องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 887 อ่านตำราได้ แต่อย่าได้หลงใหลไม่ลืมหูลืมตา
อาศัยคำพูดคนๆ เดียวไม่พอให้หลี่ซานไฉได้ข้อสรุป วาจานี้ไม่อาจเชื่อถือได้หมด ไม่ควรค่าแก่การลงมือนัก ทว่าขันทีใหญ่ในวังทะเลาะกัน เรื่องนี้ปิดบังไม่มิด อย่างไรก็สืบหาข่าวได้ไม่ยาก
พอหลี่ซานไฉกลับถึงที่พัก ก็จัดการส่งคนสนิทไปหาสายในวัง คืนนั้นจึงได้ข่าวที่แม่นยำ จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กับจางหงแห่งสำนักส่วนพระองค์ทะเลาะกัน
เรื่องนี้ส่งผลกระทบในวังไม่น้อย แม้ว่าขันทีร่างอ้วนไม่ได้บอก แต่ไม่กี่วันหลี่ซานไฉก็ได้รู้ แน่นอน ข่าวรู้ช้าเร็วนั้นส่งผลแตกต่างกัน
การทะเลาะกันเช่นนี้ ขันทีในสำนักส่วนพระองค์และขันทีอาลักษณ์ ย่อมส่งข่าวออกมา เรื่องเกิดจากที่ขันทีในสำนักนั้นวิพากษ์วิจารณ์งิ้วนอกวัง ปรากฏว่าคนสำนักส่วนพระองค์ก็เลยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ลำดับลูก ทุกคนในวังย่อมรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด
ครั้งสุดท้ายที่ทะเลาะกันรุนแรง ไม่มีอันใดต้องรักษาน้ำใจกันอีก เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่เรื่องที่จางเฉิงแต่ไรมาไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า แต่กลับชี้หน้าด่าจางหงว่า ‘เรียนหนังสือจนสมองพังไปแล้ว’ เห็นได้ว่าเรื่องนี้รุนแรงมาก
จางเฉิงเป็นหัวหน้าฝ่ายใน แต่จางหงก็เป็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ควบตำแหน่งดูแลเสบียงกองกำลัง ตามหลักตำแหน่งจางเฉิงสูงกว่าจางหง แต่หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ รองหัวหน้าสำนักอีกสอง รวมสามคนนี้ ที่จริงแล้วแค่ลำดับต่าง หากหน้าที่รับผิดชอบนั้นแตกต่างกัน แต่ละคนล้วนมีอำนาจตนเอง หัวหน้าใช่ว่าจะสามารถทำอะไรรองทั้งสองได้ สำนักส่วนพระองค์เป็นหน่วยงานศูนย์กลาง จัดการเรื่องราวในวัง เดิมก็คงไม่ปล่อยให้สามคนเป็นพวกเดียวกัน เพื่อเป็นการทานอำนาจกันตามหลักการปกครอง
จางหงมีชื่อเสียงไม่เลวนักทั้งในวงการในวังและนอกวัง เป็นพวกนิสัยตรงไปตรงมา แม้ว่าเป็นขันที แต่กลับถูกยกให้เป็นดังเช่นบัณฑิตอันดับหนึ่ง และขันทีในสำนักเช่นเถียนอี้ก็เป็นพวกเรียนตำรามาเช่นกัน ทรงอิทธิพลไม่น้อย
ข่าวนี้จึงเป็นที่สนใจของหลี่ซานไฉ เขาพบว่าตอนนี้ในเมืองหลวงสถานการณ์รุนแรง บางทีไม่ใช่เพราะพวกบัณฑิตพวกนั้นก่อขึ้น บางทีอาจเป็นเหตุอื่น
…..
หวังทงอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีชีวิตที่สบายยิ่ง ทุกวันนอกจากออกำลังกายแล้วก็ขี่ม้าไปนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงไปเดินเล่นตามท้องทุ่งนา
รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีที่นา ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานให้เกือบหนึ่งในสาม ต่อมาร้านสามธาราซื้อไว้อีกมาก ตามหลักแล้วการมาดูทรัพย์สินตนเองก็เป็นสิ่งสมควรอยู่
ข่าวไปถึงมณฑลซานซี จากนั้นก็ไปทั่วเขตปกครองเหนือกับเมืองหลวง คนไม่พอใจกันมาก ว่าขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่ทำงานทำการ วันๆ กลับเอาแต่ยุ่งกับกิจการส่วนตัว เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
คำวิจารณ์เช่นนี้หวังทงก็คาดไว้แล้ว ไม่อยากจะสนใจ ทุกครั้งที่ไปที่นา ก็มักจะเลือกเด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงและหัวไวเป็นผู้คุ้มกันชั่วคราว จากนั้นก็จะไปเลือกชาวนี้จากที่นามาเป็นคนรับใช้
แม้เป็นแค่ผู้คุ้มกันกับคนรับใช้ แต่เป็นคนของติ้งเป่ยโหว สำหรับคนที่สถานะเมื่อปีก่อนดังสัตว์เลี้ยง จะไม่นับเป็นเกียรติสูงสุดได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่าสถานะสูงขึ้น
ในฐานะผู้คุ้มกันตระกูลหวัง ย่อมเป็นผู้ดูแลที่นาไปโดยปริยาย แม้อยู่ดูแลที่นาได้ไม่นาน แต่เป็นรุ่นบุกเบิก ก่อสร้างรากฐานก่อน ค่อยๆ สร้างขึ้น
ผู้คุ้มกันล้วนผลัดเวรกันเข้ารับการฝึกเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกหัวหน้าก็จะได้ไปฝึกที่ร้านสามธาราตามกำหนด นี่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ เป็นการเตรียมการเพื่อรวมใจคนให้เป็นหนึ่ง
ไปมาที่นา ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ทำให้จิตใจคนนิ่งสงบผ่อนคลาย สุขภาพก็ย่อมดีตาม ว่างก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนภรรยา ครอบครัวย่อมมีความสุข
กลางเดือนสาม ซาตงหนิงนำทหารกองหนึ่งพร้อมรถใหญ่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง บนรถใหญ่บรรทุกอาวุธและชุดเกราะมา ยังมีเงินทองที่นำมาจากเทียนจิน
ตามที่เขาว่ามานั้น พวกเมี่ยวลั่งที่มาสวามิภักดิ์ไปเป็นลูกน้องซุนต้าไห่ที่เทียนจิน รับหน้าที่ดูแลคลองส่งน้ำกับแม่น้ำทะเล ตรวจสอบการลักลอบนำสินค้าเข้ามา
พวกเขาเคยทำงานผิดกฎหมายบนท้องน้ำมาก่อน ดังนั้นเรื่องสมคบคิดกระทำผิดบนท้องน้ำย่อมรู้กระจ่าง มีพวกเขาจับตามอง ก็ปล่อยเล็ดรอดไปน้อยมาก
ซุนต้าไห่มีจดหมายมาว่า พวกเมี่ยวลั่งไร้ระเบียบมานาน มีบางกฎเกณฑ์มักฝ่าฝืนกัน อย่างไรก็ต้องสังหารเพื่อกำราบ และก็เป็นเมี่ยวลั่งที่แอบให้จัดการเช่นนี้
ดูท่าแล้วเมี่ยวลั่งนี้คิดแสวงหาที่พึ่งสงบสุขบั้นปลาย จึงสามารถมีความคิดดีเช่นนี้ หากไม่อาจบังคับลูกน้องไว้ได้ ดีไม่ดีสุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็อาจรักษาไว้ไม่ได้
ซาตงหนิงกลับมา สื่อชีที่ทำงานเงียบๆ ก็แอบไปบอกหวังทงว่า ให้ไปซื้อเด็กจากตลาดค้ามนุษย์ในเมืองกุยฮว่าเฉิงมาสักหน่อย พอถามถึงสาเหตุ สื่อชีกล่าวได้ดูไม่เลว บอกว่ารอให้กลับถึงเขตปกครองเหนือกับเหอเป่ย ไปหาโรงบ้านห่างไกลฝึกฝน
การใช้คนย่อมต้องดูที่มาที่ไป แต่พวกที่ซื้อมาจากตลาดการค้าเช่นนี้ แต่เล็กอบรมขึ้นมาเองก็เรียกได้ว่าไว้ใจได้ที่สุด แม้ต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ตาม หวังทงฟังแล้วก็รีบให้สื่อชีไปรับเงินก้อนหนึ่งไปจัดการทันที
ปลายเดือนสาม หวังทงกำลังฝึกยุทธ์อยู่บนในสวน กลับได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก ที่พักเขานั้นแม้ว่าเป็นที่พักของคนรวยในเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ก็มิได้สงบเงียบเท่าไร
ได้ยินเสียงคนด้านนอกตะโกนดังว่า
“ออกนอกเมืองไปทางตะวันตกสามวันครึ่ง มีกองโจรม้าราว 600 รวมพลของเราไปรวมตัวกันนอกเมือง!”
