องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 886 ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวแอบเคลื่อนไหวคิดว่าตนเองมีปัญญา
ในเมืองหลวงมีข่าวลือกันในวงแคบๆ ว่าเซินสือหังเคยวิจารณ์พวกหยางเหว่ยกับหวังซีเจวี๋ย ว่า ‘จางจื่อเหวยยกพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นบัณฑิต ฝ่าบาทรั้งพวกเขาไว้ ก็เพราะพวกเขาเป็นบัณฑิต’ จางซื่อเหวยมีนามรองใช้ในหมู่มิตรว่าจื่อเหวย แม้ว่าขุนนางบุ๋นล้วนเป็นบัณฑิต แต่คำว่าบัณฑิตในที่นี่ คิดแล้วน่าจะหมายถึงว่า ‘บัณฑิตที่ไร้ประโยชน์’
เหยาฟู่เป็นเช่นนี้ ทางนั้นไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย กลับเป็นหลี่ว์วั่นไฉที่กลับมาพักที่บ้านครึ่งวัน จากนั้นก็ให้ฮูหยินตนไปจวนหวังทง
ชนชั้นสูงมากธรรมเนียม หวังทงไม่อยู่ ซ่งฉานฉานดูแลจวน เพื่อป้องกันการนินทา แขกชายไม่อาจไปเยือนได้ ฮูหยินเขาไปเยือนที่จวนเรียกได้ว่าเป็นระดับคนในครอบครัวไปมาหาสู่กัน เป็นสิ่งที่กระทำได้
แน่นอนในเมืองหลวงล้วนรู้ที่มาที่ไปของซ่งฉานฉาน ครอบครัวใหญ่มักไม่อยากจะไปมาหาสู่กับภรรยาคนนี้หวังทง ทว่าฮูหยินหลี่ว์วั่นไฉกลับไม่ถือ ตอนที่อยู่ทงโจวก็เป็นคู่สามีภรรยารักใคร่เหมาะสมกัน ใจคิดแต่สามีตน ไม่คิดอันใดมาก
พอมาเยือน ก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ถามว่ามีอันใดต้องการให้ช่วย ยังบ่นอีกว่า ปีใหม่ทิ้งภรรยาไว้ที่บ้านคนเดียว ตนเองไปเมืองกุยฮว่าเฉิงสบาย
วาจาตามมารยาทคุยกันสักพัก ฮูหยินหลี่ว์วั่นไฉดูเหมือนเอ่ยถึงบางเรื่องอย่างไม่ตั้งใจ ว่าตอนนี้เมืองหลวงไม่สงบสุข เจ้าต้องระวัง ได้ยินสามีข้าบอกว่า ขุนนางสำนักตรวจสอบเขตทักษิณแซ่เหยาผู้หนึ่งถูกจับตาดูอยู่ ยังบอกว่าผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวต้องระวังตัวให้ดี ต้องให้ส่งคนสำนักรักษาความสงบมาดูแลหรือไม่
จวนหวังทงเหมือนกับจวนอื่น สิ่งเดียวที่ไม่ขาดก็คือการป้องกัน ไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ทหารทางการ แม้แต่ทางลับก็ยังมีคนในวงการไม่น้อย ไม่ไปหาเรื่องคนอื่นก็ดีแล้ว จะมีผู้ใดไร้ตามาหาเรื่องถึงที่กัน
แต่ทุกคนก็เป็นคนฉลาด ซ่งฉานฉานรีบขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง และยังหาของที่ส่งมาจากทะเลใต้จากเทียนจินมอบให้ฮูหยินหลี่ว์เป็นการขอบคุณ ตนเองรับไว้ด้วยใจ
วาจาชัดเจนแล้ว หลี่ว์วั่นไฉกล่าวว่าเรื่องเหยาฟู่นั้นเขารู้แล้ว เขาสนับสนุนซ่งฉานฉานทำเช่นนี้ หากมีอันใดต้องการให้ช่วย เขาจะส่งคนมาช่วย
เรื่องลับสุดยอดเช่นนี้ มีคนพบเห็นแล้ว หลี่ว์วั่นไฉทำเช่นนี้ก็เพื่อเตือน ซ่งฉานฉานเองย่อมเข้าใจ อย่างไรก็ต้องหาทางแก้ไขที่พลาดไป
*****************
เดือนสองกำลังจะผ่านไป ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงเรียกได้ว่าเริ่มเดือดพล่าน หลายคนมารวมตัวกันคุยเรื่องความแตกต่างระหว่างลำดับอาวุโสของพี่น้อง
ขุนนางคัดเลือกบทความสอบคนหนึ่งลาป่วย ตอนนี้กู้เซี่ยนเฉิงมาทำตำแหน่งนี้ชั่วคราว ขุนนางกรมปกครองจะเป็นคนเสนอหัวข้อสอบและรายชื่อ เสนาบดีกรมปกครองค่อยตัดสิน กู้เซี่ยนเฉิงตอนนี้ได้ร่วมงานนี้ จึงทำให้เขามีสถานะสูงส่งในหมู่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว
เดิมหลี่ซานไฉเป็นหัว กู้เซี่ยนเฉิงเป็นรอง มีเรื่องสำคัญใดก็จะรวมกำลังขุนนางบัณฑิตชิงหลิวออกโรง ล้วนเป็นหลี่ซานไฉเริ่มแผน กู้เซี่ยนเฉิงประสานงาน
ทว่าตอนนี้สถานะเปลี่ยนไป กู้เซี่ยนเฉิงค่อยๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง มาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ว่ากำลังสนับสนุนหรือเงินทองก็ย่อมไม่ขาดมือ ความเป็นตัวของตัวเองไม่พึ่งพาใครก็เริ่มมากขึ้น
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนแต่ไรมาไม่เป็นที่สนใจของขุนนางกรมปกครอง แต่เพราะตอนนี้ขุนนางสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนท่านนี้เป็นศิษย์ของเสนาบดีกรมปกครอง เช่นนี้ย่อมไม่เหมือนเดิม
ขุนนางสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนอู๋จั้วไหลเชิญกู้เซี่ยนเฉิงไปดื่มสุราที่จวน กู้เซี่ยนเฉิงย่อมไป ตอนนี้ขุนนางหนุ่มเมืองหลวงผู้ใดไปบ้านอู๋ซือเย่แห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนนั่งได้ ก็ย่อมแสดงถึงอนาคตก้าวไกลในวันหน้า ทุกคนไม่ใช่คนโง่ อู๋ซือเย่มีหน้ามีตาอันใด หากมิใช่ว่าเป็นศิษย์ใต้เท้าที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น
เห็นกู้เซี่ยนเฉิงรับคำเชิญ มีคนอุทานในใจ ท่านกู้ครานี้คงได้ขึ้นแท่นแล้ว ดูท่านตำแหน่งชั่วคราวอันนี้อาจได้มาจริงในอีกไม่นาน
…..
“พี่เต้าผู่ เมื่อวานอู๋จั้วไหลพูดเอง หากทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวง ตำแหน่งขุนนางคัดเลือกบทความนี้ก็จะเป็นของข้า พี่เต้าผู่คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
กู้เซี่ยนเฉิงเริ่มยืนได้เองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะยามประสบเหตุก็มักจะมาถามความเห็นจากหลี่ซานไฉ เป็นความเคยชิน หลี่ซานไฉอยู่ตำแหน่งกรมอากรมาได้ปีหนึ่ง การวางตัวก็เริ่มนิ่งกว่าเก่ามาก ได้ยินกู้เซี่ยนเฉิงกล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า
“นี่เพราะต้องการกระทบไปถึงฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงรู้ว่าในราชสำนักควรฟังความเห็นผู้ใด”
กล่าวจบ หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงก็สบตากัน พากันยิ้ม วิพากษ์วิจารณ์เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ทว่าทุกครั้งล้วนไม่ได้ข้อสรุป สุดท้ายเปลืองเนื้อเปลืองเสียมากกว่า
หลังยิ้มสบตากัน กู้เซี่ยนเฉิงก็กล่าวว่า
“ครั้งนี้แม้ว่าความมั่นใจไม่น้อย แต่พระโอรสสององค์นั้น องค์ใหม่ย่อมเป็นที่พอพระทัยฝ่าบาท แต่พระสนมกงกลับมาจากตำหนักฉือหนิงกง อย่างไรก็มีกำลังหนุนอยู่ไม่น้อย”
หลี่ซานไฉพยักหน้ากล่าวว่า
“แต่อดีตมาการสร้างความชอบใหญ่ไม่มีอันใดเกินการส่งเสริมให้ขึ้นครองราชย์ ยามนี้หากเลือกถูกข้าง ก็ย่อมสบายไปทั้งชีวิต ทุกคนย่อมลงแรงกันเต็มที่ ทว่าฝ่าบาทยื้อเวลาแต่งตั้งมานานเช่นนี้ ในพระทัยนั้นคิดว่าทุกคนรู้ดี หากครั้งนี้มีเรื่องแก่งแย่งกัน อย่างไรก็เหมือนที่พูดก่อนหน้า ให้ฝ่าบาททรงปล่อยมือจากการปกครอง”
“พี่เต้าผู่ ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไร?”
