องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 878 แม้อยู่ต่างเมือง แต่ก็เหมือนอยู่บ้าน
วาจาหวังทงไม่รู้สึกดีกับบัณฑิตและสายตาดูถูกก็ชัดเจนอย่างไม่คิดปิดบัง ทว่าเมิ่งตั๋วเป็นขันที ถานเจียงเป็นทหารแต่กำเนิด ย่อมต้องเห็นด้วยกับจุดยืนนี้ พากันยิ้ม
แผ่นดินหมิงบุกเบิกแผ่นดิน ที่ใดที่กำลังถูกจัดการ มักมีสัญลักษณ์หนึ่ง ก็คือราษฎรที่นั่นสามารถเรียนหนังสือเข้าสอบขุนนางได้ หากมีบัณฑิตเกิดขึ้น ก็ย่อมแสดงถึงการจัดการที่ได้ผลเด็ดขาด ยอมสยบให้แก่ฮ่องเต้ หากมีบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ ก็เท่ากับเป็นผลสำเร็จ
แน่นอน หลังจากนี้ก็ย่อมทำให้ราชสำนักตั้งหน่วยงานทางการได้ ให้ทางการมาควบคุมดูแล
เมืองกุยฮว่าเฉิงกับพื้นที่รอบๆ ตอนแรกหวังทงกำหนดให้เป็นโรงนาหลวง ให้ขุนนางคุมงานแทนฮ่องเต้ เมืองกุยฮว่าเฉิงเช่นนี้ ขันทีที่นี่สามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าเปิดเผยหรือทางลับได้ไปไม่รู้เท่าไร
เมืองจี้โจว เมืองต้าถงกับกองกำลังสังกัดวังหลวง ล้วนมีทหารสูงวัยจำนวนมากปลดประจำการมาอยู่ที่นี่ ขุนพลทหารล้วนได้รับประโยชน์หลายสิ่งอย่างมากมายจากที่นาและการค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิง
ที่นี่มีผลประโยชน์เช่นนี้ ในวังกับกองทหารแบ่งสรรกัน ย่อมไม่อยากให้ขุนนางบุ๋นมาข้องเกี่ยว ที่จริงแล้วหากเมืองกุยฮว่าเฉิงจัดการมั่นคงได้ ขุนนางบุ๋นก็คงขอมาเป็นขุนนางท้องถิ่นที่นี่ แล้วก็ขับขุนนางในวังออกไปและกดขี่ขุนนางบู๊เอาไว้แบบเดิมก็เป็นไปได้มาก
ขุนนางบัณฑิตบนแผ่นดินหมิงแย่งผลประโยชน์กับฮ่องเต้ แย่งประโยชน์กับแผ่นดินหมิง แต่ไรมาไม่เคยสนใจจะวางตัวให้อยู่ในที่ควรอยู่ แต่กลับเอาแต่แก่งแย่ง
ความคิดราษฎรเองก็กลับคิดว่าตนเองด้อยกว่า มีแต่พวกเรียนตำราจึงจะสูงส่ง ราษฎรที่ย้ายถิ่นฐานมา ถึงกับเป็นแรงงานทาสชาวนาที่ถูกจับเป็นเชลยมาก่อน พอได้มีชีวิตที่เข้าที่เข้าทางไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวหรือหิวตายแล้ว ก็จะให้บุตรหลานได้เรียนหนังสือ เพื่อคิดจะลืมตาอ้าปากในวันหน้า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คิดจะหยุดพวกขุนนางบุ๋นไม่ให้ข้องเกี่ยวก็คงยาก
วิธีการของหวังทงก็ง่ายและตรงไปตรงมา ก็คือจัดการสังหารความเป็นไม่ได้ทั้งหมดเสียก่อน ให้ลูกหลานชาวบ้านที่เพิ่งย้ายถิ่นฐานมาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ให้นายช่างและทหารเก่าในเมืองกุยฮว่าเฉิงได้มีคนสืบทอด สามารถเป็นคลื่นลูกหลังขึ้นแทนได้
“ท่านโหวกล่าวได้ดี เมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไรก็เพิ่งจะยึดมาได้ การเรียนการสอนยังไม่พัฒนา หากทางนี้ต้องการเรียนหนังสือกัน ใช่ว่าเป็นการทำให้เสียเวลาต่ออนาคตหรือ อย่างไรไปเมืองต้าถง มณฑลซานซีจะดีกว่า!”
