องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 879 งานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่า
อูฐย่างเป็นอาหารชั้นเลิศจากแดนซีอวี้ตะวันตก ไม่ได้พิถีพิถันอันใด แต่อูฐตัวหนึ่งย่างบนกองไฟ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และอูฐนี้ยังปรุงแบบโบราณ ในท้องอูฐยัดแพะย่างไว้ ในท้องแพะยัดไก่ย่างไว้ เป็นชั้นๆ ไป
บัณฑิตไม่ย่างกรายเข้าห้องครัว แต่เมิ่งตั๋วนำหวังทงมาดู ก็เพื่อดูความแปลกใหม่ เรียกได้ว่ามาชมบรรยากาศ สงครามวันนั้นหลังจากยึดวังข่านมาได้ ก็นำกำลังรักษาความสงบทั่วเมือง ไม่ได้มีจิตใจคิดท่องเที่ยว วันนั้นวังข่านถูกยิงถล่มไปหลายจุด ยังเป็นจุดที่สังหารกันดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ผู้ใดจะมีใจคิดเที่ยวชมเพลิดเพลิน
มาถึงตอนนี้ ในวังนอกจากซากปรักหักพังที่ถูกขนย้ายออกไป ซ่อมแซมใหม่ ปรับพื้นที่ราบ กลับคืนสภาพวันวานอันสวยงามไม่น้อย
ข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกสร้างวังนี้นั้น ก็เลียนแบบแผ่นดินหมิง ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงมาเติมความเป็นซีอวี้ภายหลัง แม้ว่าส่วนใหญ่เหมือนกับพระราชวังต้องห้ามปักกิ่ง แต่ไม่อาจเทียบกันได้ แม้แต่พระราชวังที่หนานจิงก็ยังแทบไม่อาจเทียบได้ แต่หากจะเรียกว่าจวนคหบดีชั้นสูงก็น่าจะได้
ยามนี้รักษาการแน่นหนา แต่ละจุดล้วนมีกองหิมะขาวโพลนหนาคลุมไปหมด ทว่าทิวทัศน์ประเทศตอนเหนือกับสวนแห่งนี้ผสมผสานกันได้น่าดึงดูดยิ่ง
เมิ่งตั๋วนำทาง หวังทงเดินชมภายใต้การคุ้มกัน แต่ก็ผ่อนคลายยิ่ง นำหวังทงเข้าเมืองมายังไม่อาจคุยงานได้ ตลอดทางเดินมาอย่างเพลิดเพลิน จึงได้พอคุยสักเรื่องสองเรื่อง
เมืองกุยฮว่าเฉิงรอบๆ เป็นพื้นที่นาดีหลายแสนหมู่ เดิมเป็นชาวนาที่เป็นชาวฮั่นถูกเผ่าอันต๋ากวาดต้อนมาทำนาที่นี่ มักจะหาทางหนีไม่ว่า ผลผลิตยังต่ำมาก
หวังทงยึดครองพื้นที่มาได้ เงินทองของมีค่าที่ได้มาก็แบ่งปันเป็นรางวัลให้ทหาร ส่วนหนึ่งแบ่งให้ทุกคน ส่วนหนึ่งแบ่งไปเมืองหลวง ในเมืองนอกเมืองยังมีเสบียงที่พวกนอกด่านไม่ทันเผาทำลาย เสบียงพวกนี้ก็แบ่งสรรให้ชายฉกรรจ์ที่เป็นแรงงานในนาไปตามส่วน คิดจะเพาะปลูกย่อมต้องการแรงงาน ต้องการคนที่อยู่ที่นี่จนชินแล้ว
เสบียงแจกจ่ายไป พอกินได้อิ่ม ทหารแผ่นดินหมิงที่มาใหม่ก็ดีกว่าพวกนอกด่านมาก เทียบกับเจ้าของที่บนแผ่นดินหมิงพวกนั้นก็นุ่มนวลกว่ามาก ทาสชาวนาส่วนจึงอยู่กันต่อ
อากาศตอนเหนือหนาวเหน็บ ปีหนึ่งทำนาได้แค่ฤดูเดียว กินอิ่มท้อง ไม่ต้องกังวลถูกกดขี่ ผลผลิตยังสามารถเก็บไว้เองได้ส่วนหนึ่ง พวกชาวนาก็ยิ่งกระตือรือร้น ลงแรงทำนาอย่างเต็มที่ ผลผลิตก็ย่อมไม่เลว
