องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 876 เจ้าผู้ครอง
แม้ว่าปีก่อนเพิ่งมา แต่มาดูกำแพงเมืองอีกทีตอนนี้ หวังทงก็ยังต้องตกใจ เพราะรอบกำแพงเมืองไม่รู้ว่าคึกคักกว่าเมื่อก่อนเท่าไร
ครั้งแรกที่มาเมืองกุยฮว่าเฉิง หวังทงนำกำลังทหารหลายหมื่นมาประชิดเพื่อบุกโจมตี เผ่าอันต๋าก็เข้มแข็งไม่น้อย จัดวางกำลังรอรับศึกที่นอกเมือง ตอนนั้นนอกเมืองนอกจากเผ่าใหญ่ที่หนีไม่ทันแล้ว ก็มีแต่กองกำลังที่พร้อมสู้ตาย ย่อมไม่มีความคึกคักเช่นนี้
วันสุดท้ายในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 พบว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเหมือนจะขยายออกไปอีกหลายเท่า กำแพงเมืองยังคงเป็นกำแพงเมืองเดิม ขนาดเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ยังคงเดิม แต่นอกเมืองกุยฮว่าเฉิงพื้นที่ที่เคยว่างนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คน
ร่างกายหวังทงฟื้นตัวแล้ว เริ่มออกมาขี่ม้า เขามองดูสภาพรอบๆ ได้ยินเสียงอุทานตกใจของผู้คุ้มกันเช่นกัน พวกเขาก็มาเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน
“นายท่าน คือว่า…”
ถานเจียงกำลังจะอธิบาย หวังทงกลับโบกมือยิ้มกล่าวว่า
“ไม่ต้องพูดอันใด ข้าดูเอง”
ถานเจียงยิ้มพยักหน้า ถอยม้าไปตามอยู่ด้านหลัง เมืองกุยฮว่าเฉิงสร้างโดยข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรก แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้กลับเป็นหวังทงครอบครอง เขาต้องดูว่าครึ่งปีที่จากไป เมืองกุยฮว่าเฉิงก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว
เมืองใหญ่นี้ก็เหมือนเมืองหลวงหรือไม่ก็หนานจิงบนแผ่นดินหมิง รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็มีชาวบ้านพักอาศัยอยู่มาก แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ต่างจากเมืองใหญ่พวกนั้น
รอบนอกสุดเป็นรถม้าสี่ล้อลากที่แพร่หลายในเทียนจิน มีบ้างที่พึ่งมา มีบ้างที่จอดไว้เฉยๆ เหมือนกับการตั้งค่ายทหาร รถใหญ่ล้อมรอบ ด้านในมีตั้งกระโจม น่าจะเป็นขบวนพ่อค้ากลับจากทุ่งหญ้า
ขบวนพ่อค้ามากมาย รถใหญ่บรรทุกสินค้าจึงกินพื้นที่กว้าง ในเมืองตอนนี้คนยิ่งมาก ไม่มีพื้นที่ว่างให้พวกเขาได้จับจอง ดังนั้นนอกเมืองจึงกลายเป็นทางเลือกของพวกเขาไปแทน มีแต่สินค้าสำคัญและสูงค่าที่ย่อมต้องส่งเข้าไปเก็บไว้ในเมือง
