องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 873 จริงๆ เท็จๆ
หมอเทวดาเมืองหลวงข่งโหย่วหวาชื่อเสียงโด่งดัง หลายครั้งปฏิเสธตำแหน่งหมอหลวง อยากเป็นหมอรักษาชาวบ้าน การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงยิ่งโด่งดัง
ที่จริงแล้วข่งโหย่วหวาเป็นหมอที่ชาวบ้านธรรมดาเข้าไม่ถึง มีแต่ชนชั้นสูงจึงตามมารักษาไหว ไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮาเหรินเซิ่งในวังตอนพระวรกายไม่ดีก็เคยเชิญข่งโหย่วหวาเข้าวังไปดูอาการ ทำให้ฉายาหมอเทวดายิ่งเลื่องลือ เขาพูดทุกคำย่อมมีน้ำหนักมากกว่าหมอหลวงมาก
สถานะเช่นหวังทง เชิญมารักษาย่อมได้ และหมอเทวดามาแล้ว ย่อมให้ความเห็นต่างจากคนอื่นจริงๆ ต้องการให้หวังทงไปพักรักษาตัวในที่อากาศหนาวเย็น จึงจะขับพิษออกมาได้
วิธีการรักษานี้ฟังแล้วดูล่องลอย แต่คนกลับเชื่อ หมอเทวดาไงเล่า ก็ต้องมีวิธีที่ล่องลอยถึงจะถูก และหมอมีชื่อมากมายดูแล้วไม่ให้ความเห็นอื่นใด หมอท่านนี้ให้ความเห็นต่าง คิดแล้วน่าจะมีความสามารถแท้จริงอยู่
แผ่นดินหมิงมีที่หนาวเย็นไม่มาก เมื่อก่อนมักจะมีแต่เมืองเหลียวโจว ตอนนี้กลับไม่ใช่ ยังมีเมืองกุยฮว่าเฉิงอีกที่ ย่อมเป็นที่หนาวเหน็บอย่างยิ่ง
หมอเทวดาท่านนี้ยังบอกอีกว่า หวังทงจากใต้กลับถึงเหนือ ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัว ย่อมเป็นเพราะยากับการพักรักษาตัว ประเด็นหลักอยู่ที่อากาศร้อนหนาวแตกต่างกัน เรื่องนี้ยิ่งทำให้เขาดูมีความสามารถในการรักษา
หลังมอบเงินตอบแทนหมอเทวดาไปแล้ว วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะซ่งฉานฉานเข้าไปในห้องหวังทง และยังให้ทุกคนออกไป หวังทงสุขภาพยังคงอ่อนแอ ซ่งฉานฉานนั่งอยู่ข้างเตียงกล่าวว่า
“ข่งโหย่วหวาชอบทดลองยากับคนในจวนตนเอง เกิดเรื่องไม่น้อย ข้าน้อยได้ช่วยเขาปกปิดทั้งหมด จึงได้ให้คำวินิจฉัยนี้แก่นายท่านได้”
หวังทงพิงตัวอยู่หัวเตียง ค่อยๆ กล่าวว่า
“ลูกชายข่งโหย่วหวาส่งไปค่ายทหารที่เทียนจิน รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ค่อยปล่อยพวกเขาไป ป้องกันข่งโหย่วหวาแพร่งพรายออกไป”
ซ่งฉานฉานพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปยกชามยาจากโต๊ะเตี้ยข้างๆ มาให้หวังทง กล่าวเบาๆ ว่า
“หลายวันนี้ข้าน้อยได้ไปสืบข่าวจากที่ต่างๆ มาไม่น้อย ขุนนางเมืองหลวงตอนนี้ล้วนจับตาดูเรื่องรัชทายาท รอดูว่าฝ่าบาทจะทรงจัดการอย่างไร มีคนเริ่มสมคบคิดกันแล้ว เตรียมจะร่วมกันยื่นฎีกา ขอให้ทรงแต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท…”
สีหน้าหวังทงปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ซ่งฉานฉานลังเลก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าน้อยยังมีอีกข่าวไม่รู้ควรพูดหรือไม่ เพราะพวกวิพากษ์วิจารณ์ก็ระวังตัว ได้ยินเพียงแค่เลือนลาง บอกว่าในวังมีคนคิดเรื่องรัชทายาทนี้”
“ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมทรงคิด พระสนมกงเป็นคนตำหนักฉือหนิงกง โอรสพระสนมกงเป็นรัชทายาทก็ย่อมเป็นที่พอพระทัยของไทเฮา”
หวังทงกล่าวเยียบเย็น ซ่งฉานฉานส่ายหน้าน้ำเสียงเบาลงอีกว่า
“ไม่ใช่ ว่ากันว่าเป็นพวกฝ่ายใน”
หวังทงขมวดคิ้ว จ้องมองซ่งฉานฉาน หรี่ตาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“ตอนเจ้าได้ข่าวนี้มา ทำให้พวกสำนักรักษาความสงบกับหน่วยงานอื่นรู้ตัวกันหรือไม่?”
