องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 881 เมาสุรา
ในเมืองก็จะมีตลาดขายสินค้าปล้นมาโดยเฉพาะ กำลังในเมืองกุยฮว่าเฉิงจะรวมตัวกันให้การช่วยเหลือและคุ้มครอง เมืองกุยฮว่าเฉิงจะคุ้มครองบรรดาพ่อค้าเอง
จ่ายต้นทุนมาสามส่วนก็ได้ของที่ปล้นไปทั้งได้รับเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่ไม่ว่าพ่อค้าจากที่ใด ไม่ว่าฮั่นหรือต่างเผ่า ในเมื่อเป็นพ่อค้าย่อมคิดกำไรขาดทุนได้ เงื่อนไขเช่นนี้ทุกคนล้วนพอใจ
บรรยากาศที่เย็นเยียบก็เริ่มคึกครื้นขึ้นอีกครั้ง เถ้าแก่ร้านสามธารา ร้านจิ้นเหอและร้านหย่งเซิ่งที่เป็นร้านค้าอันดับต้นๆ อย่างไรก็ต้องเข้ามาโขกศีรษะชนจอกสุราคารวะหวังทง หวังทงดื่มไปคำหนึ่ง
อย่าเห็นว่าแค่คำหนึ่ง นี่เรียกว่าให้หน้ามากแล้ว ขุนนางและพ่อค้าในเมืองทยอยกันออกมาคำนับชนจอกสุรา หวังทงรับอย่างนุ่มนวล จิบไปหน่อยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ
ใต้เท้าผู้ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่ดื่มสุรากับตน ในเมืองทุกคนต่างตื้นตัน บรรดาพ่อค้าฮั่นยังรู้จักหนักเบา แต่พวกไม่ใช่ชาวฮั่นกลับดื่มเอาเป็นชามๆ
บรรยากาศยิ่งคึกคัก หวังทงนั่งคุยกับเมิ่งตั๋วและคนอีกสองสามคน คนอื่นๆ ที่เหลือพากันเสียงดังโวยวาย เมิ่งตั๋วขมวดคิ้วมองพวกที่ส่งเสียงดัง อธิบายเบาๆ ว่า
“ตอนข้าน้อยเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็ยังงงอยู่ว่าพวกต่างเผ่าพวกนี้ดื่มมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เอาชีวิตกันแล้วหรือ นี่ก็ครึ่งปีมาแล้ว ดื่มสุราตายไปไม่ต่ำกว่าห้าคน ต่อมาพอถามจึงได้รู้ว่า คนพวกนี้ปกติดื่มแต่สุรานมม้า รสเปรี้ยวขื่นลิ้นมาก สุราแผ่นดินหมิงเราเมื่อก่อนมีแต่ข่านและชนชั้นสูงเท่านั้นจึงมีโอกาสแตะต้อง ตอนนี้กลับปล่อยให้ดื่มกันตามสบาย แต่ละคนเลยดื่มกันสุดชีวิต”
หวังทงเริ่มมึน ยิ้มกล่าวว่า
“เมิ่งกงกง สุราดีพวกนี้ก็ขายให้พวกเขาถูกหน่อยได้ แต่เสบียงอาหารต้องราคาสูง ระเบียบกฎเกณฑ์ต้องเข้มงวด ให้สิทธิพิเศษชาวฮั่น เข้มงวดพวกนอกเผ่า แต่ก็อย่าได้เอนเอียงเกินไป”
เมิ่งตั๋วงงเล็กน้อย ถานเจียงยิ้มอธิบายเบาๆ ว่า
“สุราดื่มแล้วเสียสุขภาพกายและใจ ดื่มมากไปไม่อาจขี่ม้า ไม่อาจถือดาบ ก็คือไม่อาจเป็นภัย เสบียงกลับไม่อาจปล่อยให้เก็บไว้ได้มาก ดังนั้นจึงต้องควบคุม”
เมิ่งตั๋วเข้าใจทันที หรี่ตายิ้มร่า ทว่าก็ยังงงอีกว่า
“ท่านโหว ก่อนมา มีคนกำชับมาว่า ที่นี่แต่ละเผ่าวุ่นวาย เผ่าไม่น้อยเข้ามาอยู่กันใหม่ๆ ต้องให้การดูแล แสดงให้เห็นถึงความเมตตาแผ่นดินหมิง แต่พวกชาวฮั่นที่นี่หนีมาจากแผ่นดินหมิง เป็นพวกนอกกฎหมาย ต้องจัดการกำราบ เป็นหลักการดังนี้”
“เหลวไหล!!”