กู้เซี่ยนเฉิงแม้ว่าถามเช่นนี้ แต่คิ้วนั้นเลิกขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกว่าคิดเช่นไร หลี่ซานไฉยิ้มกล่าวว่า
“ไม่อยากไปแตะต้องเลยจริงๆ…”
“พี่เต้าผู่ โปรดให้ความกระจ่าง?”
“ข้ามีกิจการ ที่เทียนจินก็มีร้านค้าไม่น้อย หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ หวังทงออกหน้าจัดการ ก็คงรับมือไม่ไหวนะ!”
“พี่เต้าผู่ หวังทงคนชั่วนั่นล้มไปแล้ว ไม่เห็นตอนเขาถูกส่งลงใต้ไปหรือ กลับมาก็ไม่ยอมอยู่เมืองหลวงต่อ พาตัวเองไปอยู่ที่ทุรกันดารหนาวเหน็บ ยังจะไปสนใจเขาอีกทำไมกัน?”
“ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรถูกปลดไหม บรรดาศักดิ์ติ้งเป่ยโหวถูกปลดไหม? กิจการและการงานที่เมืองหลวงกับเทียนจินเปลี่ยนคนดูแลไหม นี่เรียกว่าล้มได้อย่างไร ระวังไว้ก่อนดีกว่าๆ”
ได้ยินหลี่ซานไฉกล่าวเช่นนี้ กู้เซี่ยนเฉิงก็งง ทว่าหลี่ซานไฉปีนี้แม้ว่าเงียบไปมาก แต่ในวงการขุนนางบัณฑิตชิงหลิวก็ยังคงมีอิทธิพลไม่น้อย เพราะครอบครัวเขามีเงินมาก เงินทองสาดออกไปตลอดเวลา ย่อมมีคนคิดจะเข้าหาเอง กู้เซี่ยนเฉิงได้แต่กล่าวหนักแน่นว่า
“อย่างไรก็เป็นพี่เต้าผู่ที่รอบคอบ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่ซานไฉมีชื่อเสียงไปทั่ว เวลาทำงานในที่ทำการน้อย แต่เวลาส่วนใหญ่มักจะไปขลุกที่ร้านน้ำชาและสมาคมต่างๆ คนระดับเขาไปวนเวียนอยู่ตามที่เหล่านี้ย่อมไม่ใช่เพื่อความบันเทิง บางที่มีบัณฑิตมาก เขาก็เข้าไปคุยสนทนา ดูว่ามีอันใดให้ช่วยเหลือหรือไม่ ขยายอิทธิพล บางที่ทำให้ได้รู้ข่าวมาบ้างเหมือนกัน
คิดถึงการเป็นผู้มีชื่อในวงการบัณฑิตชิงหลิว เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมีชื่อ การข่าวก็ย่อมต้องแม่นยำ ไม่เช่นนั้นวิเคราะห์ไม่กระจายถึงผลได้ผลเสีย ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันไปถึงเบื้องหลังที่เป็นผู้ใด ก็ย่อมเสี่ยงล่วงเกินได้ ดีไม่ดีอาจมีความผิดถึงขั้นเอาชีวิตไม่รอด การรวบรวมข่าวนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้
พูดถึงเรื่องนี้ หลี่ซานไฉก็รู้อยู่ว่าตอนนี้อย่าว่าแต่เมืองหลวงหรือเทียนจินเลย ทั้งเขตปกครองเหนือล้วนถูกองครักษ์เสื้อแพรจับตาดูแน่นหนา ขนาดตาข่ายของตาข่ายใหญ่ก็ยิ่งถี่มากขึ้น เล็ดรอดยาก แต่หลี่ซานไฉกลับยังคงรักษาระบบของตนเล็กๆ นี้ไว้ได้ หาข่าวมาให้เขาได้ เรียกได้ว่ามีความสามารถอยู่
ร้านน้ำชาถังเจียโหลวในเขตปัจจิมนับว่าเป็นร้านที่พอใช้ได้ ว่ากันว่าญาติขันทีในวังเปิด ญาติขันทีฝ่ายในย่อมไม่ได้ขาดเงินกำไรของร้านน้ำชาพวกนี้หรอก แต่เปิดก็เพื่อเป็นที่ให้ความสำราญ คบหาคนมีสถานะ
