องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 885 ด้านหลังตั๊กแตนใช่ว่าเป็นนกกระจอก
คืนดึกดื่นเงียบสงัด ได้ยินเสียงหมาเห่าเป็นระยะ เหยาฟู่หลายวันนี้ล้วนโผล่ออกมาดูนอกประตู รอบๆ ไม่เห็นใครสักคน จึงคิดว่าคืนนี้จะลอบหนีออกไป อยู่ๆ มีคนมาตบบ่า
เหยาฟู่สะดุ้งโหยง ห่อผ้าด้านหลังหล่นลงพื้น แต่คนผู้นี้ก็หัวไวพอ ทำเป็นเอี้ยวตัวหลบ บีบเสียงกล่าวว่า
“นายท่านอะไร ข้าน้อยจางซาน กำลังจะกลับบ้าน”
คืนดึกมืดมิด เห็นแต่เงาดำๆ สองคนกำลังขวางอยู่ด้านหน้า ได้ยินเสียงเขา สองคนก็อึ้งไป ตามมาด้วยหัวเราะดังลั่น ตบบ่ากล่าวว่า
“นายท่านเหยาช่างล้อเล่น พี่น้องเราเห็นท่านเดินออกจากจวนมา อันใดกันไม่ถึงร้อยก้าว ก็เปลี่ยนชื่อเป็นจางซานแล้วหรือ!”
เหยาฟู่ตัวแข็งทื่อทันที ชายตรงหน้าเริ่มจับคลุมหัว แล้วยังใช้เชือกมัดปากไว้ ผลักให้เขาเดินไป ผลักเขาเข้าไปที่ใดสักที่
พอเข้าไป ที่ครอบหัวกับเชือกก็ถูกปลดออก เหยาฟู่ลุกขึ้นมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว ที่นี่เหมือนว่าเป็นห้องในรถม้า ชายสองคนสวมใช้ผ้าดำปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
“รับเงินไปตั้งมากมาย ที่ก็ตั้งเยอะ ยังขอตำแหน่งอีก นายท่านเหยาทำไมไม่คิดให้ดี คิดจะหนีก็หนี”
เหยาฟู่กระแอมไอ ในใจกลับร้อนใจยิ่ง อู๋จั้วไหลรู้วิธีการพวกนี้แต่เมื่อไร ตอนนั้นเหยาฟู่เป็นหนึ่งในขุนนางบัณฑิตชิงหลิว แต่ที่บ้านก็ร่ำรวย ลอบค้าเกลือทำกำไรมาก เขาเห็นอะไรมามาก ต่อมาล้มละลาย เหยาฟู่ก็เลยทำเป็นพวกล้มละลายไม่มีเงินทอง เขาเองเข้าใจพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาก อ่านตำรามาสองสามเล่ม วันๆ ก็เอาแต่คิดจะรังแกคนอื่นเพื่อทำให้ตนเองมีชื่อเสียง หากให้พวกเขาทำอะไรจริง ไมว่าไปปฏิบัติหน้าที่จริงๆ หรือว่าใช้อิทธิพลโกงกกิน ล้วนไร้สามารถ
หากอู๋จั้วไหลมีความสามารถเช่นนี้ ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นเช่นหลี่จื๋อไปแล้ว หากไม่ใช่เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยไม่มีคนให้ใช้งาน ศิษย์คนนี้เกรงว่าแต่ละก้าวกว่าจะไปถึงผู้ตรวจการนอกเมือง จากนั้นกลับมาเป็นขุนนางกรมพิธีการก็เรียกได้ว่าที่สุดแล้ว
ทว่ายามนี้มิใช่ ตอนนี้กลับมีความสามารถเช่นนี้ได้ เหยาฟู่ได้แต่โทษตัวเองที่มองคนอื่นตามความคิดเดิมของตน ได้ยินเสียงอีกฝ่ายไม่พอใจเช่นนี้ เขาได้แต่แกล้งปั้นหน้าส่งเสียงกล่าวเบาๆ ว่า
“นางที่บ้านหลับไปแล้ว ข้าคิดหาความสำราญ เลยยออกไปหาผู้หญิงคนอื่นสักหน่อย เรื่องนี้แพร่ออกไปไม่น่าฟัง จึงได้อ้างชื่อปลอม”
เขาเสแสร้งแต่งเรื่อง อีกฝ่ายย่อตัวลงแค่นยิ้มเยียบเย็น ควักเอาของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ โยนลงตรงหน้าเหยาฟู่ แค่นยิ้มเย็นกล่าวว่า
“หากมองไม่ชัด ก็สามารถจุดโคมไฟได้นะ!”