นี่นับเป็นรอบนอกสุดของพื้นที่ชาวบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิง ที่สำหรับจอดรถใหญ่ สามารถมองเห็นโกดังที่สร้างจากไม้เดิมๆ นี่เป็นสิ่งที่ต่างจากบริเวณท่าเรือเทียนจิน พ่อค้าล้วนเก็บรถใหญ่ไว้ที่นี่ พื้นที่นี้มักจะเห็นชาวฮั่นกับชาวมองโกลขี่ม้าพกดาบเป็นกลุ่มๆ บางทียังได้เห็นพ่อค้าในชุดหรูหราแบบชนชั้นสูงนั่งรถม้าผ่านมาบ้าง
เดินเข้าไปด้านในกลับต่างกันอีก รอบเมืองหลวงกับหนานจิง นอกเมืองเหมือนไร้ระเบียบ มีทั้งบ้านเรือนของคหบดี และมีทั้งเพิงพักชาวบ้านยากจน แต่ที่นอกเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับเป็นเหมือนโรงบ้านใหญ่ติดๆ กัน เรียกว่าโรงบ้านไม่น่าเหมาะ ควรใช้คำว่า ป้อม จะดีกว่า
ใช้ดินกับไม้ก่อเป็นกำแพงสูง บนกำแพงสูงตามจุดที่สำคัญมีหอสังเกตการณ์ ด้านหน้าเปิดช่องว่าง ช่องว่างมองเข้าไปเป็นถนน ยามนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าเปิดกว้าง สามารถมองเห็นสภาพด้านในได้
นี่ไม่ใช่โรงบ้านใหญ่ของพวกคหบดี แต่เป็นป้อมที่พักของชาวบ้าน หวังทงหันกลับไปมองถานเจียง ถานเจียงเข้าใจว่าต้องการถามจึงอธิบายว่า
“นายท่าน นอกเมืองที่พักราษฎรล้วนเป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ให้พวกเขาพักอาศัย ชาวนาที่ทำนาตอนนี้ก็พักกันแบบนี้”
“น่าจะไม่มีการโจมตีของศัตรูแล้ว ข้าอยู่เมืองหลวงไม่ได้รับรายงานการทหารพวกนี้”
“นายท่าน ป้องกันไว้ก่อน อย่างไรก็โดดเดี่ยวนอกพรมแดน เกิดเหตุขึ้น ราษฎรพวกนี้ไม่ทันหนีกลับเข้าเมืองก็ย่อมเสียหายหนัก และนอกป้อมพวกนี้ หากมีศัตรูทหารม้ามาจริง กองหินรอบนอกนี้จะขวางพวกเขาให้ต้องค่อยๆ ขนทิ้งไปทีละก้อนก่อน ในเมืองก็จะมีเวลาเตรียมป้องกัน”
“โรงบ้านพวกนี้มีผู้คุ้มกันไหม?”
“มีทุกแห่ง หากเป็นชายอายุได้ 14 ก็ต้องเข้ารับการฝึก ไม่กล้าปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ไม่ถามต่อ การจัดการเช่นนี้ใช้เพื่อป้องกันกองกำลังทหารม้าทุ่งหญ้านอกด่าน อาศัยอาวุธและกำแพงป้องกันตนเอง ทุ่งหญ้านอกด่านเผ่าใดก็ไม่อาจเข้าโจมตีได้ นอกจากจะล้อมไว้ระยะยาว เมืองกุยฮว่าเฉิงดึงดูดให้คนมากันมาก ในเมืองใช่ว่ามีที่ทางพอ นอกเมืองก็มีอันตรายมาก มีกำแพงสูงล้อมรอบเป็นที่พักย่อมสามารถป้องกันการโจมตีกะทันหันได้
เทียบกับบ้านพักหลังใหญ่ในเมืองที่อาศัยการป้องกันจากกำแพงเมืองแล้ว ที่นาที่กระจัดกระจายอยู่รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงอันตรายกว่า การป้องกันเช่นนี้สำคัญสำหรับพวกเขามาก
พวกหวังทงมาพร้อมรถใหญ่หลายสิบ ทหารม้ากับทหารราบในชุดเต็มยศติดตามมา ในนั้นมีรถใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นรถของพวกผู้หญิงของหวังทง ขบวนเช่นนี้เดินทางมาย่อมเป็นที่สังเกตของคนไม่รู้เท่าไร พวกชายขี่ม้าอยู่รอบนอกวนดูไปมา ชี้ชวนกันดูตามสบาย หน้าตายิ้มแย้มคิดจะเข้ามามองดูให้ละเอียด ทว่าพอเห็นพวกถานเจียงนำมา เห็นชัดว่าถานเจียงวางตัวเป็นบ่าวรับใช้ จึงไม่กล้าทำตัวตามสบายกันอีก
