แบ่งไม่ลงตัว ทำให้ถูกล้างตระกูล หากเป็นจริง ย่อมเป็นตระกูลสวีทำตัวเอง เห็นได้ว่าตระกูลใหญ่แดนใต้ล้วนสมคบคิดคนในวงการนักเลงและพวกโจร แอบทำความชั่วไม่อาจเปิดเผย หากมีคนคิดเป็นใหญ่คิดการไม่ซื่อขึ้น คิดทำการสิ่งใด ก็ย่อมมีพวกโจรชั่วคอยช่วยเหลือ ใช่ว่านานวันจะเป็นภัยใหญ่หรือ”
หวังทงกล่าวตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ตกในภวังค์ความคิด หวังทงกล่าวอีกว่า
“ฝ่าบาท ตระกูลสวีตอนนี้ล่มสลายแล้ว ที่นาในเมืองซงเจียงหลานแสนหมู่ ขอให้ฝ่าบาทรีบยึดเป็นของในวัง เพื่อเป็นที่นาส่วนพระองค์หรือของแผ่นดินก็ย่อมได้ ไม่เช่นนั้นคงมีคนคิดครองเป็นส่วนตัว ตระกูลสวีไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีตระกูลใดขึ้นแทนอีก”
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อย ๆ พยักหน้า ตรัสเบา ๆ กล่าวว่า
“ตอนนี้ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อเราด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากในวังแล้ว ก็มีแต่เจ้าหวังทงคนเดียว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปสบตากับจางเฉิง ส่ายหน้าตรัสว่า
“แม้ในวัง ก็คงไม่ได้มีคนคิดเพื่อเราด้วยใจทั้งหมด”
หวังทงอึ้งไป กลับมองเห็นฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงส่ายหน้า
**************
หลังเข้าเฝ้าหวังทงก็กลับจวน รู้สึกเหนื่อยล้ามาก อย่างไรก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ พูดมากไปหน่อย ใช้สมองมากไปหน่อย ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอันอ่อนแอของเขาไม่น้อย
ซ่งฉานฉานรู้ที่ทางในเมืองหลวง นางจัดการส่งคนไปเชิญหมอมีชื่อเสียงนามว่าข่งโหย่วหวามารักษา ชื่อเสียงการรักษาไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอหลวง ข่งโหย่วหวาดูอาการให้คำวินิจฉัยต่างจากคนอื่น บอกว่าหวังทงยังคงมีพิษอยู่ในร่างกาย พิษนั้นเป็นฤทธิ์ร้อน เหลือไม่มาก หากหวังทงได้ไปพักที่อากาศหนาวสักสองสามเดือนก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น