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ว่าจะกุมอิทธิพลเมืองกุยฮว่าเฉิงไว้ให้แน่นหนาไม่อาจใจร้อน ดังนั้นจึงให้เวลาห้าปี ภาษีเมืองกุยฮว่าเฉิงห้าปีนี้เรียกว่าแทบไม่ต้องจ่าย
จ่ายพอเป็นพิธีแค่ส่วนหนึ่งแล้วที่เหลือก็ให้ชาวนาที่นี่ได้เก็บไว้เอง พอเป็นเช่นนี้ ย่อมถึงกับมีชาวนาส่านซีรีบย้ายครอบครัวมาทันที
เถ้าแก่ร้านสามธารามองเรื่องนี้ไปไกลกว่า หลังหารือกับถานเจียง ก็ให้ถานเจียงนำเสนอกับเมิ่งตั๋ว ร้านค้าในเมืองแต่ละร้านออกหน้า รับซื้อเสบียงที่ชาวนาผลิตได้และเหลือจากความต้องการ จากทาสชาวนาให้เป็นชาวนาเกษรกร ในมือมีเหลือ ก็คิดจะมีชีวิตที่ดี ก็คิดจะกินคิดจะใช้ ก็ต้องขายทิ้งแลกเป็นเงิน อาศัยจังหวะนี้ โกดังในเมืองนอกเมืองก็เริ่มเต็มอีกครั้ง
ปริมาณสะสมเสบียงใกล้จะถึงระดับตอนก่อนออกรบ และเป็นการผลิตในพื้นที่เอง สำหรับเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับจิตใจคนแล้วก็ยังไม่กล้ารับประกันได้ แต่สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเลี้ยงตัวเองได้ ชัดเจนว่าแผ่นดินหมิงปักหลักมั่นคง ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว
“หากไม่ได้ท่านโหววางโครงใหญ่ให้รอบด้าน ข้าน้อยเองคงทำไม่ได้เช่นนี้”
เมิ่งตั๋วกล่าวอย่างซาบซึ้ง เป็นวาจาจากใจ พื้นที่ส่วนใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิงกับเงินทองเป็นของหวังทง การค้าในเมือง ยังมีกำลังทหาร มีอิทธิพลหวังทงไม่น้อย หากเรื่องพวกนี้หวังทงไม่ให้การสนับสนุน เขาไหนเลยจะทำได้
ตอนนี้สถานการณ์เมืองกุยฮว่าเฉิงดีเช่นนี้ เมิ่งตั๋วได้รับคำชมจากจางเฉิงและจางจิง โจวอี้มีจดหมายเช่นกัน หน้าตาเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางอนาคตประมาณไม่ได้
*****************
งานเลี้ยงไม่ได้มีอันใดพิเศษ เป็นแนวบรรยากาศแบบทุ่งหญ้า ในห้องโถงใหญ่ปูพรมหนา จัดเรียงเป็นโต๊ะเตี้ยๆ ทุกคนนัดขัดสมาธิกับพื้น
หวังทงนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า สถานะถานเจียงในเมืองกุยฮว่าเฉิง ห้องโถงนี้ย่อมมีที่นั่งเขา ทว่าถานเจียงกลับปฏิเสธ บอกว่าต่อหน้าหวังทงไม่อาจนั่งได้ ยืนปรนนิบัติก็พอ ดังนั้นถานเจียงจึงยืนด้านหลังหวังทง ราวกับทหารอารักขา
การจัดแต่งในห้องโถงก็ทำตามแบบซีอวี้ ที่นั่งหวังทงกับด้านซ้ายและขวามีที่ว่างไว้ ตอนงานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้นดึงม่านปิดไว้ หวังทงด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้อย่างง่ายดาย
ก่อนเริ่มงาน พวกแขกที่มีคุณสมบัติพอในเมืองก็มาร่วมงาน ขุนพลทหารในหลายหน่วยรวมทั้งขุนนางกรมอากร
หวังทงเคยพบ พวกเขานอบน้อมเข้ามาคำนับ
แขกที่เข้ามาด้านหลังล้วนเป็นพ่อค้าเก่าแก่ชาวฮั่นที่ร่ำรวยในเมือง ต่อมาได้กลายเป็นพ่อค้าใหญ่ ยังมีหัวหน้าเผ่าเล็กต่างๆ ก่อนหน้านี้เมิ่งตั๋วได้เคยบอกกับหวังทงไว้แล้ว รู้สึกละอายเล็กน้อยกล่าวว่า