ห้องในรถย่อมมีโคมไฟ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นโยนของสิ่งหนึ่งลงบนพื้นเป็นห่อผ้าเล็กๆ พอโยนลงพื้นก็เปิดออก พอเห็นของด้านใน เหยาฟู่ก็เหมือนสายฟ้าฟาด ตัวแข็งไปทั้งตัว
เหยาฟู่คว้าของในห่อผ้าขึ้นมามือสั่น น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“ภรรยาข้ากับลูกๆ ข้าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้า…พวกเจ้าหาก…ข้าเป็นผีก็จะ…”
“อย่างเจ้าน่ะรึ เป็นผีก็เป็นแค่บัณฑิตอ่อนแอ ใครจะไปกลัว อย่าได้คิดมาก ปิ่นนี่กับกุญแจห้อยคออายุยืนนี่จำได้ใช่ไหม เอามาให้เจ้าดู ก็เพื่อให้เจ้ารู้ว่า อย่าคิดว่าพวกเราโง่ ยังบอกภรรยาเจ้าว่านำเงินทองไปซานตง ไปจี่หนิงรอเจ้า คิดจะเอาเงินแล้วหนีหรือ!”
ได้ยินวาจาชายฉกรรจ์เยียบเย็นเช่นนี้ สีหน้าเหยาฟู่ก็ยิ่งซีดขาว สุดท้ายได้แต่ยิ้มเฝื่อน กล่าวอย่างหมดแรงว่า
“ทำอย่างไรจึงจะรักษาชีวิตภรรยาและลูกข้าไว้ได้”
“เงินก้อนโตและที่ดินพวกนั้น ตอนนั้นบอกให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำตามนั้น อย่าคิดว่าหาทางเอาตัวรอด จะทำให้ใต้เท้าเราต้องเสียเปรียบเจ้างั้นหรือ”
เหยาฟู่สีหน้าซีดเผือดพยักหน้า กล่าวว่า
“หลังจบเรื่องยื่นฎีกาถูกปลดมา เรื่องนี้จะทำให้ครอบครัวข้าทั้งหมดถูกสังหารปิดปากหรือไม่”
ชายฉกรรจ์สองคนสบตากัน หัวเราะออกมากล่าวว่า
“สังหารพวกเจ้า เจ้าไม่ดูตัวเองเลยว่ามีค่าพอหรือไม่ แต่หากเจ้าไม่ยื่นฎีกา ก็คงต้องคิดถึงภรรยาและลูกชายสองคนของเจ้าให้ดี”
ตอนลงจากรถไม่คลุมหัวไว้เหมือนเดิม ยังมีคนประคองลงมา เหยาฟู่แบกห่อผ้ายืนงงอยู่ข้างรถม้าราวกับไก่ไม้ไม่ไหวติง มองรถม้าออกไปไกล สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจ ค่อยๆ เดินเข้าบ้านไป
ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ทว่าจวนอู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกลับไฟสว่างมาก ในห้องรับแขกมีเสียงคุยหัวเราะดัง สุราและนารีล้วนกำจายกลิ่นไปทั่ว
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงมีชื่อหลายคน คนสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน คนสำนักตรวจสอบกับคนหกกรมกองล้วนมีครบ ล้อมนั่งอยู่รอบโต๊ะใหญ่ บนโต๊ะมีสุราอาหาร งานเลี้ยงสุรามาถึงตอนนี้ทุกคนต่างดื่มกันไปมากพอควร สติล้วนเริ่มเลือนราง มีคนโอบหญิงงามร่ำสุราเย้าแหย่ มีคนส่งเสียงประจบอ้อแอ้กับอู๋จั้วไหล
อู๋จั้วไหลสีหน้าก็กึ่มด้วยฤทธิ์สุรา สีหน้าพึงใจ เสียงดังอ้อแอ้เช่นกันว่า
“เจ้าเหยาฟู่ เจ้าคนตกต่ำ ทั้งวันคิดแต่จะฟื้นกิจการครอบครัว อยากใช้ชีวิตแบบเดิม ตอนนี้ให้ผลประโยชน์ไปมาก ยังไม่ตั้งใจทำงานที่รับไปแต่โดยดี เรื่องยื่นฎีกานี้ ผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ได้สร้างชื่อเสียง เขาจะไม่อยากทำได้อย่างไร”
ทุกคนพากันแทบหมอบราบไปกับโต๊ะ ดูท่าดื่มไปกันมาก มึนงงกล่าวว่า
“เจ้าเหยาฟู่นั่นกลืนเงินไปแล้วไม่ทำงาน!!”