เมิ่งตั๋วยิ้มกล่าว หม่าหย่งด้านหลังกลับสบถด่ารุนแรงว่า
“หากคิดจะสอบตำแหน่งขุนนางอยากมาสุขสบายที่นี่ พวกเราทางนี้ไม่ต้องการ ค่ายทหารอย่างเราต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา ภาษีก็จ่ายมาไม่เคยขาด อาศัยอะไรที่จะให้พวกเรียนหนังสือไม่กี่เล่ม สอบได้ตำแหน่ง ได้มาเป็นหัวหน้าคุมเรา”
“หม่าหย่ง วาจาเจ้านี่ หากขุนนางบุ๋นได้ยินเข้า เกรงว่าคงถ่มน้ำลายมิดตัวเจ้าไปแล้ว!”
หวังทงยิ้มสัพยอก หม่าหย่งส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน กล่าวถึงตรงนี้ เมิ่งตั๋วกลับยิ่งเข้าใจ หากที่แห่งนี้ที่เพิ่งบุกเบิกมามีขุนนางบุ๋นหรือบัณฑิต พวกนั้นก็จะมีที่นาที่ยกเว้นภาษี ดีไม่ดียังมีคนเอาที่ดินไปมอบให้ขอพึ่งบารมีด้วย เช่นนี้ภาษีก็ยิ่งเก็บได้น้อย
“ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง ไม่อาจทำให้พวกบัณฑิตเสียเวลาก้าวสู่อนาคต ได้แต่ให้พวกบัณฑิตคิดเรียนหนังสือออกไปจากที่นี่ให้หมดทั้งครอบครัว”
ทุกคนหัวเราะฮาลั่น แม้หวังทงมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงฐานะแขก แต่หวังทงวางท่าทางแบบเจ้าของ ให้คนนำไปยังที่พักเรียบร้อย ก่อนจะออกมาร่วมงานเลี้ยงยามค่ำ
*****************
ตลอดการเดินทาง การมาถึงจวนที่พักนี้เรียกได้ว่าถึงที่พักเรียบร้อย บรรดาทหารติดตามอารักขาเริ่มขนย้ายของ รอให้พวกผู้หญิงจัดเก็บของเรียบร้อย สาวใช้ทั้งหลายก็เริ่มปัดหวาดทำความสะอาด จากนั้นค่อยประคองบรรดาภรรยาหวังทงลงมา
จวนนี้หวังทงมาครั้งแรก ตามปกติวิสัย เขาจะนำทหารสองสามคนไปเดินวนแต่ละจุดรอบหนึ่งเพื่อให้คุ้นเคยพื้นที่ จะได้ป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง
เดินไปถึงด้านหลังจวนกลับเห็นหญิงมีอายุพอควรแต่งกายเรียบร้อยหลายคนกำลังสั่งการคนงานหญิงให้จัดการปัดกวาด นางเหล่านี้หวังทงไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังงงอยู่นั้น ถานต้าหู่ถานเอ้อร์หู่ที่ตามมาด้านหลังก็กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านโหว มารดาข้าน้อยกับอาสะใภ้ขอรับ”
หวังทงอึ้งไป ก่อนจะได้สติ ขมวดคิ้วหันไปกล่าวว่า
“บิดาและอาเจ้าตอนนี้อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีหน้ามีตา เช่นนี้มันไม่สมควร งานพวกนี้ให้คนงานทำก็พอ ให้มารดากับอาสะใภ้เจ้าเข้าไปเป็นเพื่อนคุยกับน้าหม่าด้านในนั่นก็พอ อย่าต้องออกมายุ่งกับงานข้างนอกนี่”
เห็นหวังทงขมวดคิ้ว ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ก็ใจเต้นตึก ยังคิดว่าตนทำอะไรผิดไป พอได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ รีบวิ่งไป
แม่ลูกไม่ได้เจอกันนาน พอเห็นสองพี่น้องตระกูลถาน สตรีสูงวัยเหล่านั้นก็ร่ำไห้ออกมา ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่รีบปลอบใจ หญิงตระกูลถานพอได้เห็นว่าหวังทงอยู่ด้วย ก็รีบพากันคำนับ หวังทงยิ้มพยักหน้า ถานต้าหู่กับเอ้อร์หู่พากันบอกล่าวและผลักไสให้เข้าไปด้านใน เสร็จแล้วจึงได้วิ่งกลับมา
“เดินรอบจวนเสร็จ พวกเจ้าก็พักได้ กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน ไปเป็นเพื่อนบิดามารดาเจ้า!”