เดินมาบนถนนสายที่สอง ก็เป็นพื้นที่โรงบ้านใหญ่อีก คนข้างทางล้วนถูกทหารม้าแหวกเป็นสองแถว มีคนไม่น้อยออกมายืนดูหน้าโรงบ้าน เมืองกุยฮว่าเฉิงแต่ไรมาไม่เคยมีใต้เท้าใหญ่ ฮ่องเต้ส่งขันทีมาดูที่นา ก็ไม่ค่อยสนใจนอกเมือง ที่นี่แต่ไรมาก็ดูแลตนเองกัน อยู่ๆ มีคนใหญ่คนโตมา ก็ย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจอยากรู้อยากเห็น
เมืองกุยฮว่าเฉิงเลียนแบบกำแพงเมืองชาวฮั่น ตอนนี้ถูกแผ่นดินหมิงยึดครอง แม้ชาวฮั่นเป็นใหญ่ แต่อย่างไรก็เป็นทุ่งหญ้านอกด่าน คนบนท้องถนนมีทั้งเผ่ามองโกลกับเผ่าทางซีอวี้ สิ่งก่อสร้างแปลกตาเช่นนี้ กอปรกับบรรยากาศต่างบ้านต่างเมือง ทำให้หวังทงสนใจอยากเดินชมต่อ ไม่เพียงแต่เขา หานเสียกับจางหงอิงก็เลิกม่านขึ้นดูเช่นกัน แม้แต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยที่กลัวหนาวก็ยังตื่นเต้นไม่น้อย
เดินมาระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนบนท้องถนนคนหนึ่งตะโกนดังอย่างตื่นเต้นว่า
“แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยขอโขกศีรษะคำนับท่าน ขอแม่ทัพใหญ่บารมียั่งยืนยาว!!”
น้ำเสียงสั่น หวังทงดึงบังเหียนม้าไว้ หันไปทางเสียง เห็นชายผู้หนึ่งโขกศีรษะอยู่บนถนน พอเงยหน้าขึ้นมา หวังทง กลับจำได้ ยิ้มกล่าวว่า
“สือซาน เจ้าอยู่ตอนเหนือนี้ชินไหม ยังตัวคนเดียวหรือเปล่า?”
สือซานผู้นี้เป็นนายกองธงเล็กผู้หนึ่งของกองกำลังหู่เวย แม้เขามีชื่อว่าเป็นครอบครัวทหารที่เทียนจิน แต่เล็กขาดบิดามารดา หวังทงบอกว่าให้ปลดประจำการได้ชุดหนึ่ง สือซานจึงได้ขอปลดประจำการ
สือซานที่คุกเข่าได้ยินหวังทงตะโกนเรียกชื่อตน ก็รู้สึกได้หน้า กล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่ห่วงใย ข้าน้อยแต่งภรรยาแล้ว มีงานทำแล้ว ล้วนเป็นเมตตาของแม่ทัพใหญ่ๆ”
กล่าวถึงตรงนี้ เสียงก็เริ่มจุกอกล่าวไม่ออก ได้แต่โขกศีรษะ ถานเจียงเข้ามาใกล้หวังทงกล่าวว่า
“สือซานตอนนี้เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนการค้าส่านซี และเป็นหัวหน้าฝึกโรงนาทางตะวันออกสองแห่ง มีชีวิตที่มีหน้ามีตายิ่ง”
หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ลุกขึ้นๆ ชายชาติทหารผ่านศึกเป็นตายมา อย่าได้มาหลั่งน้ำตาในที่สาธารณชนเช่นนี้ คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้!!”
