องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 882 เมืองหลวงแอบเคลื่อนไหว
บรรยากาศงานเลี้ยงส่วนตัวแปลกประหลาด อู๋จั้วไหลกับอีกสามคนมีสีหน้ายิ้มแย้มและโอนอ่อนผ่อนตามกัน แต่แขกอีกคนที่ถูกเรียกว่าพี่เหยากลับสีหน้ากรุ่นโกรธยิ่ง
ได้ยินคำว่า ‘ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา’ เขาส่งเสียงยิ้มเยาะดัง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นเงยหน้าดื่มหมดจอก ยกตะเกียบคีบอาหารเข้าปากหลายคำ สาวใช้ด้านหลังเข้ามาเติมสุราจนเต็ม พี่เหยาในชุดเก่าซอมซ่อหันไปจ้องมองอย่างละเอียด ทำเอาสาวใช้สีหน้าแดงก่ำด้วยความอาย เขาหันกลับมากล่าวว่า
“ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแล้วได้อะไร ปีใหม่นี้ครอบครัวไม่อาจมีเนื้อกินได้หลายมื้อ และไม่อาจมีสาวใช้หน้าตาดีเช่นนี้”
อู๋จั้วไหลค่อยๆ ก้มหน้า ปิดบังสีหน้ากรุ่นโกรธเอาไว้ พอเงยหน้าก็ยิ้ม กล่าวว่า
“ผู้ใดไม่รู้ว่า พี่เหยามีความสามารถสูง บ่าวผู้นี้ปีนี้อายุ 16 เลื่อมใสในผู้มีความสามารถ หากพี่เหยาไม่รังเกียจ ก็ขอมอบให้พี่เหยาไว้ข้างกายยามค่ำคืนเป็นอย่างไร?”
“หืม?”
เหยาฟู่ส่งเสียงตกใจ แต่ก็ลูบคลำสาวใช้อย่างไม่เกรงใจทันที สาวใช้ผู้นั้นตกใจส่งเสียงร้อง รีบหดตัวหนี เหยาฟู่กลับถูมือไปมา กล่าวว่า
“ในเมื่อใต้เท้าอู๋มีน้ำใจ เช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว หอมมากๆ”
ท่าทางใจร้อนเช่นนี้ ทำให้คนรอบโต๊ะที่เหลือพากันสบตาไปมา ก่อนจะไม่พอใจ ทว่าก็ยังคงยิ้ม อู๋จั้วไหลกล่าวว่า
“วีรชนคนกล้าตัวจริง พี่เหยาเช่นนี้ ช่างเหมือนวีรชนสมัยเว่ยจิ้น เปิดเผยตรงไปตรงมาเสียจริง”
เหยาฟู่จ้องมองแต่อาหารจานเนื้อ กินไปสองสามคำจึงได้หยุด พอได้ยินอู๋จั้วไหลกล่าว ก็ได้แต่ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ข้าเป็นนายกองตรวจสอบมณฑลซานซี กิจการครอบครัวไม่รุ่งเรือง อาจารย์ข้าจากไปเร็ว วันหน้าก็คงต้องอยู่ในตำแหน่งนี้ไปจนวันตาย ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าอู๋ซือเย่มีงานการอันใดให้ข้าทำไหม ถึงกับยอมเสียเงินทองมากมายเพียงนี้ ผุยๆ นางเช่นนี้หากอยู่ในสำนักคณิกา คืนหนึ่งคงต้องห้าตำลึง!”