ได้ยินเช่นนี้ครั้งแรก หวังทงรู้สึกสนใจอยากรู้ ส่งคนออกไปสอบถาม ไม่นานก็ได้ข่าวกลับมาว่าที่แท้ขบวนพ่อค้าหนึ่งถูกกองโจรม้าล้อมโจมตี มีคนรีบกลับมารายงาน
คนของขบวนพ่อค้าที่ถูกส่งมารายงานข่าวในเมือง นี่เป็นธรรมเนียมของเมืองกุยฮว่าเฉิง ในเมืองจะส่งคนไปช่วยเหลือ แต่คนมากมักจะมั่นใจมากขึ้น มักจะส่งคนไปส่งเสียงประกาศตามท้องถนนในเมืองนอกเมืองรวบรวมคน ผู้ใดอยากจะไปช่วยก็นำม้าตนเองกับเสบียงอาหารไปเอง ถึงตอนนั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนตามแรงที่ลงไป
เมืองกุยฮว่าเฉิงนอกจากขบวนพ่อค้า ก็มีพวกที่เป็นเอกเทศไม่สังกัดผู้ใดมาร่วมด้วย คนพวกนี้เดิมก็มิได้เป็นชาวบ้านบริสุทธิ์อันใด จึงอยากจะไปเสี่ยงชีวิตดู เรื่องพวกนี้มีคนตามไปไม่น้อย คนพวกนี้เทียบกับผู้คุ้มกันแล้วมีข้อได้เปรียบ ก็คือตายแล้วไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเสียค่าทำศพ ประหยัดดี
ฟังคนไปสอบถามข่าวมา หวังทงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มกับหม่าซานเปียว กล่าวว่า
“อย่าไรก็อยู่เฉยๆ จนปวดเมื่อยไปหมดแล้ว คัดคนจากทัพม้าเจ้ามาสัก 50 ข้านำคนข้าไปด้วย พวกเขาไปช่วยคนกัน!”
หม่าซานเปียวกำลังเบื่อจัด พอได้ยินก็คึกคักทันที รีบไปเตรียมตัว อย่างไรก็พวกกองโจรม้า หรือว่าจะสู้ชนะทหารกล้าแห่งกองกำลังหู่เวยได้
มีคนไปบอกให้พ่อค้าด้านนอกรอก่อน ทางนี้กำลังเตรียมตัวไป
พ่อค้าได้ยินว่าติ้งเป่ยโหวจะไปช่วยก็ย่อมยินดีมาก ไม่พูดถึงความกล้าหาญเก่งกล้าของติ้งเป่ยโหว พูดเพียงแค่คนกลุ่มนี้ย่อมไม่คิดแสวงหาผลตอบแทนอย่างแน่นอน
ทว่าช่วยคนนั้นสำคัญ คนที่มาแจ้งข่าววิ่งจนม้าตายไปสอง สองวันผ่านมาแล้ว แม้ทัพม้าไปเองก็ต้องสามวัน ก็รวมแล้วห้าวันได้ ผู้ใดจะรู้ว่าจะต้านไว้อยู่หรือไม่ เวลากระชั้นชิดเร่งด่วน ติ้งเป่ยโหวออกเดินทาง การเตรียมตัวคงต้องเสียเวลาอยู่บ้าง
เสียเวลาก็คงต้องยอม ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินท่านนี้กัน ทว่าที่ทำให้พวกเขาตกใจมากก็คือ หวังทงครึ่งชั่วยามก็เตรียมตัวเสร็จ หนึ่งคนสองม้า อาวุธและเสบียงพร้อม รวมกำลังรอรับคำสั่งนอกเมืองอย่างรวดเร็ว เก่งกล้าก็ส่วนเก่งกล้า แต่การจะพร้อมในเวลารวดเร็วเช่นนี้ คนที่รู้เรื่องการเตรียมการทางทหารล้วนต้องอุทานด้วยความตกใจ
ก็บังเอิญมาก พอหวังทงกำลังจะออกเดินทาง ถนนทางใต้ก็มีคนมาสี่คน พอเห็นการแต่งกายก็รู้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่รู้จักกับทหารม้าและทหารติดตามหวังทง ตอนสวนทางกันก็ควบช้าทักทายกัน เห็นชัดว่าจำหวังทงได้