“…ที่นี่ไม่รับระบบเจ้าผู้ปกครองมานาน ไม่ค่อยมีธรรมเนียมมารยาทเท่าไร ถึงตอนนั้นขอท่านโหวโปรดอภัย”
คนพวกนี้แสดงออกเหมือนกับที่เมิ่งตั๋วว่าไว้ แต่ละคนคุยกันเสียงดังโหวกเหวก เอะอะอย่างมาก เรื่องนี่เถ้าแก่ร้านสามธาราเมื่อวานก็มีบอกไว้แล้ว เพราะว่าคนใหญ่คนโตเมืองกุยฮว่าเฉิงมีกองกำลังของตนเอง กองกำลังพวกนี้ก็เป็นผู้คุ้มกันยามเดินทางค้าขายของพวกเขา และหากยามเมืองเกิดเหตุก็สามารถดึงเอาไปป้องกันประเทศได้
ระบบการจัดการเช่นนี้ทำให้ทุกคนล้วนมีความคิดหนึ่งว่า พวกเขาเป็นเจ้าของเมืองกุยฮว่าเฉิง แม้แต่ในวังส่งขันทีมาก็ยังต้องอาศัยพวกเขาจึงจะยืนหยัดอยู่ได้ ทำให้ยากที่จะไม่ให้คนเหล่านี้ไม่เห็นผู้ใดในสายตา
บรรดาพ่อค้าจากมณฑลซานซีทักทายปราศรัยกัน ท่าทางการวางตัวราวกับคนชั้นสูง พ่อค้าชาวฮั่นในพื้นที่ก็ส่งเสียงสนทนาเอะอะดัง พอเห็นพ่อค้าซานซีก็ให้ความเกรงใจมาก พวกพ่อค้ามองโกลกับซีอวี้ที่เข้ามาทีหลัง แม้ว่าท่าทางไม่สุภาพนัก แต่พอเห็นพ่อค้าชาวฮั่นก็ยังต้องระมัดระวังตน
พวกเขาแยกแยะชนชั้นตนเองได้ด้วย พวกขุนนางกรมอาการและพวกขุนพลทหารในห้องโถงใหญ่กลับทำตัวตามสบายมาก ดูเหมือนไม่ยี่หระกับคนตรงหน้าสักเท่าไร
เห็นบรรดาแขกเหรื่อมากันเกือบครบแล้ว เมิ่งตั๋วก็พยักหน้าบอกหวังทง ยิ้มปรบมือ สาวใช้เปิดม่าน ใช้ขอเกี่ยวแขวนไว้บนเสาสองข้าง
ในห้องโถงใหญ่คนที่รู้จักกันทักทายกันหัวเราะกันไปมา เอะอะมาก ยามนี้กลับมีคนเห็นถานเจียงยืนด้านหลังหวังทงคนพวกนี้ใหญ่โตในเมืองกุยฮว่าเฉิงมานาน รู้ว่าชนชั้นสูงแผ่นดินหมิงไม่เท่าไร หวังทงยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ล้วนเป็นข่าวที่ลือกันมา
ในใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกเคารพหวังทงมากนัก แต่คนพวกนี้กลับรู้ว่าถานเจียงคือใคร ตามธรรมเนียมการทหารแผ่นดินหมิง ถานเจียงก็คือขุนนางบู๊คุ้มกันเมืองกุยฮว่าเฉิง เขามีกำลัง ให้การสนับสนุนกองกำลังคุ้มกันร้านสามธารา นี่เป็นกองกำลังที่เก่งกล้าเข้มแข็งที่สุด เขายังมีอำนาจสั่งการรวมกำลังผู้คุ้มกันของร้านค้าต่างๆ ได้ด้วย หากไม่ได้มาตรฐาน ก็จะไม่ให้เป็นผู้คุ้มกันการค้าต่อ และสถานะถานเจียงกับพี่น้องก็เรียกได้ว่ามีความสามารถแท้จริง
บรรดากลุ่มผู้คุ้มกันที่ร้านค้ารับมานั้น นอกจากทหารปลดประจำการแล้ว ก็ล้วนได้มาจากพวกที่สนิทกันบนแผ่นดินหมิงมา หรืออาจมีบ้างที่เป็นชาวทุ่งหญ้านอกด่าน ที่มาหลากหลาย แต่ก็เรียกได้ว่ามีฝีมือเก่งกล้า
พวกมีฝีมือมารวมกันก็ต้องประลองฝีมือ มีคนคิดว่าถานเจียงอายุเลย 50 แล้ว และยังมีพี่น้องอายุ 30-40 อีก น่าจะไม่เท่าไร จัดการกำราบพวกเขาได้ ตนเองก็จะได้มีสถานะในเมืองแห่งนี้ ได้เข้าแทนที่พวกเขา