“นายท่านวางใจ ข่าวพวกนี้ล้วนเป็นสายของข้าน้อยส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น”
หวังทงค่อยๆ พยักหน้า ซ่งฉานฉานถามขึ้น
“ข่าวนี้ต้องส่งต่อให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรไหม?”
หวังทงไม่ตอบ เงียบไปนาน กลับไม่ตอบคำถามนี้ เพียงถามขึ้น
“ในมือเจ้ามีคนไว้ใจได้กี่คน?”
“มีสองสามคนที่เคยได้รับการช่วยจากข้าน้อย ชีวิตนี้ข้าน้อยจะเอาไปก็ย่อมได้”
ซ่งฉานฉานตอบหนักแน่น หวังทงลองดูว่ายาร้อนหรือไม่ จากนั้นค่อยๆ จิบไปสองสามคำ ในยามีตัวยาบำรุงไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจกินมากได้ ไม่เช่นนี้ร่างการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นอยู่มากเกินไป ที่เหลือมากอยู่ก็ส่งให้ซ่งฉานฉาน หวังทงค่อยๆ กล่าวว่า
“ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทเป็นเรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน เราเป็นขุนนางไม่ควรเข้าแทรกแซง แต่หากคนอื่นอยากจะมายุ่งกับการตั้งรัชทายาท เช่นนี้พวกเราก็ช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ต้องทำตามธรรมเนียมหลักการ อย่างไรก็ต้องยืนหยัดเช่นนี้”
พอได้ยินวาจากล่าวเนิบนาบเช่นนี้ ซ่งฉานฉานก็เริ่มคิดไม่ทัน มองสีหน้าหวังทงอย่างสงสัย เมื่อครู่ที่หวังทงว่ามานั้น ทำเอานางสะดุ้ง สีหน้าซีดเผือดทันที ตามมาด้วยปรับเป็นปกติ ก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าน้อยต้องทำถึงระดับใด?”
“ทำถึงระดับใดได้ก็ทำ เรามีเงินทองมาก ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จ่ายทิ้งไปให้หมดเลยละกัน”
ซ่งฉานฉานลุกยืนขึ้นกล่าวอวยพรคิดขอตัวออกไป หวังทงยันตัวเองขึ้นจากเตียง กวักมือเรียกซ่งฉานฉาน ซ่งฉานฉานเดินเข้าไปอย่างงงๆ ไม่ทันระวังถูกหวังทงดึงเข้าอ้อมกอด แม้ว่าเป็นสามีภรรยา ร่วมหอร่วมเตียงกันมาแล้ว แต่กลางวันแสกๆ สองฝ่ายยังมีท่าทีให้ความเคารพกันและกัน หวังทงไม่ค่อยได้แสดงท่าทีสนิทสนมเช่นนี้นัก
ถูกหวังทงโอบกอดไว้ ซ่งฉานฉานตัวแข็งทื่อ หวังทงใช้มือตบหลังซ่งฉานฉานเบาๆ กล่าวเบาๆ ว่า
“ครั้งนี้ข้าไปเมืองกุยฮว่าเฉิงรักษาตัว หญิงในจวนก็มีแต่เจ้าที่ให้อยู่เมืองหลวงต่อ ยังต้องให้เจ้าทำงานเสี่ยงภัย ช่างทำให้เจ้าลำบากแล้ว แต่นางทั้งสองคนนั้นก็ไม่มีความคิดซับซ้อนแยบยล ข้าทิ้งร่องรอยไว้มากไป เพื่ออนาคตครอบครัวเรา ก็ได้แต่…”
ยามนี้ซ่งฉานฉานได้สติคืนจากการที่อึ้งไป อยู่ในอ้อมกอดหวังทงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“ท่านพี่กล่าวเช่นนี้ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