เมิ่งตั๋วกล่าวจบ หวังทงกำลังกรึ่มด้วยฤทธิ์สุรา อารมณ์ไม่อาจควบคุมได้ง่าย ตำหนิออกไปพลางเขวี้ยงจอกสุราลงพรม ดีที่รู้ว่าต้องบังคับเสียงให้เบา มีแต่คนใกล้ๆ ได้ยินกันไม่กี่คน ทว่าก็เป็นคนกันเอง ถานเจียงโบกมือให้พวกเขาว่าไม่ต้องสนใจทางนี้
“เมิ่งตั๋ว ข้ายกตัวอย่าง หากพวกนอกด่านส่วนใหญ่มาโจมตีเมืองเรา พวกชายชาวฮั่นในเมืองพึ่งพาได้หรือว่าพวกนอกเผ่าพวกนี้ด้วย เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าพึ่งพาสิ่งใด จะทำเรื่องบัดซบกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้อย่างไร”
หวังทงแต่ไรมาก็เกรงใจเมิ่งตั๋วอยู่ เมิ่งตั๋วเรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ เขาเองก็เรียกว่าเมิ่งกงกง ตอนนี้กลับทำเหมือนนายตำหนิบ่าวผู้น้อย เมิ่งตั๋วสีหน้าขาวแดงสลับไป ทั้งหวาดกลัว ทั้งวางตัวไม่ถูก ถานเจียงกระแอมไอ เข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน ชาวฮั่นในเมืองนอกเมือง มีใจฝักใฝ่พวกนอกด่านไม่น้อย แต่ชาวเผ่าอื่นในเมือง กลับมีไม่น้อยที่มีความแค้นกับเผ่าอันต๋า ดังนั้นพวกที่พึ่งพาได้จึงเป็นชาวนอกเผ่า”
หวังทงนิ่งส่ายหน้า ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ดังนั้นที่พวกเจ้าต้องทำก็คือส่งคนออกไปปล้นไม่หยุด ออกไปสังหารพวกเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน ให้คนในเมืองกุยฮว่าเฉิงเปื้อนเลือดชาวทุ่งหญ้านอกด่าน ให้พวกเขานอกจากพึ่งพาแผ่นดินหมิงแล้ว ไม่อาจพึ่งพาใครได้อีก เช่นนี้พวกเขาก็ย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเจ้า!”
เมิ่งตั๋วเริ่มนั่งตัวตรง หวังทงยังกล่าวต่อว่า
“ในเมืองแต่ละเผ่านั้นเหมือนกัน คิดจะให้พวกเราวางใจ ก็ต้องออกไปสังหารวางเพลิงก่อน ให้รายงานชื่อมา ให้ลูกของพวกเขาอยู่ร่วมกับเด็กชาวฮั่น สวมชุดชาวฮั่น พูดภาษาฮั่น ออกรบเพื่อเรา เช่นนี้จึงจะวางใจได้”
เมิ่งตั๋วจมอยู่ในภวังค์ความคิด หวังทงยกมือตบบ่าเมิ่งตั๋ว กล่าวว่า
“อย่าไปเอาพวกบัณฑิตเรียนแต่ตำรามาเป็นแบบอย่าง เจ้าอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง ที่ต้องทำก็คือจัดการที่นี่ให้ดี สยบทุกฝ่ายให้ได้ วันนี้ทุกปีเก็บเสบียงเงินทองได้ ให้กองทัพมีที่นี่เป็นฐานกำลังรบตะวันออกตะวันตกข จัดการได้ดี ก็ถือเป็นความชอบเจ้า วันหน้าย่อมได้เป็นขันทีใหญ่สำนักอาชาหลวงหรือไม่ก็สำนักส่วนพระองค์ นี่คือที่สร้างตัวของเจ้า!!”