เพราะเจ้าของร้านมีสถานะพิเศษ และไม่หวังกำไร ร้านน้ำชาเรียกได้ว่ามีระดับ คนปกติเข้าไปก็คงอึดอัดเงินในกระเป๋า หากก็มีคนชอบความหรูหรา และเมื่อมาที่นี่ ย่อมไม่ให้ผู้ใดรบกวน ชนชั้นสูงมาหารือกันที่นี่ไม่น้อย
หลี่ซานไฉนั่งรถม้ามาที่นี่ พอลงจากรถ คนต้อนรับหน้าประตูก็คุ้นเคยกันเขา รีบยิ้มปรี่เข้ามาต้อนรับ นำไปเรือนแยกเดี่ยวที่หลี่ซานไฉนั่งประจำ
นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็มีชายร่างอ้วนในชุดยาวเดินเข้ามา หันไปปิดประตูก่อน จากนั้นคำนับหลี่ซานไฉ หลี่ซานไฉมือซ้ายวางก้อนเงินลงบนโต๊ะ ชายร่างอ้วนเป็นเถ้าแก่ร้านค้าที่ค้าขายกับในวัง ไม่มีสถานะขุนนาง แต่การข่าวในเมืองหลวงกลับฉับไวยิ่ง
“นายท่านหลี่ ระยะนี้หลายเรื่องไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดท่านก็คงรู้แล้ว หกกรมกองนอกจากเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียน ที่เหลือก็ล้วนสมคบคิดกันหมด เรื่องลำดับลูกในตระกูลนั้นเป็นประเด็นในตอนนี้”
ชายร่างอ้วนดูแล้วน่าเคยเรียนหนังสือมา หลี่ซานไฉยิ้มฟัง เขารู้ว่านี่แค่เริ่มต้น ชายร่างอ้วนกล่าวประโยคตามมาจริง เอียงตัวมาเล็กน้อย กล่าวว่า
“หลายวันก่อนนายท่านของข้ารับแขกที่เป็นกงกงจากในวังมาซื้อหาสินค้าเข้าวัง ยามดื่มสุราคุยกันนั้น บอกว่าไม่เพียงแต่นอกวังคุยกันเรื่องนี้ แม้แต่ในวังก็มีคนขัดแย้งกัน บอกว่ากงกงด่าว่าอีกฝ่ายเรียนหนังสือกันจนสมองเสื่อมไปหมดแล้ว”
พอได้ยินข่าวเช่นนี้ หลี่ซานไฉที่กำลังผ่อนคลายก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถามขึ้น
“ขันทีใด?”
“ขออภัย นี่ไม่ทราบได้ กงกงท่านนั้นกล่าวเพียงขันทีใหญ่”
ขันทีที่ในวังส่งออกมาจัดซื้อของนั้นย่อมเป็นพวกมีระดับในวัง ขันทีใหญ่ที่ว่าก็คงเป็นสถานะใกล้เคียงกับเขา ข่าวนี้สำคัญกับหลี่ซานไฉมาก กำลังคิดอยู่นั้น ก็ควักทองสองก้อนจากในอกเสื้อออกมาวางลงบนกระเป๋าเงิน ยิ้มกล่าวว่า
“ไว้ดื่มน้ำชา!”
ทองสองก้อนนี้อย่างน้อยก็สามตำลึง รวมเงินในกระเป๋าอีก ก็น่าจะมากโขอยู่ ชายร่างอ้วนยิ้มแย้มรับไป ตามหลักแล้ว หลังจากหลี่ซานไฉออกไปครู่หนึ่ง ชายร่างอ้วนจึงจะลุกจากไป
พอออกจากร้านน้ำชา ชายร่างอ้วนก็มองดูไม่เห็นรถม้าหลี่ซานไฉ เขาก็หันหลังเดินไปอีกทาง เดินไปสองสามก้าวก็มีคนเดินมาประกบเขาไว้ ชายร่างอ้วนตกใจหวาดกลัวทันที คนที่ตามมาประกบเขากล่าวเบาๆ ว่า
“ที่สอนให้พูดนั้นพูดไปหมดแล้วยัง?”