องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 884 คุยเรื่องตลาดค้ามนุษย์ ลอบหนีกลางดึก
แผ่นดินหมิงก็มีขายคนงาน มีขายลูก แต่ที่นี่ตอนนี้คนไร้ศักดิ์ศรีสิ้น เหมือนกับสัตว์ที่ถูกตั้งราคาขาย
ตลาดเช่นนี้สำหรับทหารผู้คุ้มกันหวังทงแล้ว ช่างสะเทือนใจ ไม่เคยเห็น พวกเขาอยู่แต่ในแผ่นดินหมิง ปกติไม่ฝึกกำลังก็ออกรบ ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอก พอเห็นเช่นนี้ก็สะเทือนใจยิ่ง
ถานเจียงเดาออกว่าทหารพวกนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับยิ้ม ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ทำให้เขาแปลกใจเหนือความคาดหมายมาก
ทว่าถานเจียงติดตามหวังทงมานาน เขาเองรู้ว่า สีหน้าหวังทงยิ้มใช่ว่าจะอารมณ์ดี บางทียิ้มแต่จะสังหารเพราะโมโหก็มี ในใจเขาตอนนี้เริ่มเต้นแรง รีบเข้าไปกล่าวว่า
“ข้าว่าหากผู้คุ้มกันขบวนการค้ายังคงแย่งชิงไม่หยุด พวกบรรดาเผ่าเล็กนอกจากม้าวัวยังจะมีอันใดให้ปล้นอีก…”
หวังทงกล่าวถึงเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านมีชีวิตลำบาก เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ก็เพื่อไว้กินเอง สามารถเอามาขายได้ก็น้อยมาก เมื่อก่อนยังคอยตามเผ่าใหญ่ออกไปปล้นชิงแผ่นดินหมิง แต่ตั้งแต่เมืองกุยฮว่าเฉิงล่มสลาย ผู้ใดกล้าลงมืออีก ได้แต่ทนลำบากบนทุ่งหญ้านอกด่านไป
สถานการณ์นี้จะมีของเหลือที่ไหนกัน ส่วนสัตว์เลี้ยงนั้น มีค่าบนแผ่นดินหมิง ทุ่งหญ้านอกด่านแม้มีค่าเหมือนกัน แต่การจะเสี่ยงภัยไปแย่งชิงนั้นไม่คุ้มค่า เห็นตลาดค้ามนุษย์ตรงหน้า หวังทงคิดได้ทันที
“ถานเจียง ลองเล่าสถานการณ์ที่นี่มาให้ละเอียดหน่อย”
หวังทงเดินไปถามไป ถานเจียงเห็นหวังทงไม่ได้โมโหก็อธิบายขึ้น
เรื่องก็ง่ายมาก เมืองกุยฮว่าเฉิงคนไม่พอ แถบแม่น้ำถู่ม่อชวนอากาศดี เหมาะแก่การเพาะปลูก ตอนนี้ที่นี่เป็นของแผ่นดินหมิง และยังเปิดรับคนย้ายเข้ามาบุกเบิกที่ดิน ทุกคนย่อมรุมแย่งกันมา
แต่พื้นที่มากคนน้อย ชาวฮั่นเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่พอ มณฑลซานซีและส่านซีก็เป็นมณฑลที่ประชากรน้อยในแผ่นดินหมิง คนที่รับสมัครมาก็ย่อมมีจำกัด ชาวนาที่มาจากเหอหนานทางนั้นไกลไปไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้
เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ครอบครองใหม่ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร รีบลงมือเพาะปลูกสองสามปี ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ก็ไม่รู้ใครเป็นคนคิดเริ่มต้นไปปล้นชิงเผ่าอื่นแล้วกวาดต้อนเชลยมาด้วย คนเหล่านี้แม้ว่าเพาะปลูกไม่เป็น แต่หากถูกบีบให้ทำก็คงพอเป็นแรงงานในนาได้