หวังทงยิ้มกล่าว ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่รีบพากันกล่าวขอบคุณ ได้เห็นภาพเมื่อครู่ทำให้หวังทงรู้สึกดี เดินวนรอบจวนได้รอบหนึ่งก็เข้าไปเรือนด้านใน
พอเข้าไปด้านใน ก็พอดีกับหานเสียนำจางหงอิงและบรรดาผู้หญิงกำลังลาดตระเวนดู ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยเองก็ก้มหน้าเดินตามอยู่ พอเห็นพวกนาง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“พวกเจ้าลำบากเดินทางมาแล้ว กลับเข้าห้องไปพักผ่อนให้ดีๆ คืนนี้พวกเจ้าฉลองปีใหม่กันเอง ข้ามีธุระ”
สตรีทั้งหมดพากันคำนับพร้อมเพรียง ตามหลักธรรมเนียมในจวนแล้ว สถานการณ์ตอนนี้มีแต่ภรรยาหลักอย่างหานเสียจึงมีสถานะพอจะกล่าวกับหวังทง คนอื่นๆ หากแทรกขึ้นถือว่าเสียมารยาท
หานเสียคำนับแล้วเดินมาด้านหน้าหวังทง ยิ้มกล่าวว่า
“นายท่าน ไปทำงานของท่านเถิด พวกเราพี่น้องฉลองปีใหม่ด้วยกันก็ไม่เหงาแล้ว”
“หากข้าวของใช้ในห้องกับคนใช้ไม่พอ ที่นี่เป็นที่เรา หากมีอันใดต้องการใช้แล้วไม่พอ ก็ไปบอกตระกูลถาน”
“นายท่านวางใจ ที่นี่ข้าวของใช้ครบครัน ส่วนเรื่องสาวใช้ปรนนิบัติพวกนี้ก็เป็นพวกทาสชาวนาที่เป็นชาวฮั่น ของใช้ในห้องก็ครบครัน ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป”
หานเสียขมวดคิ้วกล่าวประโยคสุดท้าย แม้ว่าอยู่ร่วมกันมานาน แต่หวังทงก็รู้ว่าหานเสียเป็นเด็กรู้ประหยัด อย่างไรก็เคยมีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน จางหงอิงก็ช่วยงานนางหม่ามาหลายปี ก็ละเอียดรอบคอบ ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ อดไม่ได้ยิ้มถาม หานเสียตอบว่า
“ในห้องนี่กับห้องรับแขกล้วนเป็นพรมชั้นดี เห็นลายและฝีมือทอแล้ว เมืองหลวงและเทียนจินก็คงราคาหลายร้อยถึงหลายพันตำลึง ของใช้ในห้องก็ล้วนเป็นเครื่องเงินและทอง หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ จะตัดทอนวาสนา…”
หวังทงได้ยินกลับอดหัวเราะไม่ได้ ยกมือลูบท้ายทอยหานเสียเบาๆ แม้ว่าเป็นสามีภรรยา แต่หวังทงก็โตกว่าหานเสียมาก อายุมากกว่าหลายปี การกระทำเช่นนี้แสดงถึงความสนิทสนมไม่สู้กล่าวว่าเป็นท่าทีต่อเด็กจะดีกว่า การกระทำเช่นนี้หานเสียไม่หลบ หากหน้าแดงก่ำ กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านพี่ พี่น้องเรายังอยู่ตรงนี้นะ!”