***********
หวังทงกลับถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้า สำนักอาชาหลวงในวังส่งคนลงแดนใต้ไปทันที ตลอดทางที่ผ่านมาของหวังทง ทำลายล้างตระกูลใหญ่ไปไม่น้อย ที่นามากมายเป็นที่ไร้เจ้าของ ซื้อเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นที่นาส่วนพระองค์หรือที่นาส่วนแผ่นดิน ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชสำนักและแผ่นดินหมิง
ทว่าตามข่าวที่หวังทงได้จากเทียนจิน ที่นาไร้เจ้าของแดนใต้ตอนนี้ถูกแบ่งสรรกันไปหมดแล้ว ร้านสามธาราเองก็ได้ไปไม่น้อย ยามนี้ในวังส่งคนลงใต้ รู้แต่เรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลสวีเจี้ย
ซ่งฉานฉานมีคนสนิทที่ไม่ได้อยู่ในสายงานหวังทง ได้มาเป็นลูกน้องตั้งแต่สมัยอยู่หอฉินก่วน ตอนนี้มาพักที่จวนกับกับหวังทง ไม่ได้ไปมาหาสู่กับหอฉินก่วน
หนึ่งในนั้นได้พบหวังทงในเมืองหลวง จากนั้นก็ให้ทหารนำตัวไปที่จวนแห่งหนึ่ง จวนไร้เจ้าจอง แต่ในห้องกลับมีทองซ่อนไว้จำนวนมาก
หวังทงจากเทียนจินกลับถึงเมืองหลวง นำเงินทองมาด้วยมากมาย เงินทองพวกนี้เก็บซ่อนในที่วางใจได้ในเมืองหลวง สามารถนำออกมาใช้ได้
ความคิดที่ทูลให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาทเริ่มแพร่ไปทั่ววงการขุนนางบัณฑิต แต่ไม่ได้เป็นกระแสอันใด โอรสพระสนมเอกเจิ้ง ‘จูฉางสวิน’ ยังไม่ถึงเดือน ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือน ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ ไม่แน่ว่าจะมีอายุยืนยาวต่อไป อาจจะสิ้นเมื่อไรก็ได้ใครจะรู้ ยามนี้เสี่ยงยื่นฎีกาออกไป ได้ผลหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ทำให้ตนเองประสบภัยนั้นคงใหญ่มากยิ่ง
แต่บรรยากาศเมืองหลวงเริ่มแปลกแล้ว ถึงกับมีขุนนางตรวจสอบยื่นฎีกาฟ้องกรมอาญา ให้รื้อคดีหลายคดีเมื่อก่อนออกมา ก็เรื่องพวกการแบ่งสมบัติพวกนั้น บิดาข้าอยากแบ่งให้ลูกคนโปรด พอลูกคนโตฟ้องร้อง บอกว่าเป็นลูกคนโตย่อมได้มากสุด ไม่ควรแบ่งให้ลูกคนโปรดอะไรพวกนี้
คดีพวกนี้หวังทงเคยเห็น ในนั้นมีลูกชายคนโตกับสะใภ้ไม่กตัญญู ไม่เลี้ยงดูบิดามารดาวัยชราให้ดี กลับไล่ออกจากบ้าน ลูกชายคนเล็ก สถานะธรรมดากลับรับไปเลี้ยงดูแทน ก่อนตาย บิดามารดาจึงได้แอบมอบทองที่ซ่อนไว้แก่ลูกชายคนเล็ก จากนั้นลูกชายคนโตพอรู้เรื่อง ก็ไปฟ้องร้องที่ศาล ขุนนางขอเพียงสมองไม่พิการก็คงไม่เข้าข้างลูกชายคนโต ผู้ใดก็คงไม่เห็นว่าลูกชายคนเล็กได้ทองไปจะเป็นความผิดอันใด
ทว่าตอนนี้กลับถูกขุนนางบัณฑิตรื้อออกมา วิจารณ์กันถึงหลักการยกใหญ่ บอกวันว่าการตัดสินคดีนี้ขัดต่อหลักการธรรมเนียม คนที่รู้เรื่องก็รู้แล้วว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใด ต้องการจะชี้เป้าไปที่สิ่งใด
*************
“วิธีการกินหม้อไฟนี้ตะก่อนในวังก็มีนะ แต่ไม่ได้อร่อยเหมือนเจ้าทำ วันนี้เราเลือกอาหารบำรุงอ่อนๆ เจ้าลองดู”