เริ่มต้น สัตว์เลี้ยงกับของมีค่าเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าต่อมาพวกเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านไม่มีอันใดให้แย่งชิงแล้ว เผ่าใหญ่ก็เป็นคู่ค้าที่แตะต้องไม่ได้ คนจึงเป็นสินค้าสำคัญ
พ่อค้าจากซานซีและส่านซีกล้าเสี่ยงภัยมาทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่ใช่พวกจิตใจเมตตาอันใด พวกเขามีผู้คุ้มกันข้างกาย
หลังซื้อทาสมาก็ไม่กังวลว่าคุมไม่อยู่ มีคนถึงกับใช้ทาสเลี้ยงสัตว์ ไม่ถึงปีการค้าทาสที่นี่ถึงกับรุ่งเรืองเป็นที่ต้องการอย่างมาก
“…อู้เหลียงฮาเป็นเผ่าที่ใกล้ชิดเรา ก็ไปจับตัวเอามาจากทั่วทุกแหล่งเช่นกัน ถึงกับขึ้นไปจับมาจากทะเลทรายตอนเหนือ…”
เห็นสีหน้าหวังทงยิ่งยิ้มพอใจมากขึ้น ในใจถานเจียงเริ่มไม่เป็นสงบ ไม่รู้ว่าในใจหวังทงพอใจหรือโมโหกันแน่ ได้แต่กลั้นสีหน้าเก็บความรู้สึกกล่าวต่อว่า
“ทาสพวกนี้ถูกกว่าวัวและม้าอีก มีคนซื้อไม่น้อย ทว่า…ทว่า เรียนใต้เท้าตามตรงไม่ปิดบัง เพราะว่าถูก ดังนั้นจึงใช้งานเหี้ยมโหด ตายไปก็มาก”
หวังทงนำคนเดินไปยังหน้าเวทีไม้ พวกเขามองดูก็รู้ว่าหวังทงมีเงิน เดินมาถึงหน้าเวที บนเวทีก็รีบเร่งร้องตะโกนขายเสียงดังทันที
บนเวทีมีชายต่างเผ่าหน้าตาสลดอยู่สิบกว่าคน ตามที่บอกมานั้น นี่เป็นสินค้าตัวอย่าง ด้านหลังมีทั้งชายและหญิง ล้วนเป็นชายหญิงแข็งแรงกำยำ ตอนพวกเขาตะโกนราคานั้น หวังทงก็เริ่มคำนวณ สองคนก็ราวม้าหนึ่งตัว นี่คนที่กินเปลืองน้อยกว่าม้า ทำงานไม่ต้องพูดถึง
อาจเพราะเห็นพวกหวังทงอยู่ด้านล่าง เหมือนว่าจะซื้อ พ่อค้าคนหนึ่งที่มาจากมณฑลซานซีขึ้นไปบนเวทีจ้องมองอย่างละเอียด ก่อนจะปิดการค้าทันที
จบการค้า นำคนกลับไป ชายฉกรรจ์ถือดาบสิบกว่าคนก็ไล่ต้อนทาสออกมาอีกสองร้อยกว่าจากไป หวังทงขมวดคิ้วจ้องมาองครู่หนึ่งกล่าวว่า
“นี่เป็นทหารชายแดน?”
ชายฉกรรจ์ถืออาวุธล้วนเป็นผู้คุ้มกันพ่อค้ามณฑลซานซี ท่าทางคนพวกนี้ง่ายมากที่จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นทหารชายแดน และยังเป็นเหมือนทหารสังกัดขุนพลส่วนตัวด้วย
“นายท่านตาแหลม คนมาซื้อทาสกลับได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นพ่อค้าที่มีสายสัมพันธ์กับทหารชายแดน หลายวันก่อนพ่อค้าพวกนี้ฝากตระกูลหม่ามาบอกกล่าวก่อน เป็นคนจากหมู่บ้านอวี้หลิน”
หวังทงพยักหน้า กองกำลังชายแดนเทียบกับพ่อค้าในพื้นที่ ก็ยิ่งมีความสามารถในการป้องกันตนเอง ทหารชายแดนมีใจเห็นแก่เงินทองไม่น้อยไปกว่าพ่อค้า พื้นที่รกร้างแม่น้ำถู่ม่อชวน พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจ คนพวกนี้ทำงานเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ยังลงมือได้โหดและไม่เลือกวิธีการ
เรื่องบุกเบิกพื้นที่ชายแดนตอนนี้ พวกเขายิ่งเหมาะมาก หวังทงเดินไปสองสามก้าว ก็กลับคิดอะไรได้ ขมวดคิ้วถามขึ้น
“ตลาดค้าทาสนี้มีค้าขายชาวฮั่นไหม?”