พูดอันใดก็เหมือนว่างเปล่า แต่กล่าวถึงตรงนี้ ในตาเมิ่งตั๋วกลับส่องประกายแรงกล้า สำหรับขันทีแล้ว ชีวิตนี้อย่างไรก็คิดอยากก้าวสู่สำนักส่วนพระองค์ไม่ก็สำนักอาชาหลวง เป็นจุดสูงสุดของพวกเขา
เมิ่งตั๋วพยักหน้าอย่างแรงกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านโหวที่สอนสั่ง ข้าน้อยจะจดจำไว้”
“แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้มา แผ่นดินหมิงใต้หล้าก็เอาแต่หัวหด ทางเหนือกับดินแดนริมแม่น้ำก็เอาแต่ยอมถอย พวกนอกด่านพวกนอกเผ่าได้แต่เอาเปรียบเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้ในมือพวกนอกด่านได้แผ่นดินไปครองส่วนหนึ่งแล้ว เจ้าต้องป้องกันให้ดี คุณธรรมเมตตาธรรมใด เป็นเรื่องเหลวไหลของบัณฑิต ไม่มีอาวุธ ไม่มีราษฎร ไม่มีแผ่นดิน อะไรก็ล้วนว่างเปล่า”
หวังทงดื่มไปมาก มือก็เอาแต่ตบบ่าเมิ่งตั๋ว วาจาเขานั้น เมิ่งตั๋วฟังไปก็เริ่มเก้อเขินกับท่าทางการแสดงออกของหวังทง ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กับถานเจียง
ก่อนหน้านั้นหวังทงเขวี้ยงจอกสุราลง แม้คนอื่นๆ จะคุยกันต่อ แต่ก็มีคนเริ่มหันมาเหล่ตามองทางหวังทง รอดูว่าหวังทงดื่มมากไปแล้วจะออกอาการอันใดบ้าง ทุกคนรู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น บรรยากาศเริ่มคึกคักมากยิ่งขึ้น
เถ้าแก่ร้านสามธาราที่นี่ ยังมีเถ้าแก่จากร้านหย่งเซิ่งและร้านจิ้นเหอ คุ้นเคยกับทางเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว มีคนดื่มมากไปแล้วก็ทำเป็นบ่นทีเล่นทีจริง ล้วนรู้ว่าการค้านี้เกี่ยวข้องกับหวังทง กล่าววาจาพวกนี้ไม่ใช่เพื่อหาเรื่องก่อกวน แต่เพื่อดูว่าจะไปถึงหูหวังทงหรือไม่
“…พี่น้องเรายากลำบากเสี่ยงภัยมา ท่านโหวคำเดียวหายไปสามส่วน ช่าง…”
กล่าวไม่ทันจบ เถ้าแก่ร้านสามธาราตัดบทไม่เกรงใจน้ำเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“ท่านโหวให้เจ้าทำฟรีหนึ่งปี ก็ไม่ใช่เรื่องทำไม่ได้ อย่าได้ไม่รู้จักพอ!”
ประโยคเดียวอุดปากทุกคนไว้ แม้ว่าดื่มมาก แต่ค่อยๆ ได้สติ ก็คิดว่าเป็นเหตุผลที่สมควร หากหวังทงตั้งกฎเริ่มแรกที่เก็บภาษีสามส่วนแต่ต้น ทุกคนก็ได้แต่ยอมรับ ตอนนี้ให้เวลามามากเพียงนี้ เรียกได้ว่าเป็นความเมตตามากพอแล้ว
วาจานี้ค่อยๆ แพร่ออกไป ในใจทุกคนที่ไม่ยินยอมก็เริ่มหมดไป เริ่มดื่มกันอย่างสบายใจ มีคนดื่มมาก ส่งเสียงร้องเพลงดังลั่นบนพรม ทุกคนพากันหัวเราะฮาลั่น
ยามนี้ เสียงปืนใหญ่ด้านนอกดังขึ้น คนด้านนอกตะโกน สาวใช้ก็ยกเกี๊ยวบนจานเงินเข้ามา ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่จบไป ปีที่ 13 รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มต้นแล้ว
*****************
เมืองกุยฮว่าเฉิงอากาศหนาวเหน็บไม่ว่า เมืองหลวงเดือนหนึ่งอากาศก็หนาวเช่นกัน พระสนมเอกเจิ้งประสูติพระโอรสได้ครบเดือน นับว่าร้อยวันก็คือปลายเดือนหนึ่ง
ตามหลักการของสมัยนี้ ทารกผ่านร้อยวันก็เรียกได้ว่ามีชีวิตรอดต่อไปได้ โดยเฉพาะในวังดูแลดี อาหารและยารักษาชั้นยอด ย่อมเป็นหลักประกันได้
เดือนหนึ่งอีกแล้ว มีพระโอรสอีกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่อยากทำบรรยากาศเฉลิมฉลองให้เหมือนชาวบ้าน ที่จริงแล้วเมืองหลวงคึกคักอยู่มาก เพราะหลายโรงงิ้วพากันแสดงหมุนเวียนกันไปไม่หยุด
ตอนนี้ยังต่างจากเดิม โรงงิ้วตอนนี้บางโรงแสดงเรื่องลูกกตัญญูมีความสามารถหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันกับพี่คนโตหรือน้องเล็กนั้น บางโรงแสดงว่าพอไม่เป็นไปตามลำดับอายุ ก็ทำให้เกิดเภทภัยต่างๆ