คิดไม่ถึงว่าเหยาฟู่จะกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ อู๋จั้วไหลกระแอมไอ ส่งสายตาให้คนข้างๆ คนข้างๆ รีบยิ้มกล่าวว่า
“เหยาฟู่ เจ้าเริ่มเสียสติอีกแล้ว ข้ากับเจ้ารุ่นเดียวกัน ได้มารวมตัวกันที่นี่คุยกันเท่านั้น เมืองหลวงผู้ใดไม่รู้ว่าพี่อู๋นิยมคบหาสหาย เจ้ากลับพูดไปนั่น”
บ่นไปสองสามคำ อีกคนก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่มีมารร้ายเช่นหวังทง ทุกอย่างก็ผิดปกติไปหมด ใต้หล้านี้ไม่เหมือนใต้หล้าในอดีต พวกเจ้าว่า หากไร้ลำดับความสำคัญตามอาวุโส นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจสั่นคลอน ปราชญ์เมธีล้วนกล่าวไว้เช่นนี้ บรรพชนแผ่นดินหมิงเองก็กำหนดไว้เช่นนี้ แต่พวกเจ้าดูสิ เมืองหลวงพวกโรงงิ้วนั้นเล่นเรื่องอะไรกัน ถึงกับเล่นว่าพี่น้องมีความสามารถและปัญญาสำคัญกว่า ทำลายธรรมเนียมเดิมสิ้น ยังจะมีใครนับถือหลักการปราชญ์อยู่อีก เหลวไหลสิ้นนี้ ช้าเร็วแผ่นดินย่อมไม่เหมือนแผ่นดิน”
อู๋จั้วไหลถอนหายใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“งิ้วพวกนั้นต้องการชี้ไปยังสิ่งใด ทุกคนรู้ดีแก่ใจ แต่ในวังไม่กล่าวกระจ่าง ทุกคนก็ไม่กล้าฉีกหน้า ทว่าข่าวที่ข้าได้มานั้น กล่าวว่าในวังจะปล่อยข่าวออกมาเร็วๆ นี้ บอกว่าจะแต่งตั้งรัชทายาทตามตำแหน่งพระมารดา”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันทำลายกฎหลักการโดยแท้ หากมีคนยื่นฎีกาเพื่อออกหน้าแทนใต้หล้า บางทีในวังอาจไม่ทำเช่นนี้”
“ใช่ๆ หากมีคนกล้าออกหน้า”
ทุกคนประสานเสียง เหยาฟู่กลับเอาแต่คืบกินไม่หยุด สุราก็ดื่มตามไปเรื่อยๆ ได้ยินแล้ว ก็จึงวางตะเกียบกับจอกสุราลงบนโต๊ะ ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“สำนักตรวจสอบตอนนี้มีแต่ข้าที่กล้าเขียน ข้ากล้าถวายฎีกา พวกเจ้าต้องมาหาข้าออกหน้า ไม่ยอมออกหน้าเอง ต้องการหาผู้นำออกหน้ากระมัง!”
เขากล่าวได้ตรงไปตรงมา ทำเอาคนในห้องอึ้งค้างนิ่งสนิท สีหน้ากระอักกระอ่วน มีคนหนึ่งกระแอมไอ กล่าวว่า
“พี่เหยาเข้าใจผิดแล้ว เรื่องคุณธรรมเช่นนี้พวกข้าเองก็ย่อมร่วมด้วย จะมีการปล่อยให้ใครนำหรือตามได้อย่างไร”
“สองหมื่นตำลึง โรงบ้านที่กว่างผิงอีกสามพันหมู่ ลูกชายคนโตอายุ 11 ปีของข้าปีนี้ต้องได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ฎีกานี้ข้าเขียนเอง ข้ายื่นเอง ไม่ทำให้พวกเจ้าที่นี่ทุกคนต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด เงินกับโรงบ้านถึงมือ ข้าจะเขียนทันที แม้ต้องตายก็ไม่กลัว”
ทุกคนในห้องสีหน้าย่ำแย่ อู๋จั้วไหลกลับหัวเราะ ค่อยๆ กล่าวว่า
“สามหมื่นตำลึง โรงบ้านเมืองกว่างผิง แถมโรงน้ำมัน ส่วนตำแหน่งต้องรอกลางปี ก่อนมะรืนนี้เงินกับสัญญาที่ดินจะส่งไปถึงจวนพี่เหยา ส่วนเรื่องฎีกา?”
“วางใจได้ คืนนี้จะพักที่จวนท่านนี้สักคืน สาวใช้ฝากไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นนางที่บ้านข้าคงไม่ยอม”
อู๋จั้วไหลพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้เลยๆ จัดห้องพักสะอาดไว้รอท่านแล้ว”
เขากล่าวไม่ทันจบ เหยาฟู่ก็ลุกขึ้นยืน โอบสาวใช้กล่าวว่า
“ยามค่ำคืนแสนสั้น ข้าขอไปเสวยสุขก่อน ทุกท่านเชิญตามสบาย”
ขณะที่กล่าววาจาก็โอบสาวใช้เดินออกไป พอเขาออกไป ทุกคนในห้องก็สบตากันไปมา ครู่หนึ่งจึงมีคนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“เจ้าคนชั้นต่ำหยาบช้า ไม่รู้ว่าสอบผ่านมาได้อย่างไร เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพวกเราได้ หากไม่ใช่เพื่อการใหญ่ จะมานั่งร่วมกับเขาได้อย่างไร!”