“เรียนนายท่าน ก็มี แต่น้อยมาก ล้วนเป็นพวกติดหนี้มากจึงถูกส่งมาขายที่นี่ ยังมีพวกนักเลงชั่วที่จับมาขายเองก็มี แต่ก็ถูกคนที่นี่ขับไล่ออกไป”
หวังทงพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ค้าขายชาวฮั่นให้ยึดทรัพย์ให้หมด พวกที่ค้าขายชาวฮั่นก็ให้ลงทัณฑ์แล้วส่งไปใช้แรงงานสามปี”
ถานเจียงรีบรับคำ หวังทงมอบหมายเขาแล้ว เขาก็ย่อมไปจัดการต่อกับเมิ่งตั๋ว เห็นสีหน้าหวังทง ถานเจียงเดาไม่ถูก วิเคราะห์ไม่ออก หวังทงดีใจหรือโมโห เดินไปสองสามก้าว ถานเจียงก็กล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน หากคิดว่าตลาดค้ามนุษย์ที่นี่ผิดคุณธรรม ก็ให้ปิดที่นี่ไป เมืองกุยฮว่าเฉิงคงไม่เสียหายด้วยเรื่องนี้”
ได้ยินถานเจียงกล่าวเช่นนี้ หวังทงหันไปมองอย่างแปลกใจ ถามขึ้น
“ทำไมต้องปิด?”
“นายท่านหมายความว่า?”
เห็นสีหน้างงของถานเจียง หวังทงเข้าใจที่เขาคิด อดไม่ได้ยิ้มกล่าวว่า
“ข้านำกำลังมาปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ข้าให้อาวุธและรถใหญ่กับขบวนพ่อค้า ส่งทหารปลดประจำการมา ส่งเสริมให้พวกเขาออกปล้นชิง ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อให้กำลังเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่านสูญสิ้น ตอนนี้ที่ตลาดนี้กับการค้าทาสกำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าตั้งเป้าหมายไว้หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องปิด”
ถานเจียงยามนี้จึงได้วางใจ หวังทงอธิบายต่อว่า
“พื้นที่ลุ่มแม่น้ำไม่ใหญ่มาก เผ่าพวกเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่มาก รอให้บุกเบิกพื้นที่ได้ เผ่าพวกนี้ก็คงจับมาพอควรแล้ว ถึงตอนนั้นตลาดคิดจะเปิดก็คงเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว เจ้าว่าเรื่องผิดคุณธรรม เห็นชัดว่าในใจรู้สึกผิด ไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง ปล่อยให้พวกทุ่งหญ้านอกด่านทำลายตัวเองกันไปเอง ต้องทำลายพวกเผ่าใหญ่ที่คิดรวมตัวให้ได้ และตั้งสังหารเผ่าอื่นต่อ ท่ามกลางความไม่สงบนี้ หลายเผ่าย่อมหนาวตาย สู้มาเป็นทาสที่นี่ ยังอาจมีชีวิตที่ดีกว่า”
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยตอนนั้นก็คิดเช่นนี้ แม้ว่ามีคนกล่าวว่าตลาดค้าทาสราวกับไร้มนุษยธรรม แต่ก็เหมือนกับการสังหารศัตรูบนสนามรบของเรา พวกเขาไร้อนาคตไปหนึ่งก็เท่ากับลดความยุ่งยากไปหนึ่ง”
หวังทงยิ้มพยักหน้า กล่าวว่า
“มีใจเมตตาก็ใช่ว่าไม่ได้ เด็กๆ พวกนอกด่านสามารถส่งให้ครอบครัวชาวฮั่นเลี้ยงดู โตแล้วก็เป็นชาวฮั่น พวกนอกด่านที่เป็นหญิงก็แต่งให้ชาวฮั่นได้ ลูกเกิดมาก็เป็นชาวฮั่น เรื่องพวกนี้ย่อมทำได้ ยังมีอีก เผ่าต่างๆ เช่นพวกอู้เหลียงฮาในเมื่อใกล้ชิดพวกเรา ก็ต้องอำนวยความสะดวกให้พวกเขา บอกขบวนพ่อค้าอย่าได้ทำร้ายพวกเขา แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องระวัง อย่าให้พวกเขาอาศัยความได้เปรียบนี้ขยายอิทธิพลบนทุ่งหญ้านอกด่านได้!!”