ทว่าพอมาหาเรื่องก็ถูกทหารสูงวัยพวกนี้จัดการจนไม่เป็นท่า ตัวต่อตัวสู้กัน ก็ยังไม่เป็นท่า พ่ายแพ้ไม่เป็นขบวน นอกจากนี้ถานเจียงยังฝึกกำลัง นำผู้คุ้มกันออกปราบโจร ล้วนมีชื่อเสียงว่าเก่งกล้า บารมีนี้ค่อยๆ สั่งสมขึ้นมา
ไม่รู้ว่าหวังทงสถานะใด แต่พอเห็นถานเจียงทำตัวเหมือนองครักษ์ยืนคุ้มกันด้านหลังหวังทง ทุกคนก็ย่อมรู้ว่าเป็นผู้ไม่ธรรมดา
เสียงเอะอะในห้องโถงใหญ่ค่อยๆ เงียบลง พ่อค้าชาวฮั่นในพื้นที่พากันรีบเดินอ้อมจากโต๊ะเตี้ยออกมา ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มาก พากันคุกเข่าลงบนพรม โขกศีรษะด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุดกล่าวว่า
“ข้าน้อยคำนับแม่ทัพใหญ่”
เมิ่งตั๋วข้างๆ ยิ้มกล่าวแทรกขึ้นว่า
“ตอนนี้ใต้เท้าหวังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทัพแล้ว ควรเรียกท่านโหว”
“หนิวเกินกัง พานเซิ่งไฉ เถียนต้าเชียน การค้าพวกเจ้าเป็นอย่างไร?”
หวังทงยิ้มถาม พวกพ่อค้าชาวฮั่นพอได้ยินหวังทงเรียกชื่อพวกเขาได้ ก็ยิ่งตื้นตัน โขกศีรษะตอบกล่าวว่า
“ด้วยบารมีท่านโหว การค้าพวกข้าน้อยล้วนราบรื่นดี ตอนนี้ทำการค้าไปถึงทะเลทรายตอนเหนือและถู่ฟานแล้ว หากไม่มีท่านโหว พวกข้าน้อยจะมีวันนี้ได้อย่างไร”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ในห้องโถงใหญ่ยิ่งเงียบ ทุกคนนับว่ารู้แล้วว่าคนที่มาคือผู้ใด พ่อค้าใหญ่ชาวฮั่นในพื้นที่ไม่แน่ว่าจะมีเงินมากกว่าพ่อค้าที่มาจากมณฑลซานซี แต่กำลังนั้นเรียกได้ว่าพอตัว ทหารส่วนตัวก็มี ตอนนี้มีขบวนผู้คุ้มกันนับพัน มาถึงทุ่งหญ้านอกด่าน หัวหน้าเผ่าเล็กเห็นพวกเขายังต้องนอบน้อม พูดจาอันใดในเมืองก็มีน้ำหนัก แม้แต่เมิ่งกงกงยังต้องไว้หน้า
คนเช่นนี้ ต่อหน้าหวังทงยังต้องโขกศีรษะหมอบกับพื้น เหมือนว่าเป็นดังบ่าวรับใช้ ในห้องโถงใหญ่เงียบลงก่อน จากนั้นก็ไม่รู้ใครเป็นนำ ทุกคนพากันเข้ามาคุกเข่าโขกศีรษะ
*****************
ยามนี้ในห้องโถงใหญ่ไม่ได้เสียงดังเอะอะเหมือนเมื่อครู่ หากเงียบมาก ทุกคนล้วนนั่งประจำที่เรียบร้อย
งานเลี้ยงเริ่ม อูฐย่างถูกแบกเข้ามา เมิ่งตั๋วยิ้มเดินไปด้านห้า ใช้มีดเฉือนเนื้อคอมาชิ้นหนึ่ง วางใส่จานเงินส่งให้หวังทง ทุกคนยกจอกสุราคำนับ นี่เป็นพิธีการต้อนรับแขกสูงศักดิ์ จากนั้นก็ค่อยตัดเนื้อแบ่งให้แขกคนอื่นๆ
สุราลงคอไปสองสามจอก บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้นมา มีคนนำวาจามาบอกแก่เมิ่งตั๋ว เขาฟังแล้วก็ยิ้มกล่าวกับหวังทงว่า
“ทุกคนในเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ขอให้ท่านโหวกล่าวอะไรสักหน่อย ขอเชิญท่านโหว…”
หวังทงยิ้มพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ยกจอกขึ้นกล่าวว่า
“ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ขอเพียงไม่ลงมือกันเอง ที่เหลือที่แย่งมาได้ก็ล้วนเป็นของพวกเจ้า!”