จางหงอิง ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยพากันยิ้ม ทำเป็นเสมองทางอื่น หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าพรมนี่ราคาสูง แต่ที่นี่กลับเป็นของปกติที่ใช้กันในชนชั้นสูง หากซื้อที่นี่ก็แค่สิบถึงร้อยตำลึง ยังมีพวกเครื่องเงินและทองพวกนี้ เจ้ารู้ไหม เครื่องกระเบื้องเคลือบนี่ที่นี่ราคาเท่าไร ราคาเท่าเครื่องเงินและทอง พวกเขาไม่ใช้เครื่องกระเบื้องเคลือบกับเครื่องทองแดง แต่ใช้เครื่องเงินและทอง”
หานเสียย่อมไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน พอหวังทงกล่าวเช่นนี้จึงได้เข้าใจ หวังทงกล่าวต่อว่า
“พวกทุ่งหญ้านอกด่านสร้างเมืองเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร มีจวนเช่นนี้ได้อย่างไร ข้างในยังมีเงินทองมากมายเช่นนี้อีก ก็เพราะการค้า ของราคา 10 ตำลึงที่นี่ ไปขายแผ่นดินหมิงก็ขายได้พันตำลึง ของแผ่นดินหมิงเองก็เช่นกัน ไปมาระหว่างกันย่อมทำกำไรประมาณมิได้”
บรรดาภรรยาหวังทงฟังแล้วก็เหมือนเข้าใจเหมือนไม่เข้าใจ หวังทงกล่าวจบ ก็คุยกับภรรยาทั้งหลายอีกสองสามคำ ก่อนจะไปยังห้องรับแขกด้านหน้า ถานเจียงกับเถ้าแก่ร้านสามธารากำลังรออยู่
ไปคุยเรื่องการค้าที่นั่นสักพักก็กลับมา นำเอกสารปึกหนึ่งกลับมาด้วย ล้วนเป็นสถิติที่ร้านสามธารารวบรวมมา ยังมีรายงานลับที่ส่วนภายในร้านสามธาราเก็บรวบรวมข่าวจากที่ต่างๆ บนทุ่งหญ้า ถานเจียงเองก็มีเรื่องราวของขบวนพ่อค้าผู้คุ้มกัน มีเอกสารมารายงานเช่นกัน
จวนพักชนชั้นสูงเผ่าอันต๋า ห้องรับแขกและห้องนอนล้วนวางแบบแปลนตามจวนชนชั้นสูงแผ่นดินหมิง เพียงแค่ไม่มีห้องหนังสือ หากมีห้องเก็บอาวุธแทน หวังทงนั่งอยู่ในห้องรับแขก พลิกอ่านเอกสารไปทีละหน้า กำลังอ่านอยู่นั้น ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ก็แอบเข้ามา พอมาถึงก็ยิ้มประจบก่อนจะคำนับ จากนั้นกล่าวว่า
“นายท่าน ที่นี่ด้านนอกแม้จะหนาว แต่ในห้องกลับอบอุ่นมาก สบายกว่าที่หนานจิงอีก”
ฤดูหนาวทางใต้ในห้องหนาวชื้น ส่วนมากก็อาศัยถ่านในเตาไฟหรือกระถางไฟให้ความอบอุ่น ไหนเลยจะเทียบได้กับกำแพงไฟและมังกรดินให้ความอุ่นจากใต้ดินนี้ได้
หวังทงชอบไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่ร่าเริงเช่นนี้ พอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็วางเอกสารลงยิ้มถามขึ้น
“ชินแล้วยัง?”
“แห้งไปหนาวไป ใบหน้าแตกหมดแล้ว นายท่านดูสุขภาพท่านเองก็ฟื้นคืนไม่น้อยแล้ว พวกเราจะกลับไปเมื่อไรกันหรือ!”
เพราะไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เข้าร่วมขบวนการแสร้งป่วย ดังนั้นึได้ถามเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงเรียกว่าเสียมารยาท หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“กลับไป? ไม่รู้ว่าตอนไหนเหมือนกัน กว่าจะได้มา ต้องอยู่ให้นานสักหน่อย”
*****************
แม้ว่าหวังทงไม่ไปยังวังข่านเดิม แต่เมิ่งตั๋วกับพวกระดับหัวหน้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับหวังทงที่พื้นที่วังข่านเดิม อย่างไรที่นี่ก็มีพื้นที่ว่างดูดีพอ มีพื้นที่ครัวกว้างพอ
หวังทงมาถึง เมิ่งตั๋วนำหวังทงไปเดินรอบครัวรอบหนึ่ง ควรค่าแก่การชม พื้นที่ว่างหน้าครัว มีอูฐตัวหนึ่งกำลังถูกย่างบนราวเหล็ก พ่อครัวหลายคนใช้เครื่องปรุงสาดไปบนอูฐที่ย่างอยู่ กลิ่นหอมอบอวล
“ได้เชิญพ่อครัวมาจากเมืองต้าถง ท่านโหวมาเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็ต้องได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสทุ่งหญ้านอกด่านจึงจะได้”
เมิ่งตั๋วยิ้มกล่าว