“นายท่านคิดได้รอบด้าน ข้าน้อยเข้าใจว่าต้องทำเช่นใดแล้ว!”
เดินต่อไป กลับไม่เห็นความคึกคักแล้ว มีเพียงกระโจมงดงามอีกสองสามแห่ง หน้าประตูมีผู้คุ้มกันเฝ้าอยู่ หวังทงรู้สึกงงเดินไปดู พอเห็นพวกหวังทง ผู้คุ้มกันไม่กล้าขวางไว้ เลิกม่านออก
ในกระโจมถึงกับปูพรมขนสัตว์ เผาเครื่องกำยานไว้ มีคนแต่งกายสูงศักดิ์นั่งล้อมวงอยู่ เห็นหญิงสาวหลายคนกำลังเดินไปมาบนพรม ดูผิวพรรณแล้ว ไม่ใช่ชาวผิวเหลือง เป็นสตรีอายุไม่มาก ล้วนงดงาม สวมอาภรณ์บางพริ้ว น่าดึงดูดใจมาก
หวังทงกวาดตามอง ขมวดคิ้ว หันเดินออกจากกระโจมไป พอออกมาก็กล่าวว่า
“พ่อค้าซีอวี้ขายทาสเช่นนี้ วันหน้าไม่ให้เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิง หากคนในเมืองชอบของพวกนี้ ให้ร้านสามธาราขายเอง ทาสพวกนี้เพื่อความบันเทิงโดยแท้ นำเงินออกจากเมืองกุยฮว่าเฉิงเราไปก้อนโต มีแต่เสียไม่มีได้ ต้องคุมเข้ม ทาสพวกนี้จมูกโด่งตาคมโต อย่างไรก็ไม่อาจรวมเป็นพวกเดียวกันได้ เอามาทำไมกัน!!?”
ถานเจียงรู้ว่าหวังทงรับอนุนางคณิกามาจากแดนใต้สองคน เห็นหวังทงเดินเข้ามาที่นี่ ยังคิดว่าหวังทงจะสนใจ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะออกคำสั่งเช่นนี้ กะทันหันจนเดาไม่ถูก ได้แต่รีบรับคำทันที
*****************
ต้นเดือนสอง ณ เมืองหลวง พวกที่อยู่ทางในต้ของเมืองล้วนรู้ดีว่าครอบครัวของใต้เท้าเหยา นายกองตรวจสอบสำนักตรวจสอบมณฑลซานซีได้ย้ายไปแล้ว ว่ากันว่าไปเยี่ยมญาติ
ภรรยาและลูกถูกไล่ส่งไปแล้ว จากนั้นที่บ้านก็มีหญิงสาวอายุไม่ถึง 20 หน้าตารูปร่างงดงามมาคนหนึ่ง ใต้เท้าเหยาแม้แต่ที่ทำการก็ไม่ยอมไป วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับนางจิ้งจอก เดิมที่ไม่มีเงินจะกินเนื้อสักมื้อ ถึงกับวันๆ สั่งสุราอาหารมาจากร้านอาหารได้ ไม่รู้ว่าไปรวยมาจากไหนกัน เพื่อนบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ ลับหลังก็แอบก่นด่าไม่น้อย แต่เขตทักษิณล้วนเป็นชาวบ้าน ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินขุนนางท่านนี้
วันที่ 6 เดือนสอง ดึกมากแล้ว นายกองเหยาเปิดประตูจวนออกมา แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา ค่อยๆ ย่องออกมา สาวน้อยนั่นถูกเขามอมสุราหลับไปแล้ว
เหยาฟู่สังเกตอย่างดีแล้วว่าหลายวันนี้ รอบๆ จวนเขาไม่มีคนจับตาดู ดูท่าน่าจะวางใจเขาแล้ว
จึงได้เดินออกไปจากซอย ยามนี้ไม่ว่าทหารลาดตระเวนหรือคนใดก็ไม่มี เหยาฟู่ถอนหายใจ เขาเตรียมจะไปพักที่โรงเตี๊ยมข้างประตูเมือง พรุ่งนี้ค่อยออกจากเมือง
มองซ้ายมองขวา กำลังจะก้าวต่อ ก็มีคนมาตบบ่า
“ใต้เท้าเหยา ดึกเช่นนี้จะไปไหนกัน!?”