ลูกน้องเก่าเห็นตนแล้วตื่นเต้นเช่นนี้ แสดงออกอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้เช่นนี้ ก็ทำให้หวังทงรู้สึกดีไม่น้อย ถานเจียงกลับยกมือตบหน้าผาก หัวเราะตำหนิตนเองว่า
“เมิ่งตั๋วกงกงกำลังรอท่านอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่ข้าน้อยกลับลืม ในเมืองนอกจากพวกเราทหารที่รู้ว่าใต้เท้าจะมาแล้ว ก็มีคนรู้ไม่มาก นี่ช่าง…”
หวังทงกำลังกล่าวว่าไม่เป็นไร ถานเจียงก็กลับหันไปสั่งลูกน้อง ทหารม้าสองนายวิ่งไปด้านหน้ากองขบวน ขณะหวังทงกำลังงงอยู่ ก็ได้ยินทหารม้าสองนายตะโกนขึ้นว่า
“ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงใต้เท้าหวังมา…”
เดินทางมาระยะหนึ่งเพิ่งมาตะโกนดัง เสียงที่ได้ยินดังเข้าไปถึงทางด้านใน เดิมผู้คนสองข้างทางก็สนใจอยากรู้ พอได้ยินตะโกนเช่นนี้ ก็สีหน้าแปรเปลี่ยน
หวังทงเป็นใคร ติ้งเป่ยโหวกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ชื่อนี้สำหรับราษฎรแล้วไม่ได้รู้สึกเท่าไร แต่ชื่อหวังทงปราบเผ่าอันต๋า แม่ทัพยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง กำลังหลายหมื่น ชาวบ้านในเมืองเกือบแสน ยังมีพวกเชื้อพระวงศ์เผ่าอันต๋าที่ล้วนสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือเขา
เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้มีที่ดินหนึ่งในสามเป็นของหวังทง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขบวนพ่อค้า กำลังทหารและผู้คุ้มกันในเมืองทั้งหมดแทบจะเป็นลูกน้องหวังทง
หวังทงในสายตาชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเจ้าผู้ครองเมืองแล้ว หวังทงเรียกได้ว่าเป็นเจ้าของที่นี่
สีหน้าชาวฮั่นปรากฏแววเคารพหวาดกลัว ชาวมองโกลกับชาวซีอวี้พากันแอบวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ พวกเขาท่าทีแรกก็คือคุกเข่าหมอบลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
สำหรับชาวฮั่นแล้ว หวังทงเป็นขุนนางใหญ่ เป็นชนชั้นสูง เป็นวีรบุรุษ สำหรับเผ่าอื่นแล้ว หวังทงเป็นมารร้าย เป็นเทพสังหาร เป็นผู้พิชิต เป็นเจ้าของที่นี่ เขาสังหารหัวหน้าเผ่าอันต๋าบนทุ่งหญ้านอกด่านที่เป็นเผ่าที่เข็มแข็งที่สุดบนทุ่งหญ้านอกด่าน การมีเขาอยู่ตรงนี้ คงได้แต่หมอบคุกเข่าแสดงความหวาดกลัวและความเคารพอย่างเดียวแล้ว
ข่าวแพร่ไปรวดเร็ว ในเมืองนอกเมือง ทหารกองกำลังหู่เวย ทหารเมืองต้าถง ทหารเมืองจี้โจวที่ทิ้งไว้ที่นี่คราก่อน ตอนนั้นหวังทงนำกำลังพิชิตชัยชนะ ปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนี้พวกเขาได้เป็นผู้คุ้มกันและหัวหน้าฝึกที่นี่ พวกเขาได้เป็นชนชั้นกลางในเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นกำลังศูนย์กลางของในเมือง พวกเขาบ้างก็อยู่บ้าน บ้างก็อยู่โรงเตี๊ยม บ้างก็กำลังฝึกอยู่ พอได้ยินหวังทงมา ก็รีบขี่ม้ากันมา ลงจากม้าก็โขกศีรษะ จากนั้นก็ไปเข้ากับขบวนม้าด้านหลัง ติดตามมาด้านหลังต่อๆ ไปแถวยาวขึ้นเรื่อยๆ
ขบวนเริ่มเดินช้าลง เมื่อครู่ถนนยังครึกครื้นอยู่ก็กลับเงียบลงมาก เห็นชาวมองโกลกับชาวซีอวี้คุกเข่า ชาวฮั่นบนท้องถนนก็หมอบคุกเข่ากับพื้น สองข้างทางเป็นชาวบ้านที่คุกเข่าอย่างเคารพ ขบวนหวังทงยิ่งยาวขึ้น ล้วนเป็นกำลังคุ้มครองเมืองกุยฮว่าเฉิงตามมาสมทบ
หวังทงเดิมขี่ม้าอยู่กลางขบวน ตอนนี้พวกที่มาสมทบกับกองขบวนเดิมก็ทิ้งระยะห่าง ให้หวังทงไปอยู่ด้านหน้าสุด ชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงคุกเข่าหมอบเงียบๆ