อู๋จั้วไหลแค่นเสียงฮึ ไม่พอใจกล่าวว่า
“หากเขากล้าทำเช่นนี้ วันหน้าวงการขุนนางเมืองหลวงจะมีที่ยืนให้เขาอีกหรือ?”
“ใช่ๆ ท่านอาจารย์พี่อู๋เป็นถึงเสนาบดีใหญ่ เหยาฟู่หากคิดจะมีอนาคตในวงการขุนนาง ก็ต้องยอมฟังคำสั่งแต่โดยดี”
คนข้างๆ กล่าวเห็นด้วย เดิมที่คนนี้กะพูดว่าหากมีเงินมากมายแล้ว ไม่ต้องเป็นขุนนางก็ได้ คิดไปคิดมาก็กลับไม่พูดออกมา ดึงหญิงงามอรชรอ้อนแอ้นเขามาแนบกาย ไม่อยากสนใจอันใดอีกแล้ว
*****************
หลี่ว์วั่นไฉจากเดิมเป็นบัณฑิตจวี่เหริน ได้มาเป็นถึงรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน เรียกได้ว่าเป็นอันดับสอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคนกุมอำนาจหลัก ในศาลซุ่นเทียนไม่รู้ว่ามีคนมากมายไม่ยินยอม
แต่ตอนนั้นมีหวังทงคอยให้ท้าย ผู้ใดจะกล้ากล่าวอันใด รอให้หวังทงประสบเหตุในเมืองหลวงเสียก่อน หลายคนคิดว่าโอกาสมาแล้ว ทว่าพวกเขากลับหมดหวังอีกครา หลี่ว์วั่นไฉได้ก้าวเข้าสู่ทางสายสำนักส่วนพระองค์แล้ว ตอนนี้เขาเท่ากับว่าสามารถรายงานต่อฮ่องเต้ว่านลี่ได้โดยตรง
รองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนนี้ไม่เพียงแต่คนในศาลซุ่นเทียนต้องฟังคำสั่งเขา แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรก็มีสายสัมพันธ์ ใต้เท้าที่มีอำนาจกว้างไกลเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าล่วงเกิน
แต่พอหวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ย่อมส่งผลกระทบต่อหลี่ว์วั่นไฉ เขาเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น ทำงานก็ไม่สุดโต่งมาก ไม่เคยทำอะไรเกินเลย
ทว่าอำนาจที่ควรมีก็ยังคงมีอยู่ เช่นว่าตอนเช้ามาก ตอนบ่ายกลับที่พักทำงาน เจ้าหน้าที่ทางการหากต้องการถามเรื่องใดก็ให้ไปสอบถามได้ ปกติยุ่งมาก ผู้ใดก็ไม่กล้าบ่นอันใด นี่เป็นงานของรองเจ้ากรมหลี่ว์ที่แยกชัดเจน ส่วนงานของสำนักรักษาความสงบไม่ได้ขึ้นกับคนศาลซุ่นเทียนจัดการ
หลี่ว์วั่นไฉแม้กล่าวว่าทำงานที่บ้าน แต่ที่จริงแล้วกลับไปซื้อเรือนแยกออกจากจวนต่างหาก เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบสองสามคนประจำการอยู่ นับว่าเป็นหน่วยงานเล็กๆ ที่ไม่แขวนชื่อหน่วยงาน
ตอนนี้หน้าประตูมีองครักษ์เสื้อแพรสองนายนั่งอยู่ กำลังคุยสัพเพเหระ ประตูปิดสนิท คนที่มักมาที่นี่ก็ย่อมรู้ธรรมเนียม รู้ว่ายามนี้รองเจ้ากรมหลี่ว์กำลังมีแขกสำคัญ และแขกผู้นี้อาจไม่เป็นที่เปิดเผยในที่แจ้ง เรือนเล็กหลังนี้ของรองเจ้ากรมหลี่ว์มิใช่มีแค่ทางเข้าเดียว
ยามนี้ประตูปิด ไม่ใช่เพราะกลัวหนาว แต่เพราะสิ่งที่รายงานนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
“…ข้าน้อยจับตาดูจวนเหยาอยู่ คืนวานจวนเหยามีคนออกมา จากนั้นระหว่างทางมีคนจับตัวได้ ข้าน้อยให้เหล่าหลี่จับตาดูจวนไว้แล้วรีบมารายงาน รีบติดตามออกจากเมืองหลวงไปจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคือเรื่องใดกัน กลับมายังได้รู้เรื่องของจวนเหยาฟู่อีก คืนว่าคนที่ออกไปนั้นก็คือเหยาฟู่…”
หลี่ว์วั่นไฉขยับพัดไม่หยุด เริ่มไม่นิ่ง ถามขึ้น
“ความจริงอันใด?”