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางทั่วไปไม่อาจได้รับพระเมตตา แม้แต่มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ไม่ได้ เดือนสิบเอ็ด ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานเลี้ยงหวังทงที่ตำหนักข้างพระตำหนักเฉียนชิงกง เมืองหลวงยามนี้เริ่มหนาวแล้ว เปลวไฟลุกโชน หม้อทองเหลืองซุปร้อนระอุ อาหารหลายอย่างหั่นเป็นชิ้นแผ่นๆ ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วตำหนัก
“หมอบอกว่ากระหม่อมควรกินเนื้อแต่น้อย กระหม่อมกินผักก็พอ”
หวังทงมีสีหน้าอิดโรยอ่อนแรง นั่งบนเก้าอี้ก็นั่งไม่ตรง ฮ่องเต้ว่านลี่มองอย่างห่วงใย ตรัสถามขึ้น
“พวกหมอหลวงราวขยะพวกนั้นว่าอย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท หมอหลวงกับกับข่งโหย่วหวาวิเคราะห์เหมือนกันว่ากระหม่อมควรไปที่อากาศหนาวเย็นจึงจะรักษาตัวได้ผลดี เมืองหลวงเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มอุ่นแล้ว ไม่เหมาะ จะว่าไป ตามตำแหน่งงานที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็คงต้องไปดูแลงานแทนฝ่าบาท ไปจัดการระเบียบเสียหน่อย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่น ตรัสว่า
“เราขาดเจ้าไม่ได้ องครักษ์เสื้อแพรก็ต้องให้เจ้าคุม เจ้าดูสิ หลายวันนี้ฎีกามา บอกว่ากรมอาญาตัดสินไม่ยุติธรรม หรือคิดว่าเราเป็นไอ้โง่เหรอไง มองไม่ออกว่าพวกเขาคิดจะบอกอะไร เรื่องพวกนี้ต้องให้เจ้ามาช่วยจัดการ”
“ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรแต่ละหน่วยงานมีระบบงานแล้ว ฝ่าบาทคุมงานผ่านฝ่ายในก็มีประสิทธิภาพดียิ่ง ถึงกับมีฎีกาพวกนี้ได้ ฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็น พวกที่คิดหาเรื่องพวกนั้นกระหม่อมก็รู้แล้ว แต่เรื่องนี้ราษฎรล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ตัดสินเช่นนั้น ตอนนี้ขุนนางบัณฑิตพยายามอ้างหลักการธรรมเนียมก็ฝืนกระแสอยู่ไม่น้อย ฝ่าบาทไม่สู้ให้ทางโรงงิ้วแต่งบทงิ้วเรื่องคดีนี้ แสดงไปเลย ราษฎรอย่างไรก็ต้องเอนเอียงหันกลับมา!”
“ดีเลย ความคิดดี ให้โรงงิ้วแสดงงิ้วเรื่องนี้ ให้พวกที่บ้าหลักการไม่อยากฟังก็ต้องฟัง ให้งิ้วนี้แสดงไปทั่วหล้า”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ตื่นเต้น ตบโต๊ะดัง หวังทงไอขึ้น คิดจะยกชาขึ้นดื่มเพื่อสงบสติลง ก็ยังไม่ทันได้ทำ ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“หวังทง ลำบากเจ้าแล้ว ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเรา โดนมามากมาย ก็เอาเถอะ ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงพักสักหน่อย ไปจัดการที่นั่นสักพัก”