อู๋จั้วไหลยามนี้นิ่งลงไปมาก ยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ครอบครัวเขาตอนนั้นยังดีอยู่ ทว่าในตระกูลมีคนลอบค้าเกลือถูกจับกุม แต่เพราะยอมรับจึงยังดี รวบรวมกำลังชาวบ้านไปตามกลับมาได้ แต่สุดท้ายคนก็ตาย ครอบครัวแตกแยก หากไม่ใช่ว่าหูตาไว้รู้ตัวเร็ว แม้แต่เหยาฟู่ก็คงไม่อาจสลัดความผิดนี้ได้ เพราะเหตุนี้ เขาจึงโกรธแค้นหวังทงมาก จะว่าไป เขาไม่มีเงินและอำนาจ ตำแหน่งนายกองตรวจสอบมณฑลซานซีคนไม่อาจก้าวหน้าไปได้อีก จะไปสนใจอันใด!”
“พี่อู๋สายตาแหลมคม เจ้าเหยาฟู่นี่เป็นพวกไม่เอาไหน ทำแต่เรื่องเสื่อมเสียตัวเอง หากเป็นคนอื่นไหนเลยจะกล้า”
อู๋จั้วไหลเล่นจอกสุราในมือไปมา ยิ้มไม่กล่าวอันใด พอทุกคนกล่าวจบจึงกล่าวว่า
“เรื่องนี้สำคัญ ทุกคนอย่าได้รอช้า ปีนี้เป็นปีสอบภายในของขุนนางเรา ทุกท่านจะขึ้นหรือลง วันหน้าจะมีอนาคตเช่นไร ก็ล้วนอยู่ที่ครานี้แล้ว!”
สอบภายในเป็นระบบในการสอบขุนนางแผ่นดินหมิงทุกๆ หกปี ขุนนางใต้หล้าระดับ 5-6 ล้วนเข้าสอบได้ ทางเมืองหลวงนี้จะมีเสนาบดีกรมปกครองกับเจ้ากรมสำนักตรวจสอบร่วมกันจัดสอบ
ขุนนางแผ่นดินหมิงต่างทุ่มเทกับการสอบนี้ เพราะการสอบนี้สามารถตัดสินการเลื่อนตำแหน่งหรือถึงกับสามารถเป็นสิ่งทำให้ยื้อตำแหน่งไว้ได้ ทุกครั้งตอนสอบ หน้าประตูจวนเสนาบดีกรมปกครองก็จะคึกคักราวกับตลาดสด ขุนนางที่มาขอตำแหน่ง ขุนนางที่มารักษาตำแหน่งมากมาย สำหรับคนพวกนี้แล้ว นี่คือโอกาส
อู๋จั้วไหลเป็นศิษย์เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย วาจาเขากลับแตกต่างจากคนอื่น หลายคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะพากันหุบสีหน้ายิ้มแย้ม รับคำหนักแน่น
*****************
ผ่านไปวันหนึ่ง อู๋จั้วไหลกลับออกมาจากจวนเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ตอนนี้แม้แต่หน้าประตูห้องของจวนเสนาบดีกรมปกครองยังต้องระวังหนัก เกรงว่าหากทำผิดจะไม่ได้เข้าไปด้านใน
อู๋จั้วไหลเป็นศิษย์หยางเหว่ย จึงไม่ต้องยุ่งยากลำบาก ทักทายคนเฝ้าหน้าประตู คนเฝ้าก็ย่อมเกรงใจให้เข้าไป
ยามนี้แม้เป็นบ่ายหลังประชุมขุนนาง ทว่าหยางเหว่ยก็กำลังรับแขก อู๋จั้วไหลรออยู่ในเรือนข้างครู่หนึ่ง ผู้ติดตามหยางเหว่ยจึงมาตามตัวเข้าไป
หยางเหว่ยตอนนี้เป็นเสนาบดีกรมปกครอง หัวหน้าหกกรมกอง อิทธิพลอำนาจมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า พอเห็นอู๋จั้วไหลเดินเข้ามาในห้องหนังสือ จึงได้ออกจากภวังค์ความคิด อู๋จั้วไหลรีบก้าวเข้าไปด้านหน้า คำนับกล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านอาจารย์ เหยาฟู่ยินยอมไปเขียนฎีกาแล้ว ที่อื่นๆ ก็เตรียมการพร้อมแล้ว ขอเพียงเหยาฟู่เริ่มก่อน ทุกคนก็จะร้องประสานรับทันที…”
ได้ยินเช่นนี้ หยางเหว่ยก็พยักหน้า ทว่าเขาฟังออกว่าอู๋จั้วไหลยังกล่าวไม่หมด หรี่ตามองอู๋จั้วไหล เขารีบกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีวาจาไม่ทราบว่าควรกล่าวหรือไม่”