ชายที่รายงานในตามีสีเลือดราวกับไม่ได้นอนทั้งคืน สีหน้าอิดโรยมาก เดินเข้าไปใกล้ๆ กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านหลี่ว์ คนของแม่นางซ่ง”
หลี่ว์วั่นไฉเงยหน้าขึ้นทันที แม้ซ่งฉานฉานกับหวังทงเป็นสามีภรรยา แต่ระบบเมืองหลวงเป็นซ่งฉานฉานจัดตั้งขึ้นเอง ไม่ใช่คนของหวังทง บอกว่าเป็นคนแม่นางซ่ง หลี่ว์วั่นไฉก็เสียงเบาไปหลายส่วนถามขึ้น
“เจ้าแน่ใจนะ!!”
“มั่นใจแน่นอน จวนนอกเมืองนั่นเป็นโรงบ้านหอฉินก่วน เมื่อก่อนข้าน้อยเคยไปเอาของ ได้ยินว่าเป็นที่ลับไม่เปิดเผย เดาว่านอกจากข้าน้อย คนอื่นไม่แน่ว่าจะรู้”
หลี่ว์วั่นไฉนั่งอยู่หลังโต๊ะ มือหนึ่งหุบพัด อีกมือกลับดึงเก๊ะออกมา ในเก๊ะมีมีดสั้น และยังมีปืนสั้น นี่เป็นช่างโรงช่างเทียนจินทำ เป็นปืนชั้นดี มือวางอยู่บนนั้น ลังเลครู่หนึ่งก็ปิดเก๊ะ เงียบไปครู่หนึ่งถามขึ้น
“เต๋อขุย ข้าดีกับเจ้าไหม?”
คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จะถามเช่นนี้ คนนั้นอึ้งไป รีบตอบว่า
“หากไม่มีใต้เท้าข้าน้อยคงถูกใส่ร้ายเข้าคุกไปแล้ว มารดาข้าน้อยป่วยตายไป ใต้เท้าดีกับข้าน้อย…”
ส่งไปจับตาดูเหยาฟู่ หากไม่ใช่คนสนิทที่หลี่ว์วั่นไฉไว้ใจก็ย่อมไม่อาจส่งไป หลี่ว์วั่นไฉถามเช่นนี้ก็เข้าใจได้หลายส่วน
หลี่ว์วั่นไฉถูพัดไปมา พิงพนักเก้าอี้กล่าวว่า
“ตามหลักแล้ว ส่วนตัวไม่ควรปะปนเรื่องงาน ทว่าข้ามีที่นากับโรงทอผ้าในเมืองซงเจียงที่ฝากคนทำอยู่ ต้องการคนไปจับตาไว้ เจ้ากับเสี่ยวหลี่ไปช่วยข้าดูแลสักสองสามเดือน เช่นนี้ข้าก็วางใจ ดีไหม?”
เต๋อขุยอึ้งไป รีบคำนับกล่าวว่า
“การค้าใต้เท้าสำคัญ อย่าได้ถูกคนนอกเอาเปรียบไป ข้าน้อยกับเหล่าหลี่จะรีบออกเดินทางทันที”
หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า เต๋อขุยกำลังจะหันหลังออกไป ก็กลับมาพูดอีกว่า
“ขอใต้เท้าจัดหาอาหารให้ด้วย ข้าน้อยกับเหล่าหลี่คืนวานถึงตอนนี้ไม่ได้คุยกับใครทั้งสิ้น”
หลี่ว์วั่นไฉยิ้มพยักหน้า