บางโรงบทงิ้วแต่งบทหยาบมาก เล่นได้ไม่กี่วันก็ไม่มีผู้ชมอีก แต่ยังคงแสดงต่อ สาเหตุก็เพราะไม่ได้อาศัยอยู่รอดด้วยตั๋วชม หากมีคนอยู่เบื้องหลังให้การสนับสนุน ทว่าพวกบัณฑิตก็คิดบทได้ไม่เลว ไม่ว่าบอกว่าพี่คนโตหรือน้องคนเล็กไม่สำคัญ หรือคนโตหรือน้องคนเล็กนั้นสำคัญ ก็ล้วนเป็นงิ้วที่แสดงได้น่าชมไปหมด ยังมีคนเขียนท่อนร้องได้ดี เมืองหลวงจึงได้มีตัวเอกหลายตัวที่โดดเด่นในยามนี้
หลัง 15 เดือนหนึ่ง แต่ละหน่วยงานก็เริ่มทำงานกันปกติ แต่บรรยากาศปีใหม่ที่ผ่านมาทำให้ทุกคนอย่างผ่อนคลายก็ยังคงอยู่ หลายหน่วยงานเลิกงานกันก่อนเวลา ไปดื่มสุรากันในหมู่เพื่อนขุนนางด้วยกันที่ร้านสุราไม่ก็จวนผู้ใดสักผู้หนึ่ง
เขตบูรพามีคนรวยมาก สามารถมีบ้านเรือนพักในเขตบูรพาย่อมเป็นขุนนางที่กระเป๋าอู้ฟู่ หรือไม่ก็สถานะสูงส่ง แต่อู๋จั้วไหล ตำแหน่งซือเย่แห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนผู้มีหน้าที่ดูแลการเรียนและการสอบขุนนางกลับเป็นข้อยกเว้น
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเรียกได้ว่าเป็นงานที่ควรจะมือสะอาดยิ่ง นอกจากรับของขวัญจากศิษย์แล้ว ก็ไม่มีเงินใต้โต๊ะใดอีก ซือเย่ก็เป็นตำแหน่งขุนนางระดับหกรับเบี้ยหวัดก็พอแค่ตนเองกินอิ่ม เลี้ยงดูครอบครัวคงไมได้ จะมีจวนใหญ่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
หากอู๋จั้วไหลผู้นี้ไม่เพียงแต่มีจวนเป็นเรือนสามชั้น ยังมีภรรยาน้อยหลายคน บ่าวรับใช้ไม่น้อย ว่ากันว่านอกเมืองยังมีโรงบ้าน มีร้านค้าที่เทียนจินอีก เรื่องไม่เหมือนปกติเช่นนี้ทุกคนเห็นกันจนชิน
ทว่าลองไปสืบให้ดีก็รู้ได้ อู๋ซือเย๋นี้เป็นลูกศิษย์ของเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ตั้งแต่จางซื่อเหวยป่วยจากไป เมืองหลวงที่เคยเป็นพวกจางซื่อเหวยก็แตกกระจัดกระจาย เหมือนเช่นมังกรไร้หัว ผู้ใดสถานะขุนนางสูงก็ย่อมได้เป็นผู้นำ
เทียบกับอำนาจอิทธิพลแล้ว ผู้ใดคุมคนได้มาก็มีอิทธิพลมาก นั่นก็คือเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ศิษย์คนสนิทอย่างอู๋จั้วไหลก็พลอยได้ขึ้นตามน้ำไปด้วยดังเรือลอยตามน้ำขึ้น สถานะไม่เหมือนเดิม
วันที่ 18 เดือนหนึ่ง ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 13 หน้าจวนอู๋จั้วไหล ซือเย่แห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนมีรถม้าจอดอยู่ ว่ากันว่าเป็นงานเลี้ยงของท่านอู๋ซือเย่เชิญพวกรุ่นอายุคราวเดียวกัน ก็น่าจะเป็นพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทั้งหลายมารวมตัวกัน
ในห้องโถงมีห้าคนนั่งล้อมอยู่บนโต๊ะกลม สวมชุดยาวแบบบัณฑิต อู๋จั้วไหลปีนี้ 35 หน้าตาสะอาดสะอ้าน นั่งถอนหายใจอยู่หัวโต๊ะกล่าวว่า
“ยังจำงานเลี้ยงวันนั้นกับหลี่จื๋อได้ เขาองอาจเพียงใด คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับต้องถูกจองจำ โชคชะตาช่างเล่นตลก ช่าง…”
“กวาดเงินไปกองโตเช่นนั้น นอนกับหญิงตระกูลอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาอีก เสียชื่อเสียงหมดกัน ก็สมควรโดน!”
คนข้างๆ คนหนึ่งกล่าวอย่างไม่พอใจมาก คนผู้นี้ชุดยาวเก่ากว่าคนอื่นๆ สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก อู๋จั้วไหลกับคนอื่นสบตากัน กลับไม่โมโห อู๋จั้วไหลยิ้มกล่าวว่า
“พี่เหยาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ช่างน่าเลื่อมใสจริง!”
ทุกคนพากันเห็นด้วย