หยางเหว่ยกล่าวเพียง ‘อืม’ อู๋จั้วไหลคำนับกล่าวเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทนับวันจะยิ่งเป็นตัวของตัวเอง หากขุนนางราชสำนักคิดเตรียมการออกหน้าเพื่อคุณธรรม หากฝ่าบาททรงทราบแล้วทรงกริ้วจะทำเช่นไร แม้ใต้หล้ามีขุนนางบัณฑิตคอยรักษาหลักการธรรมเนียมให้ยืนยาว ทว่าองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นพวกไร้เหตุผล ถึงตอนนั้น หากฝ่าบาทต้องการให้หวังทง…”
หยางเหว่ยส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า
“หวังทงไร้เหตุผล แต่ก็จงรักภักดีฝ่าบาท ปีก่อนเรื่องต่างๆ ที่เกิดสำหรับเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นการกำราบตักเตือน หวังทงแอบวางแผนนำกำลังไปตีเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนี้สำนักองครักษ์เสื้อแพรกับกองกำลังเทียนจินก็เหมือนส่งมอบคืนแล้ว เขาไม่เท่าไรแล้ว”
ได้ยินกล่าวเช่นนี้ อู๋จั้วไหลถอนหายใจยาว ทว่ากล่าวหนักแน่นว่า
“ท่านอาจารย์ องครักษ์เสื้อแพรกับกองกำลังเทียนจินและเมืองหลวง ฝ่าบาทเคยสั่งการใช้แล้ว เกรงว่าไม่ใช่ว่าไม่อาจมีครั้งที่สอง…”
หยางเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง โบกมือให้คนในห้องออกไป พอคนออกไป หยางเหว่ยจึงได้กล่าวว่า
“ปีนี้เตรียมจัดให้เจ้าไปนั่งตำแหน่งขุนนางคัดเลือกบทความ เจ้าทำงานได้ดี คิดได้รอบคอบ ข้าผู้เป็นอาจารย์ชื่นชมยิ่ง มีบางเรื่องควรกล่าวให้เจ้าได้รู้”
ขุนนางคัดเลือกบทความของกรมปกครองก็เท่ากับตำแหน่งงานอันดับหนึ่งในกรมปกครอง เป็นเจ้าพนักงานในการสอบที่มีหน้าที่นำเสนอรายชื่อขุนนางแก่เสนาบดีกรมปกครอง มีอำนาจมาก เป็นงานมีค่าน้ำร้อนน้ำชามาก อู๋จั้วไหลพอได้ยินเช่นนี้สีหน้าซาบซึ้งยิ่ง รีบคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์เมตตา ศิษย์แม้ต้องตายก็ขอรับใช้ท่าน!”
หยางเหว่ยพยักหน้า กลับไม่ได้ให้เขาลุกขึ้น กล่าวว่า
“ลำดับพี่น้องเป็นหลักการใหญ่ เรื่องนี้นอกวังรู้กัน ในวังมีรู้เช่นกัน โอรสองค์โตเป็นรัชทายาท เรื่องนี้แม้แต่ไทเฮาก็เห็นชอบ ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็ทรงรักอ๋องลู่มากกว่า เจ้าลุกขึ้นได้ กลับไปทำงานต่อ เหยาฟู่ทางนั้น เงินกับสัญญาที่ดินข้าจะส่งคนไปจัดการให้!”
อู๋จั้วไหลคุกเข่าอยู่ที่พื้นได้ยินหยางเหว่ยกล่าวท่อนแรก ก็สะดุ้ง แต่ครู่หนึ่ง ความหวาดกลัวและความกังวลก็หายไป จิตใจกลับมากหนักแน่นดังเดิม
*****************
วันที่ 20 เดือนหนึ่ง หวังทงกำลังเดินรอบเมืองกุยฮว่าเฉิงกับถานเจียง รอบๆ ล้วนมีทหารแต่งกายแบบคนงานติดตามมา มาถึงที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของหวังทงล้วนอยู่กับโรงช่างและที่นานอกเมือง มาเดินในเมืองนี้นับว่าเป็นครั้งแรก