รีบลงจากม้าวิ่งเข้าไปบอกกับทหารติดตามที่อยู่รอบนอก ทหารก็นำตัวเข้ามาเบื้องหน้าหวังทง คนผู้นี้เห็นหวังทงก็โขกศีรษะกล่าวว่า
“คารวะท่านโหว ข้าน้อยไม่ได้เป็นองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ไปติดตามฮูหยินสามอยู่ทางนั้น ครั้งนี้นำสารมาส่งท่านโหว”
กล่าวได้กระจ่างชัด หวังทงเข้าใจทันที นี่เป็นคนของซ่งฉานฉาน องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักรักษาความสงบจะมีรายงานมาตามกำหนดเวลา แต่ที่ซ่งฉานฉานส่งมาย่อมแตกต่างกัน
หวังทงพยักหน้า ถานเจียงได้รับข่าวก็รีบติดตามมาอย่างเร่งรีบ เขาต้องเฝ้าระวังในเมือง แต่เพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ต้องส่งคนที่ชำนาญเส้นทางบนทุ่งหญ้ามาติดตามสัก 50 คน แต่จากใจนั้นก็ย่อมต้องเตือนหวังทงอย่าได้ออกไปเสี่ยงภัย หวังทงดึงสารออกอ่าน แล้วก็นิ่งไป
สารหลายหน้า หวังทงอ่านอย่างเร็ว พออ่านจบ สีหน้ายิ้มเยียบเย็น ยัดสารใส่ใต้อานม้า ถานเจียงเห็นแล้วก็เอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วงว่า
“นายท่าน อยู่ที่นี่ชั่วคราว หากออกไปเช่นนี้เกิดเหตุใดขึ้น เกรงว่าจะเสียเวลา”
“ไม่เสียเวลา ทางนั้นเดือนสองเดือนคงยังไม่ได้กลับไปหรอก!”
หวังทงยิ้มกล่าว โดดขึ้นม้า ถานเจียงไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่เข้าไปกำชับขึ้น
“นายท่าน ตอนนี้สถานะสูงส่ง ทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง ภัยอันตรายทุกหย่อม ขอนายท่านต้องระวังตัวให้มาก”
“กลัวอันใด ข้าไป พวกเขาต้องระวังข้าถึงจะถูก!”
หวังทงยิ้มสัพยอก นำกองกำลังม้าวิ่งออกไปทันที
*****************
พวกพ่อค้ารวบรวมกำลังได้ 200 กว่า รวมพวกทัพม้าหวังทงอีก 400 ก็ย่อมมั่นใจมาก ทว่ากำลังหลักย่อมเป็นคนหวังทง
หวังทงดูมีระเบียบวินัย ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่ออกนอกลู่ ทำตามระเบียบวินัยทหาร เดินทางมาได้ระยะหนึ่งก็เตรียมตั้งกระโจมพัก ก็ไม่ใช่กระโจมอันใด ก็แค่พรมปูกับผ้าห่มนอนกลางแจ้งเท่านั้น
ฟ้ามืดติดไฟหุงอาหาร พวกหม่าซานเปียวอยู่ข้างกายหวังทง หวังทงหยิบสารลับออกมาอ่านอีกรอบ พึมพำกับตนเองว่า
“แผนการยอดเยี่ยมเท่าไร อย่างไรก็มักมีเหตุไม่คาดฝัน จัดการปรับเปลี่ยนไปตามเหตุได้ นางเก่งกว่าที่ข้าคาดไว้อีก”
ทุกคนฟังแล้วงง หวังทงขยี้สารเป็นก้อนกลมโยนเข้ากองไฟ ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ความเป็นชายก็ไม่มีแล้ว ยังเรียนหนังสือกันจนสมองพังไป นี่น่าแปลก”